ละเอียดยิบ!‘กมธ.ปราบโกง’ไล่บี้สอบ‘กรมศุลฯ-ปปง.’ปมส่งออก-กักตุน‘หน้ากากอนามัย’
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 25 มีนาคม 2563 ที่รัฐสภา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) โดยมีวาระการพิจารณาเรื่องการส่งอออกนำเข้าและการกักตุนหน้ากากอนามัย
นายชัยยุทธ คำคุณ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรและโฆษกกรมศุลกากร ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าไม่มีกรรมาธิการในส่วนของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มาร่วมประชุมแต่อย่างใด ส่วนใหญ่มีแต่เพียงกรรมาธิการสัดส่วนของฝ่ายค้าน
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการฯได้สอบถามถึงภาพรวมของการส่งออกและการนำเข้าหน้ากากอนามัยใช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม 2563 ว่ามีจำนวนเท่าใด โดยนายชัยยุทธ ชี้แจงว่า การส่งออกในเดือนมกราคม มีจำนวน 158 ตัน , เดือนกุมภาพันธ์ มีจำนวน 187 ตัน ซึ่งจากสถิติการส่งออกจะเป็นตัวเลขที่มาจากผู้ส่งออกยื่นพิกัดสินค้าที่ไม่ใช่หน้ากากอนามัยให้ไปอยู่ในหมวดหน้ากากอนามัย ซึ่งการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงก่อนควบคุมตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์-4 กุมภาพันธ์ มีการส่งออกจำนวน 135 ตัน หรือประมาณ 72% ของการส่งออก ช่วงที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงควบคุมการส่งออกตั้งแต่วันที่ 5-20 กุมภาพันธ์ ส่งออกจำนวน 12.7 ตัน ส่วนช่วงที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 21-29 กุมภาพันธ์ ส่งออกจำนวน 38 ตัน
จากนั้นคณะกรรมาธิการฯได้ตั้งข้อสังเกต โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้สอบถามว่าทำไมช่วงวันที่ 1-4 กุมภาพันธ์ ก่อนการควบคุมหน้ากากอนามัย ถึงได้มีการส่งออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งคณะกรรมาธิการฯต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการส่งออกทั้งหมดและรายชื่อบริษัทผู้ส่งออกด้วย
นายชัยยุทธ ชี้แจงว่า การส่งออกและการสำแดงสินค้าเราไม่ทราบว่ามีมากน้อยแค่ไหนและไม่สามารถถ่ายรูปรายละเอียดสินค้าได้ทั้งหมด เนื่องจากเราดูจากใบอนุญาต ตัวเลข และมูลค่าที่คลาดเคลื่อนนั้น อาจมาจากการที่บริษัทส่งออกสำแดงสินค้าไม่ใช่หน้ากากอนามัย แต่เอาไปรวมอยู่ในหน้ากากอนามัย และหลังจากวันที่ 4 กุมภาพันธ์ กรมศุลกากรได้เข้มงวดการส่งออก แต่อาจมีผู้ส่งออกบางรายมีพฤติกรรมไม่สุจริตด้วยการสำแดงชื่อสินค้าเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ เราไม่สามารถตรวจสอบตู้ส่งออกได้ทุกตู้ เพราะการส่งออกแต่ละปีมากกว่า 3 ล้านใบขนสินค้า และตู้คอนเทนเนอร์มีมากกว่าพันตู้ต่อวัน เราไม่สามารถสกรีนได้ทุกตู้เพื่อไม่ให้กระทบการส่งออก แต่ใช้วิธีการตรวจสอบแบบการกำหนดความเสี่ยง
นอกจากนี้ นายธีรัจชัย สอบถามอีกว่าเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งห้ามส่งออกหน้ากากอนามัย แต่กลับมีข่าวออกมาว่าวันที่ 16 มีนาคม 2563 มีผู้ประกอบการรายหนึ่งเร่งรัดการส่งออกที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เหมือนกับเป็นการรู้ล่วงหน้าก่อนจริงหรือไม่
นายชัยยุทธ ชี้แจงว่า ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะการสั่งห้ามการส่งออกเกิดตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ แล้ว
ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการฯ สอบถามว่า เหตุใดกรมศุลกากรถึงได้แถลงข่าวเรื่องตัวเลขการส่งออกหน้ากากอนามัยที่คลาดเคลื่อนและมีการแก้ไขตัวเลขต่อสื่อมวลชนภายในหลัง จึงทำให้เกิดความสงสัยมีแรงกดดันทางการเมืองหรือไม่อย่างไร
ในประเด็นนี้ โฆษกกรมศุลกากร ยืนยันว่า การแถลงข่าวมีผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องการส่งออกหน้ากากอนามัย เป็นการชี้แจงแถลงไปตามข้อมูลที่ได้รับมา อย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลขที่มีความคลาดเคลื่อน เพราะมีการตรวจสอบพบว่ามีการรวมบางพิกัดที่ไม่ใช่หน้ากากอนามัยเข้าไป จึงจำเป็นต้องออกหนังสือแก้ไขไปยังสื่อมวลชน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจ
“ยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันมาจากฝ่ายการเมือง เพราะเราต้องการนำเสนอข้อเท็จจริงเท่านั้น หากมีแรงกดดันจริง เราคงพยายามทำตัวเลขให้น้อยกว่านี้ และที่ผ่านมาก็ทำหน้าที่แถลงข้อเท็จจริงตรงไปตรงมา จึงยืนยันว่าไม่มีใครมากดดันกรมศุลกากร” นายชัยยุทธ กล่าว
จากนั้นตัวแทนของสำนักงานการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) นำโดยนายเทพสุ บวรโชติดารา ผู้อำนวยการกองข่าวกรองทางการเงิน และนายวรเศรษฐ์ สุรพนานนท์ชัย ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์ข่าวกรองทางการเงิน ได้เข้ามาชี้แจง โดยได้ชี้แจงในภาพรวมของการตรวจสอบเส้นทางการเงินว่าหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าควบคุม ถ้าเกิดการกักตุนสินค้าและส่งออกไปขายนั้น มีเจ้าหน้าที่รัฐเกี่ยวข้องจะเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
อย่างไรก็ตาม แม้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.แล้ว และยังไม่มีตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แต่คณะกรรมการธุรกรรมทางการเงินของ ป.ป.ง. ก็ยังสามารถเข้าไปตรวจสอบเชิงลึกได้ ส่วนเรื่องการส่งออกนั้นอาจเป็นความผิดมูลฐานในเรื่องการหนีศุลกากร กรมศุลกากรสามารถส่งเรื่องมาให้ ป.ป.ง. ตรวจสอบได้
นายธีรัจชัย กล่าวว่า ป.ป.ง.มีแรงกดดันหรือไม่ เพราะเรื่องนี้อาจมีการทราบเป็นการภายในว่าเรื่องนี้อาจผู้มีอำนาจเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงทำให้เกรงว่าอาจมีการแทรกแซงทางการเมือง
ในประเด็นนี้ตัวแทน ป.ป.ง. ยืนยันว่า ป.ป.ง. มีนโยบายมาตลอดว่าการตรวจสอบต้องเน้นข้อมูลและความถูกต้องเท่านั้น โดยผู้มีอำนาจกำกับดูแล ป.ป.ง. มี 2 ส่วน คือ คณะกรรมการ ป.ป.ง. และคณะกรรมการธุรกรรม โดยในส่วนของคณะกรรมการธุรกรรมมีผู้แทนศาลปกครอง สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เข้าร่วมทำหน้าที่นี้ ซึ่งเป็นหลักประกันในการทำงานอยู่แล้ว ขณะที่ คณะกรรมการ ป.ป.ง. จะมีปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงต่างประเทศ เข้าร่วมเป็นกรรมการ โดยมี พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ง.
ส่วนเรื่องนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือบอย นั้นตรวจจากฐานข้อมูลพบว่าไม่พบข้อมูล ซึ่งอาจจะยังไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎหมาย ป.ป.ง. อย่างไรก็ตาม การจะตรวจสอบเส้นทางการเงินจะต้องมีคำสั่งศาลด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี