17 เม.ย.56 เมื่อเวลา 15.00 น. คณะทำงานต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารทั้งไทยและระหว่างประเทศ เริ่มต้นโดยนายวีระชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ประจำเนเธอร์แลนด์ ในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย เป็นคนแรกที่ขึ้นให้ถ้อยแถลงทางวาจา ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505

นายวีระชัย กล่าวนำว่า ตลอดเวลา 50 ปี กัมพูชาไม่เคยแสดงการคัดค้านการเข้าครอบครองพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรี รอบปราสาทพระวิหาร โดยการกล่าวอ้างถึงบันทึกข้อตกลง (MOU) 2543 ว่าเป็นเอกสารสำคัญที่กัมพูชายอมรับว่าพื้นที่พิพาทไม่ได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาเอง ขณะที่ไทยไม่ได้พูดถึงสนธิสัญญาฝรั่งเศส - สยาม ซึ่งขณะนั้นยังตกลงกันไม่ได้ และเว้นไว้ว่าต้องร่วมกันสำรวจแนวสันปันน้ำต่อไป

แต่ขณะนี้กัมพูชามีความพยายาม จะอ้างดินแดนใหม่ ที่ไม่มีทฤษฎีรองรับ ไม่สนใจคำพิพากษา ไม่สนใจคำให้การอื่น ๆ และการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับคำพิพากษาของศาลโลก ปี 2505

"ประหลาดใจที่เขมรกล่าวหา และอ้างภาคผนวกมากเกินไป เป็นพิธี และใช้ศาลเป็นเครื่องมือ พร้อมกล่าวหาไทยสร้างเรื่องขึ้นมา ดูเหมือนมีแนวคิดเรื่องที่อ้างว่าเคารพศาลโลก มีแนวคิดต่างกับไทย และที่กัมพูชาให้เอกสารกว่า 10 รายการก็ไม่ถูกต้อง" นายวีระชัย กล่าวถ้อยแถลง และใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 35 นาที

ด้าน อมินา มิรอง ผู้ช่วยของ ศาสตราจารย์ แอลง แปลเล่ต์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของกัมพูชาในเรื่องการกำหนดเส้นเขตแดนในแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปมา และแผนที่ดังกล่าวขัดต่อหลักภูมิศาสตร์ไม่สามารถถ่ายทอดลงแผนที่ในโลกปัจจุบันได้ และแผนที่ภาคผนวก 1 ที่กัมพูชาอ้างถึงนั้นไม่ได้มีแค่ฉบับเดียวแต่ทีมฝ่ายไทยพบถึง 6 ฉบับ ทำให้แผนที่นี้ขาดความน่าเชื่อถือ และยังขาดความแม่นยำทางเทคนิคด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าจุดตัดพื้นที่สันปันน้ำอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหารถึง 6.8 กิโลเมตร โดยกัมพูชาไม่สามารถอธิบายในเรื่องนี้ได้ อีกทั้งกัมพูชาไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเกี่ยวข้องอย่างไร เพราะไม่มีในคำพิพากษาศาลในปี 2505 และศาลก็ไม่เคยยอมรับว่าแผนที่ภาคผนวก 1 เป็นเส้นเขตแดน