'จตุพร”เจ็บลึก แนะกองทัพสงบปากสงบคำ อย่าคิดมีอำนาจทำอะไรก็ได้ ระบุพูดท้าทายในสถานการณ์ละเอียดอ่อน หวั่นเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ลั่นถ้ากองทัพไม่หยุด ก็เจอกันทุกวัน
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ PEACE TALK ผ่านเฟซบุ๊ค “Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์”ถึงการยิงแสงเลเซอร์ข้อความ"ตามหาความจริง" โดยระบุว่า ยิ่งตามหา ยิ่งพบความจริงอันแสนเจ็บปวด
นายจตุพร กล่าวว่า การยิงแสงเลเซอร์เป็นตัวหนังสือ เพื่อรำลึกการล้อมปราบสลายการชุมนุมนั้น เป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของประเทศไทย ขณะที่ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน และไม่เคยทำความจริงให้ปรากฎมาแล้ว ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 อีกทั้ง 6 ตุลา 2519 และ พฤษภา 2535 รวมทั้ง เมษา-พฤษภา 2553
ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 แม้มีคณะกรรมการทั้งฝ่ายการเมืองและทหารร่วมตรวจสอบ แต่ความจริงถูกปกปิดเป็นจำนวนมาก โดยคนหายกว่า 40 ชีวิตยังไม่สามารถเอาศพมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ กระทั่งปีนี้ครบรอบ 28 ปี ก็ยังไม่ได้ศพคืน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละเหตุการณ์นั้นมักมีคำถาม ข้อสงสัยว่า จะเป็นการปราบปรามประชาชนครั้งสุดท้าย แต่ไม่เคยครั้งสุดท้ายเสียที
การยิงเลเซอร์ตามหาความจริงนั้น ถ้า พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ไม่ออกมาให้ข่าวว่า มีการทำเป็นกระบวนการ เป็นการกระทำไม่เหมาะสม ต้องใช้กฎหมายเอาผิด ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลับพยายามหลีกเลี่ยงจะพูดถึงอีก
นายจตุพร ย้ำว่า สาระสำคัญในการพูดถึงนั้น ถ้ายิ่งดิ้นมาก เหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เพราะความตายผ่านการไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า ความตายเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
"เรารู้ผลลัพธ์ทางคดีว่า เป็นความตายที่สูญเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำหน้าที่ประคับประคองหัวใจกัน จัดงานทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ฝ่ายผู้ถูกฆ่าติดคุกคนแล้วคนเล่า คดีก็ยังไม่จบและอยู่ในชั้นศาลมากมาย"
ส่วนคดีของผู้ฆ่า กลับไม่มีคดีใดได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลแม้แต่คดีเดียว เพราะศาลอ้างไม่ใช้อำนาจของศาลอาญา ให้ไปต่อสู้ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) แล้ว ปปช.ชี้มูลว่า ไม่มีความผิด เรื่องจึงไม่ไปถึงศาลฎีกาฯ แล้วมันก็จบลงตรงนั้น
ดังนั้น ความตายที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดง มันจึงเป็นความเจ็บปวด และถูกตอกย้ำด้วยข้อหาเผาบ้านเผาเมือง โค่นล้มสถาบัน ผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ก็รู้กันว่า ความจริงคืออะไร ตนพยายามผ่อนคลายความขัดแย้งทุกครั้งว่า ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงตายหรือฝ่ายเสื้อไหนก็เช่นกัน เมื่อมาเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยไม่ควรมีใครมาตายทั้งสิ้น
การเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนนั้น มันไม่ควรจบลงด้วยการปราบปราม ประชาชน การใช้กระสุนสงครามร่วมสองแสนนัด สไนเปอร์ร่วมพันนัด มันอธิบายความจริงได้เป็นอย่างดี
“ความจริงได้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่โชคร้ายอยู่ที่คนตายเป็นคนเสื้อแดง ถ้าฝ่ายกองทัพหัดสงบปากสงบคำกันเสียบ้าง ไม่พูดจะตายมั้ย เพราะถ้าพูดยิ่งท้าทาย เพราะความจริงสามารถหากันได้ไปหมดในแต่ละด้าน แต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์”
นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีมานี้ เราได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ครบหมดแล้ว ทำแล้วผลลัพธ์ไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งเดินยิ่งเจ็บ ตนมักพูดเสมอว่า สู้แล้วรวยไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่ทรยศแล้วรวยมีอยู่จริง ดังนั้น การอยู่ท่ามกลางความซื่อสัตย์ต่อการต่อสู้นั้น การใช้ชีวิตเป็นเรื่องความยากลำบาก ตนพูดเสมอว่า ไม่ได้อยู่ท่ามกลางความอาฆาตแค้น แต่บทเรียนการปราบคนเสื้อแดงไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศนี้
“การมองประชาชนเป็นศัตรูทั้งที่มือเปล่า ใช้สไนเปอร์ ยิงเหมือนจัดการกับศัตรูต่างชาติ ใช้อาวุธสงครามยิงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งหมดทั้งปวงยิ่งตามหาความจริงมากเท่าไร ก็เจ็บปวดมาก เพราะผลลัพธ์ไม่เปลี่ยน ส่วนการยิงแสงเลเซอร์ตามหาความจริงในพื้นที่การสลายการชุมนุมนั้น การใช้คำพูดกระชับพื้นที่ ขอพื้นที่คืน กระชับวงล้อม หรือคำใดก็ตาม มันคือการล้อมฆ่ากันทั้งนั้น”
และย้ำว่า ดังนั้น โฆษกกระทรวงกลาโหม ต้องระมัดระวัง ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนแบบนี้ ถ้าคิดว่า วิธีการนำเสนอในปัจจุบันนั้น คิดว่าอำนาจสามารถทำอะไรก็ได้ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่ ถ้าท้ากันไปมา น้ำผึ้งหยดเดียวเอาไม่อยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ ถ้ากองทัพไม่หยุด ก็เจอกันทุกวัน ไม่มีปัญหา ตนเป็นประธาน นปช. แม้อยู่สภาพการณ์แบบนี้ ตนคงไม่นั่งพับเพียบ แล้วไม่แสดงความคิดเห็นอะไรในเหตุการณ์ที่มีหน้าที่ต้องแสวงหาความยุติธรรมให้จนกว่าจะหาชีวิตไม่ เพราะแค่ข้อความจากเลเซอร์น้อยกว่าความตายจากกระบอกปืน
“อย่าเอาความรู้สึกคนอคติมาว่ากัน เอาการตัดสินของศาลมาว่ากันดีกว่า ซึ่งเป็นไปด้วยความจริง หากผมพูดด้วยความคับแค้นแล้ว จะโดนกันหมดตั้งแต่หัวแถวถึงปลายแถวในกองทัพ แต่ผมเดินเลยความคับแค้นนี้ เพียงต้องการไม่ให้ความตายของคนเสื้อแดงเกิดกับใครอีก”นายจตุพร กล่าว
ทั้งนี้ การยิงแสงเลเซอร์ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืน 10-11 พ.ค. ที่ผ่านมา และทำให้แฮชแท็ก“#ตามหาความจริง” กลายเป็นกระแสสังคม ขึ้นอันดับหนึ่งของทวิตเตอร์ มีแชร์กว่า 1 ล้าน โดยการยิงแสงเลเซอร์ข้อความนี้ พบที่แยกราชประสงค์ อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นพื้นที่เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงเข้าปฎิบัติการ "ขอคืนพื้นที่"การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อ พ.ค. 2553 จนทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตกว่า 90 รายและบาดเจ็บร่วม 2 พัน โดยหลายคดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี