พท.อัดเพิ่มงบซื้ออาวุธแต่หั่นงบปากท้อง ด้าน"กลาโหม"ยึดสถิติ"จีดีพี-เงินประเทศ"โต้ไม่ผิดปกติ
เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2562 ที่รัฐสภา นายศิรสิทธิ์ เลิศด้วยลาภ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย อภิปรายงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่ได้รับ โดยยกข้อมูลการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ตั้งแต่ปี 2557ว่า บริหารประเทศโดยไม่มีการตรวจสอบ จัดงบซื้ออาวุธ 72,714 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลจากสื่อจนถึงเดือน ต.ค.62 นั้น แยกเป็นหลายส่วน อาทิ ปี 58 คสช.ซื้อรถถัง VT-4 จำนวน 28 คัน 4,985 ล้านบาท ปี 59 ซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi17v-s จากรัสเซีย 2 ลำ 1,698 ล้านบาท ขณะที่ประชาชนกำลังเดือดร้อน แต่ยังไม่เพียงพอยังมีการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ Mi17v-s จากรัสเซีย ต่อในปีเดียวกันเพิ่มอีก 4 ลำ 3,385 ล้านบาท ปี 60 ซื้อรถถัง VT-4 จากจีน 10 คัน 2,017 ล้านบาท ปี 60 ซื้อเฮลิคอปเตอร์แบ็กฮ็อกจากสหรัฐฯ 4 ลำ และรถถัง VT-4 จากจีน อีก 11 คัน กว่าพันล้านบาท สรุปว่ากองทัพซื้อรถถัง 38 คัน 7,002 ล้านบาท รถหุ้มเกาะล้อยาง 34 คัน 2,300 ล้านบาท เฮลิคอปเตอร์จำนวน 10 ลำ 8,083 ล้านบาท รวมกองทัพบกซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ 17,385 ล้านบาท ยังไม่ได้รวมกองทัพเรือซื้อไป 42,599 ล้านบาท กองทัพอากาศ ซื้อไป 12,747 ล้านบาท ในวันที่ 11 ก.ค.62 ครม.อนุมัติให้กองทัพอากาศซื้อเครื่องบินขับไล่ T-50TH จากประเทศเกาหลี 8 ลำ 8,800 ล้านบาท เท่ากับว่า 3 เหล่าทัพใช้เงิน 72,714 ล้านบาท อย่างนี้จะรับได้อย่างไร เพราะวันนี้รัฐบาลชุดใหม่ก็เป็นรัฐบาลชุดเดียวกับ คสช. ซึ่งเท่าที่ตนอ่านงบกลาโหมที่ทำมาปี 63 ปรากฎว่าเพิ่มขึ้น 6,200 ล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับงบประมาณที่จะนำไปช่วยเหลือเกษตรกร และงบที่ใช้กับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนมีน้อยเหลือเกิน ยิ่งเจ็บปวดที่สุด
"ผมอยากให้เอางบฯผูกพันในการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ มาซื้อเครื่องจักรช่วยเหลือเกษตรกรและประชาชนมากกว่า ผมจึงไม่เห็นด้วย และขอให้รัฐบาลพิจารณาใหม่" นายศิรสิทธิ์ กล่าว
ด้าน พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวชี้แจงการจัดสรรงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหม วงเงิน 2.33 แสนล้านบาท ว่า การจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานไม่สูงหรือเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ หากพิจารณาตามระดับจีดีพี ที่ปี 2563 ได้รับงบประมาณเท่ากับ 7.29 ต่อจีดีพี ขณะที่ค่าเฉลี่ยต่องบประมาณ อยู่ที่ร้อยละ 1.3 และเมื่อพิจารณาตามอัตราการได้รับงบประมาณเฉลี่ยของกองทัพ ปี 2540 ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐหิจ ได้รับงบ อยู่ที่ 2.2ของระดับจีดีพี หรือคิดเป็นร้อยละ 12 ของวงเงินงบประมาณ แต่หลังจากที่มีภาวะปัญหาเศรษฐกิจกระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณลดลงตามลำดับ และต่ำสุดเมื่อปี 2549 ที่ได้รับเพียง 1.1 ของจีดีพี และเมื่อเปรียบเทียบกับงบทหาร , งบความมั่นคงและกลาโหมของกลุ่มประเทศอาเซียนพบว่าจะมีค่าเฉลี่ยสากล อยู่ที่ 2.2 ของจีดีพี แต่ของไทยอยู่ที่ 1.3 ต่อจีดีพีเท่านั้น
"ช่วงที่ผ่านมากระทรวงกลาโหม ไม่ได้รับงบประมาณที่สูงผิดปกติ ส่วนงบประมาณที่เพิ่มขึ้นปีนี้ กว่า 6,000 ล้านบาท เพื่อใช้ดูแลสวัสดิการของข้าราชการ ปรับปรุงที่อยู่อาศัย และซ่อมแซมรวมถึงจัดหาเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ขณะที่งบประมาณเพื่อซ่อมปรับปรุงยุทโธปกรณ์มีเฉพาะที่ปรับปรุง ส่วนที่ล้าสมัย ขณะที่การซื้อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถหาชิ้นส่วน หรือซ่อมแซมได้ เป็นไปตามแผนพัมนากองทัพ และเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ คิดเป็น 1 ใน 3 กองกำลังที่มีทั้งหมด" พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจง
พล.อ.ชัยชาญ ชี้แจงด้วยว่า สำหรับอำนาจหน้าที่หลักของกระทรวงกลาโหม คือ ป้องกันประเทศ, รักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ, การรักษาความมั่นคงภายในประเทศ และ การพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กองทัพมีความจำเป็นเตรียมกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อย ประเมินภัยคุกคามเตรียมกำลังให้พร้อมมากกว่าการใช้กำลัง โดยพิจารณาสถานการณ์และขีดความสามารถด้านงบประมาณ การเตรียมกำลังแนวคิดที่ว่าจะมีความพร้อมท 1 ใน 3 คือ กองพล ลดระดับกรมที่มีความพร้อม คือ มีขีดความสามารถ มีอำนาจการยิง มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ มีอำนาจการติดต่อสื่อสารที่เข้าควบคุมสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ยุทโธปกรณ์ของกองทัพในอดีต ได้รับสนับสนุนและช่วยเหลือจากมิตรประเทศ และจัดหาบางส่วน ยุทโธปกรณ์ เช่น เฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ปัจจุบัน อายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป รถถังบางชนิด อายุการใช้งาน 40 - 50 ปี รถเกราะที่ใช้ ปัจจุบันมีอายุการใช้งาน 40 ปี เครื่องบินขับไล่ เอฟห้า ที่กองทัพอากาศใช้ มีอายุการใช้งาน 41 ปี เครื่องบินลำเลียง ซี 130 มีอายุใช้งาน 40 ปี ทั้งนี้ยุทโธปกรณ์ที่มีอายุที่ใช้งานเกิน 30 ปี มียอดรวมคิดเป็นร้อยละ 58 ดังนั้นในการจัดหาเพื่อทดแทนยุทโธปกรณ์ที่ชำรุด ไม่สามารถซ่อมได้ มีเพียง 1 ใน 3 ของสิ่งที่มีทั้งหมด ทั้งนี้กองทัพยังเน้นการปรับปรุง และซ่อมแซมยุทโธปกรณ์ให้ใช้งานได้ต่อไป ทั้งที่ประเทศต้นกำเนิด ไม่ใช้แล้ว แต่การจัดหาเท่าที่จำเป็น เพื่อสอดคลองกับการใช้กำลัง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี