‘วิษณุ’ส่งสัญญาณเตรียม‘เคอร์ฟิว’ ห้ามออกจากบ้าน 24 ชม. ภายใต้‘ข้อยกเว้น’
25 มีนาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวมาตรการแก้ไขปัญหาโรคโควิด-19 ว่า เราได้เตรียมการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไว้ แต่มีผลทันทีไม่ได้ แม้ว่าเตรียมไว้หมดแล้ว แต่ประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องเข้าใจในการปฏิบัติ ประกาศดังกล่าวสามารถโอนอำนาจของรัฐมนตรีของกระทรวงตามกฎหมายใดก็ได้มาเป็นของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับข้อเสนอ และจะมีการออกคำสั่งให้โอนอำนาจรัฐมนตรีตาม พ.ร.บ. 40 ฉบับ มาเป็นของนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ คำสั่งที่ 1 เป็นการโอนอำนาจเพื่อความรวดเร็วบูรณาการ
คำสั่งที่ 2 เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รักษาสถานการณ์ นายกฯจะเป็นผู้อำนวยสถานการณ์ทั่วประเทศ รองนายกฯจะเป็นผู้ช่วยเรียงตามลำดับในการรักษาราชการ ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายก นายวิษณุ นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฐ์ รองนายกและรมว.พาณิชย์ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ส่วนผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าจะรับผิดชอบด้านต่างๆทั่วราชอาณาจักร
คำสั่งที่ 3 การตั้งศูนย์หรือหน่วยบริหาร ศูนย์บริหารสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ยกระดับเป็นศอฉ. กรณีจำเป็นเร่งด่วนจะพิจารณาสั่งการในนาม ศอฉ. โดยนายกฯไม่ต้องเรียกประชุมเต็มคณะ สามารถตั้งกรรกการเฉพาะกิจได้ และจะมีการจัดโครงการอีก 5-6 ศูนย์ โดยสภาความมั่นคงแห่งชาติจะรับไปดำเนินการ
คำสั่งที่ 4 ข้อกำหนด มี 16 ข้อ มีทั้งหมด 3 ประเภท
1.ห้ามทำ เช่น ห้ามเข้าพื้นที่เขตกำหนด แต่หากในจังหวัดใดที่ผู้ว่ายังไม่ออกคำสั่งให้ผู้ว่าดำเนินการสั่งห้ามในลักษณะปิดอย่างเดียวกัน แต่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกแห่ง สถานที่บางอย่างให้พิจารณาตามความเหมาะสม เช่น แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ชายหาดต่างๆ ศาสนสถาน เป็นต้น ขณะที่ การเดินทาง อากาศยาน เรือ ยานพาหนะ ทุกด่านทั่วประเทศ ห้ามเข้ามาในประเทศ ยกเว้น บุคคลดังต่อไปนี้ ผู้ที่มีสัญชาติไทย บุคคลที่เป็นคณะทูต เป็นต้น นอกจากนี้ยังห้ามชุมนุม ห้ามแพร่ข่าวปลอม,เฟคนิวส์
2.ให้ทำ บังคับส่วนราชการ เช่น ให้ หน่วยงานของรัฐเตรียมมาตรการช่วยเหลือประชาชน
3.ควรทำ เป็นคำแนะนำประชาชน เรายังไม่ไปถึงขั้นบังคับ เช่นไม่ควรออกนอกบ้าน บุคคลสามประเภทที่ทางการแพทย์ระบุว่ามีความเสี่ยงสูงมาก คือ บุคคลสูงอายุเกิน 70ปี บุคคลที่เป็นโรคประจำตัว เบาหวาน ความดันสูง โรคปิด เป็นต้น และประเภท3 เด็กตั้งแต่ 5 ขวบลงมา ขอให้อยู่กับบ้านเว้นแต่ต้องออกมาทำกิจกรรมต่างๆ ขณะที่เรื่องการเดินทางไปต่างจังหวัดนั้นจะมีมาตรการทำให้การเดินทางยากและลำบากเว้นคนที่มีความจำเป็นจริงๆ เช่น อาจจะมีการตั้งจุดสกัดหรือด่านโดยเฉพาะรอยต่อระหว่างจังหวัด หรือตรวจดูว่า ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยหรือไม่ นั่งห่างกัน 1 เมตรหรือไม่ และบางกรณีอาจใช้แอพลิเคชั่นติดตามตัว.
“นอกจากนี้รัฐบาลได้ขอร้องว่าบางอย่างอย่าปิด เช่น โรงงาน ธนาคาร ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า การขนส่งสินค้า การซื้อหาอาหารตามปกติ แต่ห้ามกักตุนสินค้า ธุรกิจหลักทรัพย์ สถานที่ราชการ ทั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่ประกาศเคอร์ฟิว” นายวิษณุ กล่าว
นายวิษณุ กล่าวอีกว่า ในส่วนของแผนปฏิบัติงานการเคอร์ฟิวนั้น ตามข้อกำหนดฉบับที่ 1 ยืนยันว่า ยังไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว จัดอยู่ในประเภทมาตรการควรทำ ยังไม่ได้ห้าม เป็นคำเตือนระดับที่ 1 แต่ถ้าจะไปถึงขั้นห้าม ก็จะมีการเตือนโดยไม่ออกข้อกำหนดล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ตื่นตระหนก ไม่ให้กักตุน ซื้อของเป็นที่โกลาหล หากมีการประกาศเคอร์ฟิว การประกาศจะไม่เหมือนกับสิ่งที่เราเคยเจอ คือ ที่ผ่านมาเคอร์ฟิวจะประกาศห้ามออกกลางคืน เพราะมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความมั่นคง
“แต่โรคโควิด เชื้อไม่ได้ออกตอนเที่ยงคืนหรือจ้องจะออกตอนไหน เชื้อโรคออก 24 ชั่วโมง ดังนั้น หากจะมีประกาศจะเคอร์ฟิวตลอด 24 ชั่วโมงแบบมีข้อยกเว้น แต่เชื้อก็ไม่ได้ออกมาง่ายขนาดนั้น ถ้ามีเคอร์ฟิว ต้อง 24 ชั่วโมง แต่มีข้อยกเว้นเป็นอันมาก เช่น ไปซื้อของ ไปหาหมอ ไปธนาคาร ไปส่งสินค้ารับสินค้าได้ ไปศาลได้ วิทยุ โทรทัศน์ ต้องออกข่าวได้ ซึ่งข้อยกเว้นในประกาศฉบับที่ 1 จะถูกนำมาใช้ในการประกาศครั้งต่อไป” นายวิษณุ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี