ปชป.จัดทัพใหญ่ส่ง70สส.

ถล่มเงินกู้

วอร์รูมพท.ดิ้นรับศึกหนัก

ระดมทีมปักหลักดันพรบ.

“ปู”พลิ้ว-ส่งมวยแทนแจง

ขุนค้อนยังมั่นใจผ่านฉลุย

คิวต่อไปแก้รธน.1เมษายน

เมื่อวันที่ 27มีนาคม ที่รัฐสภา นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียกตัวแทนคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปฝ่ายรัฐบาล) และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) หารือเพื่อวางกรอบการพิจารณาร่างพ.ร.บ. การให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจำนวน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจะมีการพิจารณาในวันที่ 28-29  มีนาคมนี้

ภายหลังการประชุมนายเจริญกล่าวว่า ที่ประชุมกำหนดกรอบเวลาการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว 2 วัน ระหว่างวันที่ 28-29 มี.ค. ตั้งแต่เวลา 09.30 -22.00 น. โดยฝ่ายค้านได้เวลาอภิปราย 16 ชั่วโมง รัฐบาล 14 ชั่วโมง ไม่รวมเวลาประท้วง หากการอภิปรายเสร็จเมื่อใดก็ลงมติเมื่อนั้น อาจเลยเวลา 24.00 น. ของวันที่ 29 มี.ค.ก็ไม่เป็นไร ทั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดตลอดการประชุม

เตรียมตั้งกมธ.36คนแปรญัตติ

นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 36 คนได้แก่ รัฐบาล 9 คน พรรคเพื่อไทย 14 คน พรรคประชาธิปัตย์ 9 คน พรรคภูมิใจไทย 2 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน พรรคชาติพัฒนาและพรรคพลังชลได้สัดส่วนร่วมกัน 1 คน แต่ยังไม่กำหนดระยะเวลาการแปรญัตติ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายอภิปรายฯในกรอบกติกา อย่าไปพาดคนอื่นหรือนอกประเด็นทั้งนี้เพื่อให้การอภิปรายฯเป็นไปอย่างราบรื่น

คิวต่อไป 1 เมษาถกแก้ไขรธน.

นายเจริญยังกล่าวด้วยว่า ส่วนการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรานั้น เบื้องต้นได้เรียกประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรไว้ 1วันคือวันที่ 1 เมษายนแต่ขึ้นอยู่กับข้อตกลงวิปทั้ง 3 ฝ่ายคือวิปรัฐบาล วิปฝ่ายค้าน และวิปวุฒิสภา หากเห็นว่า ควรพิจารณามากกว่า 1 วันก็สามารถขยายเวลาวันประชุมได้

ขุนค้อนมั่นใจเงินกู้2ล้านล.ฉลุย

ขณะที่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา เชื่อมั่นว่า บรรยากาศการประชุมสภาฯน่าจะดีเพราะทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ           แม้ว่าส.ส.รัฐบาลจะมีการเตรียมประเด็นพาดพิงพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องโครงการไทยเข้มแข็งและมิยาซาวา แต่ทุกอย่างก็ต้องอยู่ภายใต้ข้อบังคับการประชุม ซึ่งตนเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาหากทุกฝ่ายยึดข้อบังคับ และคัดค้านด้วยเหตุผล อภิปรายอย่างสร้างสรรค์

เชื่อแก้ไขรธน.อุณหภูมิไม่เดือด

นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการพิจารณาวาระการแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรโดยเชื่อว่าไม่น่าจะทำให้เกิดบรรยากาศที่ทำให้เดือนเมษายนเป็นเดือนเดือดทางการเมือง เพราะสาระที่แก้ไม่มีอะไรมากจึงไม่น่าจะส่งผลอะไร ไม่ว่าจะเป็นประเด็น 190 หรือ 237 แต่ที่อาจจะมีการมองต่างมุมก็คือมาตรา 68 ซึ่งไม่ใช่การหลอก หรือตัดสิทธิประชาชนเพราะยังมีสิทธิยื่นให้อัยการสูงสุดได้

ปชป.จัดทัพ70ขุนพลถล่มเงินกู้

ด้านนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงการเตรียมอภิปรายร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่า จะพุ่งเป่าอภิปรายฯใน 3 ส่วนคือ 1. เรื่องการก่อหนี้และภาระหนี้ที่จะเกิดกับประเทศและประชาชน 2. เรื่องตัวโครงการมีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหนอย่างไร สนองตอบปัญหาประเทศหรือสนองตอบต่อความต้องการทางการเมือง และ 3.เรื่องความไม่โปร่งใส ซึ่งคนทั้งประเทศกังวลมากโดยฝ่ายค้านมีผู้แสดงความจำนงขออภิปราย 70 คน

ไม่กลัวโดนรัฐบาลย้อนเกล็ด

ส่วนที่ฝ่ายรัฐบาลเตรียมพาดพิงไปถึงโครงการไทยเข้มแข็งนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่มีความกังวล แต่เห็นว่าวิธีการแบบนี้ไม่สร้างสรรค์เพราะเป็นวาระที่จะพูดถึงการกู้เงิน 2 ล้านล้านของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่โครงการในอดีต แต่ถ้าพาดพิงฝ่ายค้านก็พร้อมชี้แจง ซึ่งก็อยู่ที่ประธานในที่ประชุมต้องพิจารณาด้วยว่าถ้าพูดนอกเรื่องจะอนุญาตหรือไม่ และขอร้องว่าหากไม่จำเป็นไม่ควรมีการประท้วงบ่อยเกินไป

ชี้ก่อหนี้ให้ประเทศ5ล้านล้าน

ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุอีกว่า กรณีการกู้2ล้านล้านเป็นการกู้เกินความจำเป็น แม้จะอ้างว่าจะทำโครงการหลายอย่าง แต่มีวิธีการอื่นที่ไม่ต้องกู้ เช่น การให้สัมปทาน ลงทุนร่วมกับเอกชน แต่รัฐบาลไม่เลือกทางนี้เพราะจะกู้ได้น้อย อยากกู้เยอะ ต้องถามว่าเพราะอะไร และเป็นคำถามเรื่องความโปร่งใสด้วย อีกทั้งยังสร้างภาระหนี้มหาศาล คือเงินต้น 2 ล้านล้านบาท แต่ดอกเบี้ย 3 ล้านล้านบาท ทั้งหมดเป็นภาระประเทศ 5 ล้านล้านบาท

“การกู้เงินด้วยจำนวนมหาศาลแบบนี้จะเป็นภาระรัฐบาลอย่างน้อย 12 รัฐบาล และเป็นภาระประเทศถึง 50 ปี ในขณะที่รัฐบาลอยู่ได้อีกแค่ 2 ปีครึ่งและถ้าหากเกิด น.ส.ยิ่งลักษณ์จอมรสุมทางการเมืองไม่สามารถอยู่ได้ อาจจะสองถึงสามเดือนกู้เสร็จก็ไปแล้ว ทิ้งภาระให้กับรัฐบาลหน้า”นายจุรินทร์ กล่าว

จี้นายกฯต้องชี้แจงด้วยตัวเอง

“อยากให้นายกฯมาชี้แจงด้วยตัวเองแทนที่จะมอบหมายให้ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและ รมว.คลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ชี้แจงโดยอยากให้ชี้แจงทุกประเด็นไม่ใช่ทำแค่อ่านเอกสารแผ่นสองแผ่นแล้วไม่มาปรากฏตัวอีกเลย    เพราะคนเป็นนายกฯเป็นหัวหน้ารัฐบาลต้องรับผิดชอบ และควรตอบได้ทุกประเด็นนื่องจากเป็นกฎหมายกู้เงินที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งยอดเงินเกือบเท่ากับ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี”นายจุรินทร์ กล่าว

พท.จัดทัพวอร์รูมสู้ศึก2ล้านล.

ส่วนความเคลื่อนไหวจากพรรคเพื่อไทยนั้น แหล่งข่าวระบุว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้จัดทีมวอร์รูมไว้รับมือฝ่ายค้านประมาณ 40 คนประกอบด้วยส.ส.พรรค ตัวแทนจากคณะกรรมการกฤษฎีกา กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม ขณะที่ทีมวอร์รูมจะทำหน้าที่สนับสนุนในการให้ข้อมูลชี้แจง อาทิความจำเป็นในการออกพ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท หลักการดำเนินงานโครงการ ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจและสังคม ข้อกฎหมาย การตรวจสอบความโปร่งใส

ชนทั้งในและนอกห้องประชุม

นอกจากนี้ทีมวอร์รูมจะทำหน้าที่วิเคราะห์ประเด็นที่จะต้องตอบโต้ฝ่ายค้านระหว่างการชี้แจงในสภาฯ พร้อมทั้งประเด็นที่จะต้องตอบโต้ทางการเมืองโดยจะจัดให้มีส.ส.ผลัดเปลี่ยนลงไปแถลง ข่าว  โดยทีมวอร์รูมจะใช้ห้องประชุม 3301 ที่ รัฐสภาเป็นห้องทำงาน ขณะที่การชี้แจงในสภาฯ รัฐบาลให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และรมว.คลังเป็นผู้เปิดการชี้แจง ต่อด้วยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม โดยการชี้แจงจะมีการเปิดซีดีโครงการควบคู่

“วราเทพ”ส่งเอกสารกว่า200หน้า

นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับร่างเอกสารพรบ.เงินกู้ที่ส่งไปให้สภาฯพิจารณาที่ระบุกันว่ามีเพียงเอกสาร 5 หน้านั้นเป็นการชี้แจงเบื้องต้นในการพ.ร.บ.ให้สภาฯ แต่เนื่องจากเป็นโครงการที่มีมีการใช้เงินและมีรายละเอียดมาก จึงส่งเอกสารประกอบการพิจารณาตามยุทธศาสตร์ทั้งสามที่ระบุไว้ในบัญชีแนบท้ายจำนวน 200 กว่าหน้าให้สส.เพื่อประกอบการอภิปรายและยืนยันว่าการส่งเอกสารประกอบไม่ช้าเกินไป

ตอกปชป.ก็เคยเซ็นต์เช็คเปล่า

ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์อ้างว่าเป็นการเซ็นเช็คเปล่านั้น อยากถามว่าในสมัยพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสนอร่างพรบ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการฟื้นฟูประเทศ 4 แสนล้านบาทก็เป็นการเสนอครม.และสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 1-3 และเป็นการเสนอในชั้นกรรมาธิการเต็มขั้น และไม่มีเอกสารประกอบ มีเพียงตัวพ.ร.บ.2-3 แผ่น ไม่มีการระบุถึงโครงการ รายละเอียดก็เป็นเพียงกรอบหลักการ

“อยากย้อนถามกลับไปเหมือนกันว่า คุณกรณ์ (จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง)  หรือคนที่ออกมาร้องเรียนว่าเป็นการเซ็นเช็คเปล่านั้น เมื่อสองสามปีที่แล้วพวกท่านทำในลักษณะที่เป็นการเช็คเปล่ามากกว่า ซึ่งในขณะนี้เราพร้อมที่จะให้ตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการอยู่แล้ว “นายวราเทพ กล่าว

ชื่อไทยแลนด์2020แค่ชื่อโครงการ

นายวราเทพ ระบุด้วยว่า ที่เข้าใจว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อพ.ร.บ.นั้นขอชี้แจงว่า เป็นชื่อที่เห็นในครม.เห็นชอบให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโรงสร้างพัฒนาพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เช่นเดียวกับพ.ร.บ.หรือพ.ร.ก.ในการกู้เงินต่างๆที่เป็นชื่อตามกฎหมายแต่ชื่อเรียกในโครงการที่กระทรวงคมนาคมเสนอยาวไปและสร้างความสับสนให้ประชาชน โดยชื่อโครงการจริงๆคือไทยแลนด์ 2020 หรือภาษาไทยคือโครงการเพื่ออนาคตไทย 2020 แต่ตัวพ.ร.บ.นั้นยังใช้ชื่อเดิม

“ปู”ตื่นเต้นต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สำหรับความเคลื่อนไหวของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปฎิเสธที่จะพูดการเตรียมความพร้อมในการชี้แจงสภาฯต่อการพิจารณาร่างพรบ.กู้เงิน2ล้านล้านบาท โดยกล่าวเพียงสั้นๆว่า” จะขอชี้แจงรายละเอียดเลยทีเดียวที่สภาที่จะได้ตื่นเต้น”  พร้อมยืนยันว่าไม่เครียด ก่อนจะยกมือท่วมหัวหันไปไหว้ศาลพระภูมิประจำทำเนียบรัฐบาล  พร้อมกล่าวว่า สาธุ เพื่อเลี่ยงการตอบคำถามสื่อ

เรียก”โต้ง-ชัชชาติ”ติวเข้ม

จากนั้นนายกนได้เรียก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกนและรมว.คลัง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนามคม  นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมว.วิทยาศาสตร์ นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอำพล กิตติอำพล เลขาธิการ ครม. ประชุม ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อซักซ้อมการชี้แจง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ต่อสภาในวันที่28 มีนาคมนี้

แฉนายกฯเจอหนอนบ่อนใส้

ขณะที่มีรายงานว่า หลังจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  ได้ส่งร.ท.ธวัชชัย กลีบเมฆ อดีตรปภ.ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มารับหน้าที่เป็นหัวหน้าชุดรักษาความปลอดภัยให้กับน.ส.ยิ่งลักษณ์ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมานั้น จากการตรวจสอบบื้องหลังพบประเด็นที่น่าสนใจว่าเมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้านี้มีการรายงานไปยังพ.ต.ท.ทักษิณว่าในทีมอารักขาและทีมงานนายกฯ มีนายทหาร 2 นาย นำข้อมูลความลับและโครงการรัฐบาลในอนาคตไปให้ฝ่ายค้าน ทำให้ฝ่ายค้านนำข้อมูลเหล่านี้มาโจมตีนายกฯ โดยนายกฯไม่ทราบ

ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ที่พ.ต.ท.ทักษิณจะส่งร.ท.ธวัชชัยมาจับตาการเคลื่อนคน ที่อยู่ใกล้นายกฯทั้งหมด รวมถึงสแกนคนที่จะเข้าพบนายกฯทั้งหมด และรายงานตรงยังพ.ต.ท.ทักษิณ

นักเศรษฐศาสตร์หนุนกู้2ล้านล.
 
วันเดียวกันที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาฯ จัดเสวนาเรื่อง “พ.ร.บ.2 ล้านล้านบาท จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยนายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่พึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ให้นั่งเป็นบอร์ดการประปาส่วนภูมิภาค กล่าวสนับสนุน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันผลักดันสนับสนุนเพื่อสร้างโอกาสการแข่งขันด้านคมนาคมให้กับประเทศไทย

อ้างไม่มีผลทำให้หนี้สาธารณะพุ่ง

“แม้จะกู้เงิน 2 ล้านล้านเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะ 7ปีข้างหน้าก็ไม่ส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ต้องจำกัดหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่ให้เกิน 60% อย่างไรก็ตามหากมีการกู้เงิน ในปี 56 จะส่งผลให้หนี้สาธารณะอยู่ที่47.1% ปี 57 48.1% ปี 58 49.3% และปี 59 จะขึ้นสูงสุดที่ 50% แต่ยังต่ำกว่าเพดาน 60% ของกรอบวินัยการคลัง”นายอนุสรณ์ระบุ

ห่วงการเชื่อมต่อระบบขนส่ง

นายบุญทรัพย์ พานิชการ ผอ.วิทยาลัยโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า เห็นด้วยกับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพราะทำให้ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีลดลงไม่น้อยกว่า 2% แต่กังวลว่ารัฐบาลได้วางแผนจัดการเรื่องการวางผังเมืองในจังหวัดที่มีสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมระบบขนส่งไปสู่ระบบขนส่งอีกต่อหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพได้หรือไม่

ชำแหละร่างพรบ.กู้เงิน2ล้านล.

ขณะเดียวกันคณะอนุกรรมการ เสริมสร้างความรู้ในวงงานนิติบัญญัติในคณะกรรมการวิชาการของวุฒิสภา ได้เสวนาในหัวข้อ "มุมมองวุฒิสภา : ร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท" โดยเป็นเชิญนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง นายสมชัย จิตสุชน นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัมนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) และนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ในฐานะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบัน
ปลัดคมนาคมออกโรงหนุนสุดตัว
            
ทั้งนี้ นายอารีพงศ์  ได้พยายามชี้แจงถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการกู้เงิน 2 ล้านล้านเพื่อสร้างความพร้อมให้กับประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ การเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 4.5 % ตลอด 7 ปี ภายใต้วินัยการเงินการคลัง ส่วนภาระหนี้ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่มีปัญหา  เพราะจะทยอยกู้ในช่วงแรกยังจะไม่ถึง 1แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้เราเป็นหนี้สาธารณะไม่เกิน 50% ต่อจีดีพี

ส่วนการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจะไม่เกิน 1.9 %  อัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.3% โดยจะสามารถประหยัดการนำเข้าน้ำมันได้กว่าแสนล้านบาท และช่วยให้ต้นทุนการขนส่งลดลง ส่วนวิธีการใช้จ่ายเงินจะเป็นไปตามระบบจัดซื้อจัดจ้างปกติจะไม่มีวิธีพิเศษใดๆทั้งสิ้น
               
ขณะที่นายคำนูณ   ได้กล่าวชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแน่นอนเนื่องจาก