‘ชวน’ส่งศาล
ตีความปมร้อนงบฯ’63
ชี้เสียบบัตรแทนกันผิด
บิ๊กตู่รับการลงทุนสะดุด
สั่งคลัง/สำนักงบฯรับมือ
สว.แนะออกพรก.ใช้แทน
ประธานสภาฯ “ชวน หลีกภัย” ยันส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.งบ’63 เชื่อใช้เวลาไม่นาน รับถ้าร่างโมฆะโครงการรัฐสะดุด ชี้สส.เสียบบัตรแทนกันไม่ได้ทุกกรณี นายกฯกังวลงบ’63 สะดุดซ้ำเติมเศรษฐกิจ กระทบการลงทุน ถอนใจเฮือกเสียบบัตรแทน รู้ว่าผิดยังทำ ย้ำยังไม่เหมาะออกพ.ร.ก.มอบ“ก.คลัง-สำนักงบประมาณ”ถกรับมือ“วิษณุ”ให้รอศาลวินิจฉัยดีที่สุด แต่ผลกระทบไม่รุนแรงเสียบบัตรแทน ผิดร้ายแรง-มีโทษด้าน สว.ยันไม่เข้าชื่อยื่นตีความ แนะรัฐบาลออกพ.ร.ก.ใช้ได้ ขณะพปชร.ปัดเสียบบัตรแทน แค่ช่วยเพื่อนลงคะแนน “รังสิมา”ร้องประธานสภาฯเปลี่ยนระบบลงคะแนนเป็นสแกนม่านตา-ลายนิ้วมือ
เมื่อวันที่ 23มกราคม นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์กรณีล่าสุดที่มีการเผยแพร่คลิปส.ส.เสียบบัตรลงคะแนนแทนกันระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ว่าสภาฯต้องตรวจสอบทุกกรณี ไม่เช่นนั้นจะไม่ยุติธรรมและไม่ว่าจะเสียบบัตรแทนกันในกรณีใดก็ทำไม่ได้ แม้เครื่องลงคะแนนในห้องประชุมมีไม่เพียงพอ ส.ส.ก็ไม่สามารถฝากบัตรเสียบแทนกันได้ซึ่งโดยทั่วไป ส.ส.จะไม่ยุ่งกับบัตรของคนอื่น
ชวนส่งศาลรธน.ตีความ23มค.
ส่วนคำร้องที่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขั้นตอนการตราร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2563 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่าคาดว่าวันนี้ (23ม.ค.)ฝ่ายเลขาธิการฯจะตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดว่าถูกต้องหรือไม่เสร็จ และ ส่งกลับมาที่ตน เพื่อทำเรื่องส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ ภายในวันนี้ (23 ม.ค.)เพราะต้องรีบ ดำเนินการ เพราะสภาฯ ไม่สามารถวินิจฉัยแทนศาลรัฐธรรมนูญได้ เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาพิจารณาไม่นานคงทราบผล เพราะศาลทราบดีว่าจะต้องรีบพิจารณาเรื่องนี้
ย้ำให้เป็นบทเรียนกับทุกพรรค
เมื่อถามย้ำว่าหากร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯปี2563เป็นโมฆะจริง จะมีทางออกอย่างไรนายชวนกล่าวว่าตามปกติ ถ้างบประมาณปีใหม่ยังไม่เริ่มใช้ ให้ใช้งบประมาณเดิมไปก่อนดังนั้นเงินเดือนของข้าราชการก็เป็นไปตามปกติ เพียงแต่โครงการพัฒนาต่างๆไม่สามารถเดินหน้าได้
“เหตุการณ์ครั้งนี้ จะเป็นบทเรียนสำหรับทุกพรรคและทุกคน เชื่อว่าพรรคการเมืองไม่มีใครเจตนาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่เกิดขึ้นเพราะมีสมาชิกบางคนไม่ระวัง ทั้งที่ผมย้ำแล้วว่าวันเด็ก สส.ไปร่วมกิจกรรมไม่ได้ เพราะติดภารกิจพิจารณางบประมาณ”นายชวน กล่าว
รับที่ประชุมไม่พร้อม-อยู่ที่สำนึก
ทั้งนี้ ประธานสภาผู้แทนฯยังกล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับว่าสภาฯแห่งนี้ ยังไม่พร้อมสำหรับการประชุม สส.เนื่องจาก ยังไม่มีที่นั่งประจำของตัวเอง เพราะยังต้องใช้ห้องประชุม”จันทรา”ของวุฒิสภาซึ่งถ้าสส.มีที่นั่งประจำ ก็จะทราบว่าใครลงคะแนนอย่างไร เพราะเป็นเครื่องประจำ เหมือนกับห้องประชุมวุฒิสภาที่ตอนนี้รู้ว่าใครนั่งตรงไหน แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล
นายกฯให้คลัง-สำนักงบถกรับมือ
เวลา 11.10 น.ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกังวลต่อร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ภายหลังเกิดกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน.oโหวตผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯโดยยอมรับว่า เรื่องดังกล่าว ได้หารือกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มาแล้ว ต้องดูว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร ในส่วนของรัฐบาล ก็มีหน้าที่ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“สิ่งที่น่าจะมาถามผมวันนี้คือจะแก้ไขอย่างไร ผมต้องไปดูและหารือกับ กระทรวงการคลังและคุยกับสำนักงบประมาณว่าจะทำอย่างไร เพราะเท่าที่ทราบขณะนี้ มีการส่งเรื่องร้องเรียนไปยังศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ต้องหารือกันอีกครั้งว่าเราจะแก้ไขในส่วนของการบริหารราชการอย่างไร”พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำ
รับงบล่าช้ากระทบศก.-งบลงทุน
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า ในส่วนของงบบุคลากร คงไม่มีปัญหามากนัก แต่จะมีปัญหาในเรื่องของงบลงทุนซึ่งมีจำนวนหลายแสนล้านบาท ถ้าทำไม่ได้ จะส่งผลให้เศรษฐกิจของเราไม่ดีขึ้นมากนัก ต้องหามาตรการอื่นเข้ามาเสริมเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าไม่มีเงินลงไป มันก็เดือดร้อนกันทั้งหมด แต่ผมก็เคารพในกติกาในกฎหมายทุกฉบับเรื่องนี้ก็ขอให้ติดตามกันต่อไป”นายกฯย้ำ
เมื่อถามว่าเรื่องนี้ต้องให้ทีมเศรษฐกิจเร่งออกแผนสำรองมารับมือก่อนหรือไม่ นายกฯกล่าวว่าตนพูดไปแล้วว่าต้องทำซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการประชุมในเรื่องของงบประมาณฯว่าจะต้องทำอย่างไรกันต่อไป ถ้าร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ต้องเลื่อนออกไป เราจะทำตรงไหนได้บ้าง การใช้จ่ายเงินงบประมาณของรัฐในส่วนที่สามารถใช้ได้ไปพลางๆก่อน ปัญหาวันนี้ที่ติดอยู่เรื่องเดียวคือ ปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องของงบการลงทุน
ยังไม่ออกพรก.เงินกู้ฯแก้ปัญหา
ผู้สื่อข่าวถามว่าคาดว่างบประมาณฯจะล่าช้าไปสักเมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน ขึ้นอยู่ กับการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณานานหรือไม่นานซึ่งปกติเรื่องแบบนี้ก็นานพอสมควร นานเป็นเดือนก็ทำให้ล่าช้า งบประมาณฯก็มีปัญหา สมมุติว่าการใช้จ่ายงบประมาณฯล่าช้าไปอีก 3เดือน แล้วมันจะใช้ทัน หรือเปล่าสำหรับเวลาที่เหลือก็จะเข้าไปไตรมาสสองอยู่แล้ว ส่วนเป็นไปได้หรือไม่ที่จะออกเป็นพระราชกำหนดการกู้เงิน นายกฯปฏิเสธทันทีว่าไม่สมควร ได้ปรึกษากันแล้วสำหรับเวลานี้ ถอนใจปมกดบัตรแทนไม่ควรทำ
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีการมองไปถึงความขัดแย้งในพรรคร่วมรัฐบาล ระหว่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ที่รัฐบาลด้วยกันเองออกมาเปิดเผยข้อมูล จนทำให้กลายเป็นปัญหาต่อเนื่องมาถึงร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯนายกฯกล่าวว่า“ไม่รู้ จะพรรคไหน พรรคไหน ผมไม่รู้” ก่อนที่จะถอนหายใจเสียงดัง
เมื่อถามย้ำว่าปัญหาวันนี้เป็นเรื่องของส.ส.ขุดคุ้ยกันเองนายกฯถึงกับถอนหายใจอีกครั้ง พร้อมกล่าวว่า“ก็ต้องไปถามคนฟ้องดู อย่ามาถามผม ผมไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วย สรุปก็คือว่าไม่ควรไปกระทำไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม ก็ไม่ควรจะกระทำ ถ้ารู้ว่ามันผิดกติกาของสภาฯ เอาอย่างงี้ ผมก็ตอบแบบนี้ก็แล้วกัน”
‘วิษณุ’ยันรอให้ศาลรธน.วินิจฉัย
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาส.ส.พรรครัฐบาล เสียบบัตรแทนกันในการโหวตผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯปี 2563ซึ่งนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และประธานคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค ระบุว่าเมื่อกระบวนการมิชอบกฎหมายก็จะมิชอบตามไปด้วย ไม่ต้องถึงขั้นตีความว่า เนื้อหามิชอบว่า ก็ไม่เป็นไรและไม่ว่าอะไรก็ถูกต้อง ส่วนที่มีคนวิจารณ์กันในโซเชียลฯที่บอกว่า ตนระบุถึงการเสียบบัตร เป็นเรื่องเล็กน้อยนั้น ไม่เป็นอะไรนั้น ยืนยันว่าไม่เคยพูด แต่ตรงกันข้าม โดยได้ระบุว่าเรื่องนี้ให้แยกออกเป็น 2 เรื่องคือ1.มีการเสียบบัตรแทนกันหรือไม่ และ 2.ผลของพ.ร.บ.งบประมาณฯนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
“กรณีการเสียบบัตรแทนกัน ถือเป็นการเสียหายร้ายแรง และมีความผิดมีโทษด้วย แต่ที่บอกว่าจะไม่เกิดผลกระทบน่ากลัวรุนแรง ที่ผมใช้คำว่าไม่ถึงขั้นวิบัตินั้น เป็นเรื่องของผลของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เมื่อกระบวนการไม่ถูก การจะไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มี 2 อย่าง คือ 1.เนื้อหา 2. กระบวนการ ซึ่งในกรณีนี้ เป็นเรื่องกระบวนการเพราะการให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจึงดีที่สุดว่ากระบวนการอย่างนี้ชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบแล้วจะต้องดำเนินการอย่างไรส่วนคำว่าไม่ชอบก็จะค้างอยู่เท่านั้นว่าจะเกิดอะไร”
ยันเสียบบัตรแทนผิด-โทษร้ายแรง
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2556 และ 2557 ข้อเท็จจริงในตอนนั้นมีอย่างหนึ่ง แต่ในครั้งนี้ เรายังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างเดียวกันหรือไม่ ะผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นข้อเท็จจริงคนละอย่างกัน มีสื่อบางฉบับไปบอกว่า เป็นคนละเรื่องนั้นไม่ใช่ เพราะผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นการเสียบแทนหรือไม่ เสียบกี่ใบ แต่วันนี้ดูท่าจะออกมาแล้วว่าต้องมีคนเอาบัตรไปกดเสียบ ไม่อย่างนั้นบัตรจะเด้งออกมา เพื่อแสดงว่าโหวตเห็นชอบได้อย่างไร ประเด็นนั้น ก็ต้องตรวจสอบกันไป
และขอยืนยันว่าประเด็นเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน มีความผิด มีโทษร้ายแรง เกิดความเสียหายทั้งต่อภาพพจน์และสภาด้วย แต่ผลกระทบต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯนั้น ไม่น่าจะร้ายแรงแต่อย่างใดซึ่งผลอาจจะออกมาได้ 2 ถึง 3 ทางด้วยกัน แต่ผมจะยังไม่พูดชี้นำว่า มีทางไหน
ไม่เสร็จถือเห็นชอบตามที่สภาฯ
นายวิษณุ กล่าวว่าในกรณีที่ระบุกันว่ากระบวนการมิชอบจะทำให้กฎหมายมิชอบไปด้วยนั้นเมื่อปี2556เป็นเรื่องของร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนปี 2557เป็นเรื่องของให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เมื่อเป็นกระบวนการมิชอบก็เท่ากับไม่มีมติ เท่ากับอันนั้นก็จบไป ส่วน พ.ร.บ.งบประมาณฯ เป็นกฎหมายที่แปลกกว่ากฎหมายอื่น จึงได้เกิดมาตรา143 เกิดขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษต่างหากจึงยังไม่รู้ชัดว่าจะนำมาตรา 143 มาใช้ได้อย่างไร ก็ได้เห็นคำร้องของ ส.ส.ที่ยื่นผ่านประธานสภาฯ ถึงศาลรัฐธรรมนูญโยงถึงมาตรา 143ด้วยก็ดี เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจวินิจฉัยในส่วนนี้ไปด้วย
“ในกรณีกฎหมายงบประมาณนั้น มาตรา 143 ระบุว่า ถ้าสภาฯพิจารณาไม่เสร็จภายใน 105วัน จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวุฒิสภาพิจารณาไม่เสร็จภายใน 20วัน จะเกิดอะไรขึ้น เงื่อนเวลาแบบนี้ ไม่มีอยู่ในกรณีของกฎหมายอื่น แม้แต่การพิจารณารัฐธรรมนูญก็ไม่มีเงื่อนเวลาอย่างนี้ แต่พ.ร.บ.งบประมาณฯมีเงื่อนเวลาเพราะเป็นเรื่องใหญ่ที่เกรงว่าถ้าช้าแล้วไม่ทัน ก็จะเกิดผลกระทบรุนแรงต่อประเทศ ถึงได้ระบุว่าสภาผู้แทนราษฎร ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 105วันถ้าไม่เสร็จ ถือว่าเห็นชอบตามร่างนั้นวุฒิสภาต้องให้เสร็จใน 20 วัน ถ้าไม่เสร็จถือว่าเห็นชอบตามที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมา ในจุดนี้จะนำมาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ประการใดเรายังไม่เคยลอง เป็นการดีที่ ส.ส.ยื่นคำร้องต่อศาล ได้รวมประเด็นเหล่านี้ไปด้วย”นายวิษณุ กล่าว
ไม่ทำให้เกิดวิกฤตวิบัติเสียหาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าเป็นไปได้ที่กฎหมาย จะไม่ตกไปทั้งฉบับ นายวิษณุ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปได้หมดทั้ง 1.ตกทั้งฉบับ 2.เสียไปเฉพาะมตินั้น และ3.เสียไปเฉพาะหักคะแนนที่จับได้ว่าเป็นการเสียบบัตรแทนกัน ตรงนี้ ก็สุดแท้แต่ หรืออาจจะมีข้อ 4 ข้อ5ข้อ 6 ตนก็ไม่ทราบ แต่ก็ไม่ควรพูดชี้นำ
เมื่อถามอีกว่าแสดงว่าพ.ร.บ.งบประมาณฯไม่มีทางที่จะไม่ผ่านใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่าไม่พูดเช่นนั้นแต่บอกว่าไม่ทำให้เกิดวิกฤต วิบัติ เสียหาย อย่างที่ไปตีข่าวว่า แย่แล้ว ไม่ใช่ถึงขั้นอย่างนั้น เพราะมีทางแก้ไข ดังนั้น ตอนนี้ต้องรอความชัดเจนสองทาง คือ 1. รอความชัดเจนการสอบสวนของสภาผู้แทนฯ โดยจะต้องออกมาว่ามีการเสียบบัตรแทนกันหรือไม่ แล้วใครเป็นคนแทน แล้วเจ้าของบัตรนั้นยินยอมรู้เห็นหรือไม่ ซึ่งสอบได้แค่ไหนก็แค่นั้น เพราะข้อเท็จจริงเหล่านี้จะทุ่นเวลาสำหรับศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่มีแน่ๆคือยืดเยื้อและใช้เวลาตามที่เคยคาดว่างบประมาณจะออกได้ต้นหรือกลางเดือนกุมภาพันธ์ก็ไม่เป็นเช่นนั้น แต่ความล่าช้านี้ ทำให้เสียหายก็มีบ้างแต่ไม่ถึงรุนแรงอะไร
สว.ไม่ยื่นตีความ-แนะตราพรก.ใช้ได้
ขณะที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)และประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า ส.ว.จะไม่เข้าชื่อ1ใน10ของจำนวนส.ว.ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพรบ.งบประมาณฯปี2563 เนื่องจาก ส.ส.ได้มีการเข้าชื่อต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาในการไต่สวนข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย พอสมควรประมาณ 2-3เดือน เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ แต่อีกด้านหนึ่งกฎหมายงบประมาณ เป็นกฎหมายที่สำคัญสำหรับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชนซึ่งประชาชนกำลังรอให้รัฐบาลใช้เม็ดเงินงบประมาณนี้มาเป็นกลไกช่วยเหลือประชาชนคิดว่ารัฐบาลต้องเร่งหาทางออกระหว่างกำลังรอให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยออกมา
แนะรัฐบาลออกพระราชกำหนด
“รัฐบาลสามารถใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญเพื่อตราพระราชกำหนดได้ โดยอาจทำได้สองแนวทางระหว่าง 1.พระราชกำหนดเพื่อใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2563 หรือ 2.พระราชกำหนดเพื่อนำเฉพาะเงินลงทุนมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งในกรณีหลังนี้รัฐบาลในอดีตเคยดำเนินการมาแล้ว เช่น พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ.2541 พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 เมื่อรัฐบาลตราพรก.ออกมา แล้วเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภามีมติอนุมัติให้พระราชกําหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป ซึ่งคิดว่าหากตราพระราชกำหนดดังกล่าวจริงไม่น่าจะขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญมาตรา 172 เพราะเป็นกรณีที่ตราพระราชกำหนดเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ”นายสมชาย กล่าว
“ชวน”ย้ำชัดผิดแน่ๆฝากกดแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเห็นชอบร่างข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯพิจารณาร่างดังกล่าวเสร็จแล้วในช่วงการลงมติรายมาตรา วาระ2ในมาตรา3 ของร่างประมวลจริยธรรมดังกล่าว ส.ส.หลายคนได้พากันซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการเสียบบัตรลงคะแนนที่กำลังมีปัญหาถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ อาทินายชาดาไทยเศรษฐ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทยถามหากที่มีบัตรเสียบคาเครื่องลงคะแนนอยู่ แล้วมีส.ส.ดึงบัตรออก แล้วไปเสียบบัตรลงคะแนนตัวเองเข้าไปแทน บังเอิญถูกกล้องจับภาพได้จะถูกกล่าวหาว่าเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันหรือไม่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯชี้แจงว่าต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก ส่วน ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ถามว่าถ้าส.ส.นั่งกันอยู่ 3คนในพื้นที่แต่อีกคนเอื้อมไปเสียบบัตรลงคะแนนไม่ถึงแล้วให้ตนไปกดลงคะแนนแทนให้ จะผิดหรือไม่ นายชวนตอบด้วยน้ำเสียงขึงขังทันทีว่า“ผิดแน่ๆครับ”ทำให้ส.ส.หลายคนต่างอึ้งเมื่อได้ยินคำตอบหันหน้ามองกันเลิกลั่ก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเป็นที่น่าสังเกตว่าการลงมติเป็นรายข้อของร่างข้อบังคับประมวลจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรได้มีส.ส.หลายคนที่เข้ามาลงคะแนนไม่ทันจึงใช้วิธีขานชื่อแสดงมติเพราะไม่กล้าให้เพื่อนเสียบบัตรให้หลังลงมติวาระ2เสร็จสิ้นที่ประชุมได้ลงมติวาระ3 เห็นชอบร่างประมวลจริยธรรมดังกล่าว
แฉมี3กรณีปมเสียบบัตรแทนกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับปัญหาการเสียบบัตรแทนกันในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563ขณะนี้พบว่าเกิดขึ้นใน 3 กรณี คือ มี ส.ส.บางคนเสียบบัตรค้างไว้และมีคนมากดลงมติแทน 2.มี ส.ส.บางคนเบิกบัตรสำรองไปให้คนอื่นมาเสียบบัตรลงมติแทน ทั้งที่เจ้าตัวไม่ได้เข้าร่วมการประชุม และ 3.มีการเสียบบัตรแทน เนื่องจากเครื่องลงคะแนนไม่เพียงพอ ซึ่งกรณีนี้เกิดจากปัจจุบัน ส.ส.ใช้ห้องประชุมของ ส.ว.ทำให้เครื่องลงคะแนนของสมาชิกมีเพียง 318 เครื่อง ไม่ถึง 498 คน ตามจำนวน ส.ส.ปัจจุบัน หรือขาดไป 180 เครื่อง ทำให้ ส.ส.ต้องใช้เครื่องในการลงคะแนนซ้ำกัน
พปชร.ไม่มีแนวทางกดบัตรแทน
ที่รัฐสภา นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี พรรคพลังประชารัฐในฐานะเลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)พร้อมด้วยน.ส.ภริม พูลเจริญ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ เป็นหนึ่งในส.ส.ที่ปรากฏภาพข่าวในสื่อมวลชนว่าได้กดบัตรลงคะแนนแทนส.ส.คนอื่นในระหว่างที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯปีพ.ศ.2563ร่วมกันแถลงข่าวโดยนายชัยวุฒิ ยืนยันว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ได้มีนโยบายในการให้ ส.ส.มีการกดบัตรลงคะแนนแทนกันแต่อย่างใดถ้าใครไม่มาก็จะไม่มีการลงคะแนนแทนกัน
แค่ช่วยเพื่อนลงคะแนนปัดกดแทน
นายชัยวุฒิ ยอมรับว่ามีปัญหาในเรื่องของสถานที่ประชุม เนื่องจากช่องลงคะแนนของพรรคมี 68 ช่อง แต่พรรคมีส.ส.117คน ในหนึ่งช่องย่อมมีการเสียบ2-3ใบ เป็นปกติอยู่แล้ว ส.ส.จะลงมาเสียบกันเอง แต่ภาพที่เกิดขึ้น อาจเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีการเสียบแทนกัน ถ้าไม่ได้เข้าไปนั่งด้วยตัวเองจะไม่มีทางรู้เลยว่าการกดมันยากจริงๆเป็นอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องข้อกฎหมาย เป็นเรื่องของการตีเราไม่ได้ตัดสินว่าถูกหรือผิด ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการลงคะแนนแทนกัน แต่เป็นการช่วยกันลงคะแนน
‘รังสิมา’จี้‘ปธ.สภา’เปลี่ยนระบบ
ทั้งนี้ภายหลังจากวิปรัฐบาลแถลงข่าวชี้แจงเสร็จสิ้น น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวเรียกร้องให้ประธานสภาผู้แทนฯเปลี่ยนระบบการลงคะแนนด้วยการใช้บัตรมาเป็นการแสดงอัตลักษณ์ควบคู่ไปด้วยเช่นการสแกนม่านตาและลายนิ้วมือซึ่งคิดว่ายังน่าจะเปลี่ยนแปลงระบบได้ เนื่องจากอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
“สภาของเรา มีช่องกดบัตรจำนวนน้อยมีเพียง300ช่อง แต่มีส.ส.500คน ทำให้ต้องการมีดึงบัตรออกและเสียบบัตรเข้าไปใหม่ กรณีที่เจ้าตัวอยู่ในห้อง แล้วให้คนอื่นเสียบแทนเช่นนี้ยอมรับได้ เพราะตัวยังอยู่ แต่หากตัวไม่อยู่ ย่อมผิดแน่นอน พฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นกับฝ่ายค้านและรัฐบาลเพราะช่องการลงคะแนนไม่พอจริงๆ”น.ส.รังสิมา ย้ำ
สภาโอดหั่นงบ-อดสแกนนิ้วมือ
ด้าน นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรกล่าวถึงปัญหาการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันของ ส.ส.ในระหว่างลงมติร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี2563ว่า รู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้รัฐสภาแห่งใหม่ ถูกออกแบบสำหรับแก้ไขปัญหาการกดบัตรแทนกัน โดยตั้งใจจะใช้เครื่องลงคะแนนแบบสแกนลายนิ้วมือแทนการเสียบบัตร ซึ่งไม่สามารถสแกนลายนิ้วมือแทนกันได้ แต่ปรากฏว่าในปี 2560-2561เมื่อถึงเวลาต้องตั้งงบประมาณจัดซื้ออุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ รัฐบาลกลับตัดลดงบประมาณจากที่เสนอขอไป 8,000 ล้านบาทเหลือเพียง3,000ล้านบาทจึงจำเป็นต้องปรับลดงบประมาณการจัดซื้อเครื่องดังกล่าวประกอบกับมีอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ไปร้องเรียนการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวทำให้สภาต้องตัดงบส่วนนี้ออกไป
พท.ขยี้แผลบิ๊กตู่ล้มเหลวจี้ลาออก
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าพรรคร่วมฝ่ายค้านเตรียมยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่คาดว่าจะยื่นญัตติต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนฯว่า ไม่เกินวันที่ 29มกราคม หากไม่มีอะไรผิดพลาดคาดว่า สภาจะบรรจุญัตติและเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนเนื้อหาข้อมูลการอภิปรายครั้งนี้ ประเด็นที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเปิดแผลสำคัญของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล สิ่งที่รัฐบาลทำมาช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่ไม่มีการตรวจสอบ ตั้งแต่รัฐบาล”ประยุทธ์1ไ จนมาถึง”ประยุทธ์ 2”เชื่อว่าหลังจากประชาชนได้ฟังได้ยินแล้วจะเห็นภาพความล้มเหลววามไร้ประสิทธิภาพรัฐบาลแน่นอน เพราะสิ่งที่คสช.ทำมาถึงวันนี้ส่งผลเสียหายต่อชาติอย่างไร
“การอภิปรายจะชี้ให้เห็นชัดเจนถึงความล้มเหลวและการแสวงหาประโยชน์จากเงินงบประมาณ ส่วนจะเป็นจากโครงการอะไร ที่ไหน ความเสียหายมูลค่านับแสนล้านบาท แล้วจะสูญเสียมากขึ้น หากปล่อยให้บริหารงานต่อ ขอให้รอฟังการอภิปราย ถ้าแผลรัฐบาลมันเน่าจนเป็นเนื้อร้ายหากรัฐบาลไม่ทำอะไร ยืนกระต่ายขาเดียวว่า ไม่ผิด ไม่ออก ไม่ปรับครม.ก็เชื่อว่าประชาชนคงไม่ยอมแน่ ดังนั้น ถ้าพล.อ.ประยุทธ์เห็นแก่ประเทศชาติและประชาชนก็ควรลาออก แล้วจะกลับมาใหม่ไม่ว่า”นพ.ชลน่าน ย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี