วันพุธ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / การเมือง
สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 29 กรกฎาคม 2568

วันอังคาร ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 15.40 น.
Tag : การเมือง คณะรัฐมนตรี ครม แนวหน้าออนไลน์ มติคณะรัฐมนตรี
  •  

เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

กฎหมาย


1. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ โครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี (โครงการห้วยโสมงฯ) จากเดิม 15 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2567) เป็น 18 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - พ.ศ. 2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม 9,078.00 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ 

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. เรื่องนี้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดปราจีนบุรี (โครงการห้วยโสมงฯ) ซึ่งเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ จากเดิม 15 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - 2567) เป็น 18 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 - 2570) ภายใต้กรอบวงเงินโครงการที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม จำนวน 9,078 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาโครงการดังกล่าว เคยได้รับความเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการมาแล้วหลายครั้ง และในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นการขยายระยะเวลาโครงการเนื่องจากปัญหาลักษณะเดิม (การจัดหาที่ดินเกิดความล่าช้า) มีสาเหตุสรุปได้ ดังนี้

สาเหตุที่ กษ. ต้องขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ

สาเหตุเดิม

สาเหตุในครั้งนี้

(1) จำนวนและราคาที่ดินโครงการเพิ่มขึ้น รวมทั้งราษฎรที่ได้รับผลกระทบเลือกรับเงินค่าชดเชยพิเศษแทนการจัดสรรที่ดินแปลงอพยพ (สาเหตุที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560)

(2) กรมชลประทานมีการแก้ไขแบบก่อสร้างเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับราษฎรและเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศ รวมทั้งการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ (สาเหตุที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563 และวันที่ 14 มิถุนายน 2565)

(3) การจัดหาที่ดินเกิดความล่าช้า เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินส่วนหนึ่งไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนด บางส่วนไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย (สาเหตุที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2563)

(4) กระบวนการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ (สาเหตุที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565)

(5) สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่รัฐบาล

มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทางของบุคคลส่งผลให้ผู้รับจ้างประสบปัญหาขาดแคลนวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรเครื่องมือไม่เพียงพอและไม่สามารถเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าสถานที่ก่อสร้างได้  (สาเหตุที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2565)

(1) การจัดหาที่ดินมีความล่าช้า เนื่องจากเจ้าของทรัพย์สินส่วนหนึ่งไม่ยอมรับราคาค่าทดแทนทรัพย์สินที่ภาครัฐกำหนด บางส่วนไม่ยินยอมให้เข้าใช้พื้นที่ รวมถึงที่ดินบางแปลงติดปัญหาเรื่องข้อกฎหมาย

(2) ผู้รับจ้างดำเนินการก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา

ซึ่งเป็นผลจากการไม่นำเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากรเข้าปฏิบัติงานตามแผนงานที่ว่างไว้ จึงต้องดำเนินการตามเงื่อนไขในการบอกเลิกสัญญา และจัดหาผู้รับจ้างรายใหม่เข้ามาดำเนินการแทน

 

                   2. กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น ทส. ขอให้นำมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปประกอบการดำเนินงานโครงการทั้งในระยะก่อสร้างและระยะดำเนินการอย่างเคร่งครัด ทส. สงป. สทนช. และสำนักงาน กปร. เห็นว่า กษ. (กรมชลประทาน) ควรควบคุม กำกับ ดูแล และเร่งรัดการดำเนินโครงการห้วยโสมงฯ ให้เป็นไปตามแผนงานและแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และ สทนช. เห็นควรให้ กษ. (กรมชลประทาน) รายงานความก้าวหน้าของโครงการฯ ต่อคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทุก 6 เดือน

 

2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อใช้เองในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ โดยมุ่งเน้นให้กระบวนการติดตั้งอุปกรณ์ให้เป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการวางกรอบการกำกับดูแลการติดตั้งและการใช้ไฟฟ้าให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและวิศวกรรม รวมทั้งเพื่อรวบรวมข้อมูล สถิติ และจำนวนผู้ใช้งานเพื่อประโยชน์ในการวางแผนด้านพลังงานของประเทศในระยะยาวต่อไป เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายกลางที่ส่งเสริมและสนับสนุนการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) เพื่อใช้เองเป็นการเฉพาะ ส่งผลให้ในการดำเนินการต่าง ๆ ต้องอ้างอิงกฎหมายและระเบียบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฉบับทำให้ขาดความเป็นเอกภาพ และไม่เป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและลดขั้นตอนในการขออนุญาตหรือการจดแจ้งยกเว้นเกี่ยวกับการติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงพลังงานและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนและภาคธุรกิจแบกรับภาระด้านเวลาและค่าใช้จ่าย อันเป็นการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศไทยไปสู่พลังงานสะอาดอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ ยังเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลในการลดและปรับโครงสร้างราคาพลังงานและนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy หรือ Eco-friendly Economy) และการสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)

                   2. กระทรวงพลังงาน โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานจึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พ.ศ. .... ขึ้น โดยมีสาระสำคัญสรุป ดังนี้

 

ประเด็น

สาระสำคัญ

หมวด 1 บททั่วไป

· ร่างฯ มาตรา 6 กำหนดวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ดังนี้

1) สนับสนุนส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ หรือสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

2) เพื่อให้การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ใช้ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ หรือในสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด เป็นไปด้วยความปลอดภัยรวมทั้งสะดวกและรวดเร็ว

3) กำกับดูแลการใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ หรือสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้เป็นไปโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้

4) เพื่อประโยชน์ในรวบรวมข้อมูล สถิติ และจำนวนผู้ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย หรือในสถานประกอบกิจการ หรือในสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

· ร่างฯ มาตรา 7 การผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัยหรือในสถานประกอบกิจการ หรือในสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไม่ถือเป็นการประกอบกิจการพลังงานตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการพลังงาน และไม่อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง กฎหมายว่าด้วยการพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน และไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร

หมวด 2 การติดตั้งอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

· ร่างฯ มาตรา 8 การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใช้ในที่อยู่อาศัย หรือในสถานประกอบกิจการ หรือในสถานที่ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด ให้กระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐ แต่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี ทั้งนี้ ให้อธิบดีปิดประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ในที่เปิดเผย ณ พพ. และโดยวิธีการเผยแพร่ผ่านระบบสารสนเทศของ พพ. ด้วย (ปัจจุบันจะต้องดำเนินการขออนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง)

· ร่างฯ มาตรา 9 ก่อนการประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้อธิบดีแจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop เพื่อให้แจ้งหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย หรือการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐานทางไฟฟ้า มาตรฐานทางโยธาและโครงสร้างอาคารและอื่น ๆ ให้อธิบดีทราบ ภายในระยะเวลาที่อธิบดีกำหนด โดยหลักเกณฑ์ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และต้องไม่เป็นการสร้างอุปสรรคหรือภาระในการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวที่เกินกว่าความจำเป็น

· ร่างฯ มาตรา 11 การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ซึ่งเป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้แล้ว ไม่ต้องขออนุญาตการเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าอีก

· ร่างฯ มาตรา 12 การติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กำหนดในพระราชบัญญัตินี้และตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี โดยเคร่งครัดและในกรณีติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ส่วนใดส่วนหนึ่งบนหลังคาหรือบนส่วนปกคลุมของสถานที่ติดตั้ง ต้องจัดให้มีการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างหลังคาหรือสิ่งคลุมสถานที่ติดตั้งว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัย ซึ่งรับรองโดยวิศวกรไฟฟ้าและวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร

· ร่างฯ มาตรา 13 ให้เจ้าของสถานที่ที่จะติดตั้งติดตั้งอุปกรณ์ระบบ Solar Rooftop แจ้งที่อยู่ของสถานที่ติดตั้ง และข้อมูลของอุปกรณ์ระบบ Solar Rooftop ติดตั้ง หลักฐานการรับรองความปลอดภัย และข้อมูลอื่น ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีต่ออธิบดีล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน และให้อธิบดีแจ้งการติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าว ต่อการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องทราบด้วย

· ร่างฯ มาตรา 15 ในกรณีที่เจ้าของสถานที่ติดตั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจสั่งให้ผู้นั้นรื้อถอนอุปกรณ์ Solar Rooftop ที่มีความบกพร่อง หรือความไม่ปลอดภัยหรือที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัตินี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดได้ทันที และถ้าเจ้าของสถานที่ติดตั้งไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการรื้อถอนอุปกรณ์ Solar Rooftop นั้นได้ โดยเจ้าของสถานที่ติดตั้งต้องรับผิดชอบหรือชดใช้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าวตามหลักฐานการใช้จ่ายให้แก่หน่วยงานของรัฐที่ออกค่าใช้จ่ายนั้น ตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี

· ร่างฯ มาตรา 16 สถานที่ติดตั้งใดที่ผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ ให้ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์นั้นภายในกิจการของสถานที่ติดตั้งเท่านั้น

· ร่างฯ มาตรา 17 การจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จากสถานที่ติดตั้งจะกระทำมิได้ เว้นแต่เป็นการจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) หรือองค์กรอื่นที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด หรือแก่บุคคลที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจการในสถานที่ติดตั้ง ทั้งนี้ สำหรับการจำหน่ายหรือให้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แก่บุคคลที่อยู่อาศัยหรือประกอบกิจการในสถานที่ติดตั้ง ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราค่าไฟฟ้าต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ และอธิบดีจะนำมาประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี

หมวด 3 การกำกับติดตามอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์และซากอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

· ร่างฯ มาตรา 18 การกำกับติดตามอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของรัฐมนตรี โดยให้มีการดำเนินการร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือองค์กรที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

· ร่างฯ มาตรา 19 การถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ Solar Rooftop จะกระทำมิได้ เว้นแต่

          1) การถอดและประกอบกลับเข้าตามเดิม

          2) การซ่อมแซมเพื่อนำกลับมาใช้ซ้ำ

          3) การดำเนินการเพื่อการศึกษา ทดลอง และวิจัย

          4) การถอดแยกของสถานกำจัดซากอุปกรณ์ระบบพลังงานแสงอาทิตย์

          5) ลักษณะอื่นใดตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

ทั้งนี้ หากมีของเสียจากการถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ Solar Rooftop เกิดขึ้นจะต้องนำของเสียนั้นไปกำจัดให้ถูกต้อง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชน ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

หมวด 4 พนักงานเจ้าหน้าที่

· ร่างฯ มาตรา 20 กำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจ ดังต่อไปนี้

          1) เข้าไปในสถานที่ติดตั้งเพื่อตรวจสอบการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ในกรณีที่ทราบหรือที่ได้รับแจ้งเหตุว่าการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ดังกล่าวอาจไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสาธารณะหรือสถานที่ใกล้เคียง

          2) มีหนังสือสอบถามหรือเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำ หรือให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์ Solar Rooftop ที่ติดตั้ง หรือให้ส่งวัตถุใดมาเพื่อประกอบการพิจารณาตรวจสอบตาม 1)

          3) ปฏิบัติการอื่นตามที่รัฐมนตรีมอบหมาย

หมวด 5 บทกำหนดโทษ

· ร่างฯ มาตรา 25 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่แจ้งการติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ภายใน 30 วันต่ออธิบดี ให้ชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

· ร่างฯ มาตรา 26 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้เกี่ยวกับการติดตั้งระบบอุปกรณ์ Solar Rooftop หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งโดยชอบเกี่ยวกับการแจ้งและการรื้อถอน Solar Rooftop ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าการกระทำผิดดังกล่าวน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

· ร่างฯ มาตรา 27 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการใช้และการจำหน่ายไฟฟ้าที่ได้จาก Solar Rooftop ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 1,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

· ร่างฯ มาตรา 28 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการกำกับติดตามอุปกรณ์ Solar Rooftop ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละ 1 หมื่นบาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

·  ร่างฯ มาตรา 29 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับการถอดแยกชิ้นส่วนซากอุปกรณ์ Solar Rooftop ให้ชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกิน 5 หมื่นบาท

บทเฉพาะกาล

· ร่างฯ มาตรา 32 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับกับการขออนุญาตติดตั้งอุปกรณ์ Solar Rooftop ที่ดำเนินการมาก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้นด้วย

วันบังคับใช้

· พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

                   3. พพ. ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติฯ แล้ว ผ่านเว็บไซต์ของ พพ. (www.dede.go.th) ระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) รวม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อสรุปหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติฯ ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม - 10 เมษายน 2568 (รวม 16 วัน) และครั้งที่ 2 เป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติฯ ระหว่างวันที่ 15 - 30 พฤษภาคม 2568 (รวม 16 วัน) นอกจากนี้ ยังได้มีการจัดตั้งคณะทำงานพิจารณากฎหมายเพื่อการส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 23 หน่วยงาน และได้ดำเนินการจัดประชุมคณะทำงานฯ จำนวน 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 และวันที่ 12 มิถุนายน 2568 รวมถึงการประชุมหารือคณะทำงานกลุ่มย่อย เพื่อร่วมกันหารือและรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อร่างพระราชบัญญัติฯ และดำเนินการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำ ร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 และได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านเว็บไซต์ดังกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบด้วยแล้ว

                   4. พน. ได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัตินี้ รวม 17 ฉบับ ได้แก่

                             (1) ร่างประกาศกระทรวงพลังงาน จำนวน 8 ฉบับ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับสถานที่และสิ่งที่เกี่ยวข้องในการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์

                             (2) ร่างระเบียบ จำนวน 9 ฉบับ เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเกี่ยวกับการติดตั้งระบบพลังงานแสงอาทิตย์

 

3. เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน   พ.ศ. ….

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยยังคงหลักการเดิม และปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติเกี่ยวกับบทนิยาม วงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน หน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอและจังหวัด และขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน และการกำหนดบทเฉพาะกาล ตลอดจนการปรับปรุงถ้อยคำ เพื่อให้การดำเนินการและการใช้จ่ายเงินทดรองราชการฯ เป็นไปอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม รวมทั้งสอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

                   สาระสำคัญของร่างระเบียบ

                   กค. เสนอว่า

                   1. ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 14 พฤษภาคม 2562 เป็นต้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติโดยเร่งด่วนตามความจำเป็นและเหมาะสมเมื่อเกิดภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินขึ้นในท้องที่หนึ่งท้องที่ใด ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย แต่เนื่องจากระเบียบดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว ซึ่งมีวิธีปฏิบัติในบางประการอาจไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

                   2. กค. โดยกรมบัญชีกลางพิจารณาแล้วเห็นสมควรยกเลิกระเบียบกระทรวงการคลังตามข้อ 1. และได้ยกร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. .... ขึ้นใหม่ โดยยังคงหลักการเดิม ซึ่งมีสาระสำคัญในการปรับปรุงแก้ไขบทบัญญัติแบ่งตามประเด็นได้ ดังนี้

 

ระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน                 พ.ศ. 2562

ร่างระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ....

1. การกำหนดบทนิยาม ดังนี้

    1.1 ปรับปรุงบทนิยามคำว่า “ภัยพิบัติ” โดย

        (1) เพิ่มเติมถ้อยคำ “ของสัตว์” ให้รวมถึงภัยที่เกิดจากโรคหรือการระบาดของสัตว์
(เดิมกำหนดเพียงการระบาดจากแมลง) เนื่องจากปัจจุบันได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง ต่อเกษตรกรในหลายพื้นที่ ซึ่งการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่น ทำให้สัตว์น้ำวัยอ่อนหลายชนิดลดลง และส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในภาพรวม อีกทั้งยังสร้างผลกระทบด้านเศรษฐกิจ จึงเห็นสมควรกำหนดคำนิยาม “ของสัตว์” ไว้เพิ่มเติม

       (2) เพิ่มเติมถ้อยคำ “หรือพืชทุกชนิด” (เดิมไม่มี) เนื่องจากปัจจุบันมีการเกิดหรือระบาดของพืชซึ่งมีลักษณะเป็นภัย ต่อพืชผลทางการเกษตรของชาวเกษตรกร ดังนั้น จึงเห็นสมควร
ที่จะเพิ่มเติมถ้อยคำดังกล่าวเพื่อให้ครอบคลุมพืชทุกชนิด

       (3) ปรับปรุงถ้อยคำ จากเดิม “อากาศหนาวจัดผิดปกติ” เป็น “อากาศหนาว”
ให้สอดคล้องกับข้อมูลเกณฑ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสภาพอากาศของประเทศไทยในช่วงฤดูหนาว จะมีอุณหภูมิต่ำสุดประมาณ 14 – 16 องศาฯ อุณหภูมิดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ หรืออาจถึงขั้นส่งผลกระทบ ร้ายแรงต่อชีวิตหรือร่างกายของประชาชน จึงเห็นสมควรที่จะปรับปรุงถ้อยคำของภัยอันเกิดจากภัยหนาวให้มีความเหมาะสม

  1.2 กำหนดบทนิยามคำว่า “ในเชิงป้องกันหรือยับยั้ง” เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การใช้จ่ายเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 และข้อ 18 ของระเบียบนี้ (เดิมไม่กำหนดไว้)

     ข้อ 5 ในระเบียบนี้

    “ภัยพิบัติ” หมายความว่า สาธารณภัยอันได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง ภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ภัยจากลูกเห็บ ภัยอันเกิดจากไฟป่า ภัยที่เกิดจากโรคหรือการระบาดของแมลงหรือศัตรูพืชทุกชนิด ภัยอันเกิดจากโรคที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ อากาศหนาวจัดผิดปกติ ภัยสงคราม และภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย กองกำลังจากนอกประเทศ ตลอดจนภัยอื่น ๆ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติ
หรือมีบุคคลหรือสัตว์ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน

 

 

 

- ไม่ได้กำหนด -

   ข้อ 5 ในระเบียบนี้

   “ภัยพิบัติ” หมายความว่า สาธารณภัยอันได้แก่ อัคคีภัย วาตภัย อุทกภัย ภัยแล้ง
ภาวะฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง ภัยจากลูกเห็บ
ภัยอันเกิดจากไฟป่า ภัยที่เกิดจากโรคหรือ
การระบาดของสัตว์ หรือแมลง หรือศัตรูพืชทุกชนิด  หรือพืชทุกชนิด ภัยอันเกิดจากโรค
ที่แพร่หรือระบาดในมนุษย์ อากาศหนาว ภัยสงคราม และภัยอันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ก่อการร้าย กองกำลังจากนอกประเทศ ตลอดจนภัยอื่น ๆ ไม่ว่าเกิดจากธรรมชาติหรือมีบุคคล หรือสัตว์ทำให้เกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชน หรือทำให้เกิดความเสียหายแก่ ทรัพย์สินของประชาชน

 

“ในเชิงป้องกันหรือยับยั้ง” หมายความว่า การดำเนินการใด ที่จำเป็นต้องกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสถานการณ์ภัยพิบัติที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้และจำเป็น ต้องรีบดำเนินการป้องกันและยับยั้งภัยพิบัติดังกล่าวโดยฉับพลัน เพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น ซึ่งหากไม่ดำเนินการป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติดังกล่าวอาจส่งผลก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกายของประชาชนหรือความเสียหายแก่ทรัพย์สินของประชาชน

2. การปรับเพิ่มวงเงินทดรองราชการฯ ของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง (4 หน่วยงาน จากหน่วยงานทั้งหมด 8 หน่วยงาน) และการปรับถ้อยคำเล็กน้อย ดังนี้

   2.1 สำนักงานปลัด กระทรวงกลาโหม (สป.กห.) จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท

   2.2 สำนักงานปลัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (สป.กษ.) จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท

   2.3 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จาก 50 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท

   2.4 สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด (ปภ.จังหวัด) จากแห่งละ 20 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท

    2.5 ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการของ สป.กห. ให้แก่หน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม (กห.) และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการของ ปภ.จังหวัด แก่อำเภอหรือกิ่งอำเภอ ตามความจำเป็นและเหมาะสม จากเดิมแต่ละแห่งต้องไม่เกิน 5 แสนบาท เป็น แต่ละแห่งต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท และต้องแจ้งให้ กค. ทราบด้วย ทั้งนี้ การปรับเพิ่มวงเงินดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน

ข้อ 8 ให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในระหว่างที่ยังไม่ได้รับเงินงบประมาณรายจ่าย ดังนี้

 

 

(1) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี 100,000,000 บาท

 

(2) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม

50,000,000 บาท

 

 (3) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์

10,000,000 บาท

 

 (4) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 50,000,000 บาท

 

 

(5) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย 50,000,000 บาท

(6) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข 10,000,000 บาท

(7) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

50,000,000 บาท

(8) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แห่งละ 20,000,000 บาท

   ในการนี้ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการตาม (2) แก่หน่วยงานในสังกัด กห. ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการตาม (8) แก่อำเภอหรือกิ่งอำเภอตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็น จะจัดสรรเพิ่มเติมให้อีกก็ได้และแจ้งให้ กค. ทราบด้วย

 

 กรณีเกิดภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจอนุมัติให้ส่วนราชการอื่นมีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินได้ตามความเหมาะสมจำเป็น และกรณีที่วงเงินทดรองราชการไม่พอให้ส่วนราชการ ดังกล่าวหรือส่วนราชการตามวรรคหนึ่งสามารถขอขยายวงเงินทดรองราชการเพิ่มโดยตรงต่อ กค.
ได้แล้วให้รายงานการอนุมัติดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบ

ข้อ 8 ให้ส่วนราชการมีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ในการให้ความช่วยเหลือหรือสนับสนุนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในระหว่าง ที่ยังไม่ได้รับงบประมาณรายจ่าย ดังนี้

 

 

- คงเดิม -

 

 

(2) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม 100,000,000 บาท

 

- คงเดิม -

 

 

 

(4) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 100,000,000 บาท

 

 

- คงเดิม -

 

- คงเดิม -

 

(7) กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 100,000,000 บาท

(8) สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แห่งละ 50,000,000 บาท

 ในการนี้ ให้ปลัดกระทรวงกลาโหมมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการตาม(2) แก่หน่วยงานในสังกัด กห. ตามความจำเป็นและเหมาะสม และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจจัดสรรเงินทดรองราชการตาม (8) แก่อำเภอหรือกิ่งอำเภอตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งแต่ละแห่งต้องมีวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความจำเป็น จะจัดสรรเพิ่มเติมให้อีกก็ได้และแจ้งให้ กค. ทราบด้วย

 

- คงเดิม -

 

 

 

3. แก้ไขหน้าที่และอำนาจของ “คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ” หรือ “ก.ช.ภ.อ.” และ “คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกิ่งอำเภอ” หรือ “ก.ช.ภ.กอ.” ในการสำรวจความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี และความต้องการรับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ของผู้ประสบภัยพิบัติโดยจัดทำบัญชีเป็นประเภทไว้ ตาม (1) เดิม เนื่องจากพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 30 กำหนดให้ผู้อำนวยการในเขต พื้นที่ที่รับผิดชอบสำรวจความเสียหายจากสาธารณภัยที่เกิดขึ้นและทำบัญชีรายชื่อผู้ประสบภัยและทรัพย์สินที่เสียหายไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งออกหนังสือรับรองให้ผู้ประสบภัยไว้เป็นหลักฐานในการรับการสงเคราะห์และฟื้นฟู ซึ่งหนังสือรับรองดังกล่าว ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการสงเคราะห์และฟื้นฟูที่ผู้ประสบภัยมีสิทธิได้รับจากทางราชการ และมีการระบุหน่วยงานที่เป็น ผู้ให้การสงเคราะห์หรือฟื้นฟู ซึ่งเอกสารหลักฐานตามมาตรา 30 ดังกล่าว ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถนำไปใช้เพื่อ พิจารณาความเสียหายที่เกิดขึ้นและความต้องการขอรับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ของผู้ประสบภัยพิบัติได้ เพื่อเป็นการลด ขั้นตอนและความซ้ำซ้อน รวมทั้งป้องกันความสับสนในการปฏิบัติงานให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน

ข้อ 12 ให้ ก.ช.ภ.อ. หรือ ก.ช.ภ.กอ. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

(1) สำรวจความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในอำเภอหรือกิ่งอำเภอ แล้วแต่กรณี และความต้องการรับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ของผู้ประสบภัยพิบัติโดยจัดทำบัญชีเป็นประเภทไว้

(2) ตรวจสอบและกลั่นกรองการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติในด้านต่าง ๆ ตามที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้สำรวจความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ที่รับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด

(3) พิจารณาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด

(4) ประสานงานและร่วมดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกับ ก.ช.ภ.อ. หรือ ก.ช.ภ.กอ. อื่น ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินขึ้นในหลายอำเภอหรือหลายกิ่งอำเภอ

(5) รายงานผลการสำรวจตาม (1) และการแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้ ก.ช.ภ.จ. ทราบหรือเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่อไป

(6) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานและให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติตามที่ ก.ช.ภ.อ หรือ ก.ช.ภ.กอ. มอบหมายแล้วแต่กรณี

ข้อ 12 ให้ ก.ช.ภ.อ. หรือ ก.ช.ภ.กอ. มีหน้าที่และอำนาจ ดังต่อไปนี้

- ตัดออก -

 

 

 

- คงเดิม -

4. ยกเลิกหน้าที่และอำนาจของ “คณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัด” หรือ “ก.ช.ภ.จ.” ในการระดมสรรพกำลังควบคุม เร่งรัด และประสานงานระหว่างหน่วยงาน
ต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ เพื่อให้ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และไม่ซ้ำซ้อน ตาม (3) เดิม
เนื่องจากการดำเนินการตามระเบียบข้อ 14 (3) เป็นการดำเนินการเกี่ยวกับการบริหารจัดการสาธารณภัยในเขตจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อำนวยการจังหวัด ซึ่งมีการกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 มาตรา 15 รวมทั้งแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติแล้ว และการจัดทำโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ กำลังคน อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ และอื่น ๆ ที่จำเป็นจากส่วนกลาง ในกรณีภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเกินกว่าความสามารถของจังหวัด ตาม (5) เดิม เนื่องจากระเบียบข้อ 14 (5) กรณีที่ไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินทดรองราชการของจังหวัดได้ ส่วนราชการที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นสามารถเสนอของบประมาณจากส่วนกลางตามอำนาจหน้าที่ได้

ข้อ 14 ให้ ก.ช.ภ.จ. มีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบและกลั่นกรองการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติด้านต่าง ๆ ตามที่ ก.ช.ภ.อ. หรือ ก.ช.ภ.กอ. ได้สำรวจ ความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ที่รับผิดชอบตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนด

(2) พิจารณาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กค. กำหนด

(3) ระดมสรรพกำลัง ควบคุม เร่งรัด และประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย พิบัติ เพื่อให้ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ทั่วถึง และไม่ซ้ำซ้อน

(4) พิจารณาอนุมัติค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย พิบัติสำหรับส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่มีวงเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินแต่จำเป็นต้องดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติตามมติของ ก.ช.ภ.จ.

(5) จัดทำโครงการขอรับการสนับสนุนงบประมาณ กำลังคน อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ และอื่น ๆ ที่จำเป็นจากส่วนกลาง ในกรณีภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นเกินกว่าความสามารถของจังหวัด

(6) ประสานงานและร่วมดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกับ ก.ช.ภ.จ. อื่น ในกรณีภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นในหลายจังหวัด

(7) รายงานความเสียหายจากภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินที่เกิดขึ้นในจังหวัด การแก้ไขความเดือดร้อนเฉพาะหน้าที่ได้ดำเนินการไปแล้ว และโครงการขอรับการสนับสนุนการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติจากส่วนกลาง ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทราบหรือเพื่อพิจารณาดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติต่อไป

(8) พิจารณาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด

ข้อ 14 ให้ ก.ช.ภ.จ. มีหน้าที่และอำนาจดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบและกลั่นกรองการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ ภัยพิบัติด้านต่าง ๆ ตามที่ ก.ช.ภ.อ. หรือ ก.ช.ภ.กอ. เสนอ

 

 

- คงเดิม -

 

- ตัดออก -

 

 

 

- คงเดิม -

 

 

 

 

- ตัดออก - 

 

 

 

- คงเดิม -

 

 

- คงเดิม - 

 

 

 

 

 

 

- คงเดิม -

5. เพิ่มเติมขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องของใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วนก่อนส่งให้กรมบัญชีกลางเพิ่มเติมการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทดรองราชการของส่วนราชการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ กค. กำหนดไว้ และเพิ่มเติมขั้นตอนการตรวจเอกสารของ ปภ. รวมทั้งขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานจากเดิม 30 วันทำการเป็น 60 วันทำการ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่ ปภ. จะต้องดำเนินการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารหลักฐานเพื่อขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการฯ ให้มีความถูกต้องและครบถ้วนก่อนที่จะได้มีการจัดส่งให้กรมบัญชีกลาง

ข้อ 30 กรณีส่วนราชการตามข้อ 8 (1) (2) (3) (4) (5) (6) และ (7) ได้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินไปแล้ว ให้ดำเนินการขอรับโอนเงินงบประมาณกรณีฉุกเฉินไปแล้ว ให้ดำเนินการขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการ ดังนี้

 (1) รวบรวมใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน เพื่อส่งให้กรมบัญชีกลางภายใน 30วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินจากคลัง เมื่อกรมบัญชีกลางได้รับใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าว เมื่อถูกต้องครบถ้วนแล้วให้เบิกเงินงบประมาณรายจ่ายโดยวิธีเบิกหักผลักส่งเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการโดยเร็ว

- ไม่กำหนด - 

 

 

 

 

(2) เมื่อได้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินไปแล้ว ให้จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงิน ซึ่งผู้มีอำนาจอนุมัติรับรองและเก็บหลักฐานใบสำคัญต้นฉบับไว้ที่ส่วนราชการนั้น เพื่อให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบ

ข้อ 30 กรณีส่วนราชการตามข้อ 8 (1) (2) (3) (4) (5) (6) และ (7) ได้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินไปแล้ว ให้ดำเนินการขอรับโอนเงินงบประมาณกรณีฉุกเฉินไปแล้ว ให้ดำเนินการขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการ ดังนี้

 (1) รวบรวมใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงิน เพื่อส่งให้กรมบัญชีกลางภายใน 60 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินจากคลัง เมื่อกรมบัญชีกลางได้รับใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าว เมื่อถูกต้องครบถ้วนแล้วให้เบิกเงินงบประมาณรายจ่ายโดยวิธีเบิกหักผลักส่งเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการให้แก่ส่วนราชการโดยเร็ว

ทั้งนี้ ให้กรมบัญชีกลางตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทดรองราชการของส่วนราชการตามข้อ 8 (1) (2) (3) (4) (5) (6) และ (7) ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนด

 

- คงเดิม -

6. ขยายระยะเวลาในการจัดส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินจากเดิม
45 วันทำการ เป็น 60 วันทำการ และขยายระยะเวลาในการดำเนินการขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจะต้องเสร็จสิ้นจากเดิมภายใน 75 วันทำการ เป็น
ภายใน 120 วันทำการ
เนื่องจากส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับการโอนเงินทดรองราชการจะต้องมีการรวบรวมเอกสารหลักฐานและจัดส่งให้แก่
ส่วนราชการเจ้าของเงินซึ่งส่วนราชการเจ้าของเงินจะต้องตรวจสอบเอกสารและความถูกต้องก่อนจะจัดส่งให้กรมบัญชีกลางต่อไป

ข้อ 31 กรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับโอนเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากส่วนราชการตามข้อ 8 ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐดังกล่าวส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายังส่วนราชการเจ้าของเงินภายใน 45 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงิน และให้ส่วนราชการเจ้าของเงินดำเนินการตามวิธีการในข้อ 30 ทั้งนี้ ระยะเวลาในการดำเนินการขอรับโอนเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจะต้องเสร็จสิ้นภายใน 75 วันทำการ

      

    กรณี กห. ได้จัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินให้แก่หน่วยงานในสังกัด หรือกรณีปภ.จังหวัด จะขอรับโอนเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการ ให้หน่วยงานในสังกัด กห. หรือ ปภ.จังหวัด ส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายัง สป.กห. หรือ ปภ. แล้วแต่กรณี ภายใน 45 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินและให้ สป.กห. หรือ ปภ. ดำเนินการตามวิธีการในข้อ 30 ทั้งนี้ระยะเวลาในการดำเนินการขอรับโอนเงินงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจะต้องเสร็จสิ้นภายใน 75 วันทำการโดยเมื่อ ปภ.จังหวัด ส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายัง ปภ. แล้ว ให้สำเนาหนังสือแจ้งสำนักงานคลังจังหวัดทราบด้วย เพื่อให้สำนักงานคลังจังหวัดตรวจสอบ

 

ทั้งนี้ ให้สำนักงานคลังจังหวัดตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทดรองราชการของ ปภ. จังหวัด ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กค. กำหนด

ข้อ 31 กรณีส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐที่ได้รับการสนับสนุนหรือได้รับโอนเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินจากส่วนราชการตามข้อ 8 ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นของรัฐดังกล่าวส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายังส่วนราชการเจ้าของเงินภายใน 60 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินจากคลัง และ
ให้ส่วนราชการเจ้าของเงินดำเนินการตามวิธีการในข้อ 30 ทั้งนี้ระยะเวลาในการดำเนินการขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจะต้องเสร็จสิ้นภายใน 120 วันทำการ

 

   กรณี กห. ได้จัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินให้แก่หน่วยงานในสังกัด หรือกรณี ปภ.จังหวัด จะขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการให้หน่วยงานในสังกัด กห. หรือ ปภ.จังหวัด ส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายังสป.กห. หรือ ปภ. แล้วแต่กรณี ภายใน 60 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินจากคลัง และให้ สป.กห. หรือ ปภ. ดำเนินการตามวิธีการในข้อ 30 ทั้งนี้ ระยะเวลาในการดำเนินการขอรับโอนงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินทดรองราชการจะต้องเสร็จสิ้นภายใน 120 วันทำการ โดยเมื่อ ปภ.จังหวัด ส่งใบสำคัญและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินมายัง ปภ. แล้วให้สำเนาหนังสือแจ้งสำนักงานคลังจังหวัดทราบด้วย เพื่อให้สำนักงานคลังจังหวัดตรวจสอบ

ทั้งนี้ ให้สำนักงานคลังจังหวัดตรวจสอบการใช้จ่ายเงินทดรองราชการของ ปภ. จังหวัด ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ กค. กำหนด

              นอกจากนี้ ร่างระเบียบดังกล่าวยังได้มีการปรับถ้อยคำเล็กน้อย เช่น จากเดิมคำว่า “เงินงบประมาณ” เป็น “งบประมาณ” เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบอื่น ๆ และคำว่า “ปลัดอำเภอหัวหน้าฝ่ายความมั่นคง” เป็น “ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มหรือฝ่ายความมั่นคง” เพื่อให้เป็นไปตามการแบ่งโครงสร้างภายในของที่ทำการปกครองอำเภอ

                   3. กค. โดยกรมบัญชีกลางได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 ผ่านเว็บไซต์ของกรมบัญชีกลาง (www.cgd.go.th) ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม - 30 ตุลาคม 2567 และมีส่วนราชการจำนวน 7 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กห. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ ปภ. เข้าร่วมประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างระเบียบๆ กับหน่วยงานดังกล่าว รวม 3 ครั้ง ดังนี้

                             3.1 ปภ. เข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ณ ห้องประชุม 302ชั้น 3 กรมบัญชีกลาง

                             3.2 กห. และ กษ. เข้าร่วมประชุมเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 303 ชั้น 3 กรมบัญชีกลาง

                             3.3 สำนักนายกรัฐมนตรี พม. มท. และ สธ. เข้าร่วมประชุม เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ห้องประชุม 303 ชั้น 3 กรมบัญชีกลาง

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เข้าร่วมการประชุมส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างระเบียบฯ และบางหน่วยงานได้มีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม กค. โดยกรมบัญชีกลางได้นำข้อเสนอแนะดังกล่าวมาปรับปรุงร่างระเบียบฯให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้นด้วยแล้ว

 

4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                    1. ปัจจุบันชนิดของพรรณไม้ที่สามารถปลูกและบำรุงรักษาในที่ดินที่ขึ้นทะเบียนไว้ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น กำหนดไว้ในบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 มีจุดประสงค์เพื่อให้ประชาชนสามารถปลูกไม้ในที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เพื่อทำการค้าไม้ได้ และไม้ที่ทำการค้าเป็นไม้ที่ถูกรับรองโดยหน่วยงานราชการตามพระราชบัญญัติสวนป่าฯ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ซื้อผู้ขายทราบได้ว่าไม้ที่ซื้อขายเป็นไม้ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการแล้ว ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมป่าไม้และเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการปลูกสร้างสวนป่ายิ่งขึ้น โดยชนิดต้นไม้ที่ปลูกตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้เมื่อผู้ทำสวนป่าขึ้นทะเบียนกับภาครัฐตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าแล้วจะสามารถปลูกไม้และทำไม้ เช่น ตัดหรือโค่นไม้ ค้าไม้ มีไม้ไว้ในครอบครอง ได้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้กฎหมายว่าด้วยป่าไม้อีก อย่างไรก็ตาม บัญชีต้นไม้ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ทำให้ชนิดของพรรณไม้ตามบัญชีต้นไม้ดังกล่าวไม่เหมาะสมกับบริบทและสถานการณ์ในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและภาคอุตสาหกรรมไม้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการปรับปรุงแก้ไขชนิดของพรรณไม้ที่สามารถปลูกและบำรุงรักษาในที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติดังกล่าวและเหมาะสมกับความต้องการของประชาชนและภาคอุตสาหกรรมไม้ยิ่งขึ้น ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 บัญญัติให้การปรับปรุงหรือแก้ไขชนิดของต้นไม้ตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ ให้กระทำเป็นพระราชกฤษฎีกา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงแก้ไขบัญชีต้นไม้เพื่อใช้บังคับตามพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการปลูกสร้างส่วนป่าไม้เศรษฐกิจต่อประชาชนและภาคอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยมีสาระสำคัญเป็นเพิ่มเติมชนิดรายการชื่อต้นไม้ในบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า จากเดิม 58 รายการ เป็น จำนวน 211 รายการ โดยยกเลิกบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 และให้ใช้บัญชีต้นไม้ท้ายร่างพระราชกฤษฎีกานี้แทน โดยเพิ่มเติมชนิดรายการชื่อต้นไม้ เช่น กระถินยักษ์ มะรุม ยางพารา ยูคาลิปตัส มะฮอกกานี ซึ่งคณะทำงานทบทวนบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้พิจารณาเลือกชนิดของต้นไม้จากบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และจากการสำรวจความคิดเห็นต่อการเพิ่มชนิดไม้ รวมถึงจากการดำเนินการของคณะทำงานทบทวนบัญชีต้นไม้ฯ และนำมารวมกับชนิดต้นไม้ตามบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2558 มากำหนดเป็นบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ ทั้งนี้ สำนักเศรษฐกิจการป่าไม้ กรมป่าไม้ ได้ดำเนินการตรวจสอบรายชื่อชนิดพันธุ์ไม้ การใช้ชื่อสามัญ/ชื่อพื้นเมือง และชื่อพฤกษศาสตร์ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการเพิ่มเติมชนิดของต้นไม้ตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ทำให้ชนิดไม้ที่สามารถปลูกในที่ดินที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้เพื่อทำสวนป่าและการค้ามีมากขึ้น ซึ่งหากได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าแล้ว แม้ไม้ที่ปลูกจะเป็นไม้หวงห้ามตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ ก็สามารถทำไม้ในที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าโดยไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยป่าไม้อีก อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนสามารถปลูกไม้เพื่อทำสวนป่าเพื่อการค้าอันจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชน

                   2. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า พ.ศ. .... เพื่อปรับปรุงบัญชีต้นไม้ท้ายพระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ใช้เป็นบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่าแทน และเป็นการส่งเสริมและสร้างแรงจูงใจในการปลูกสร้างสวนป่าและตอบสนองความต้องการประชาชนและภาคอุตสาหกรรมป่าไม้ มีสาระสำคัญ ดังนี้

ประเด็น

รายละเอียด

1. การกำหนดบัญชีต้นไม้

ให้ใช้บัญชีต้นไม้ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้เป็นบัญชีต้นไม้ตามกฎหมายว่าด้วยสวนป่า โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจาก วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

2. ผู้มีอำนาจรักษาการตามพระราชกฤษฎีกา

ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

3. รายชื่อต้นไม้ตามบัญชีต้นไม้

จำนวน 211 รายการ เช่น

1. กระเจา กระเชา (Holoptelea integrifolia Planch.)

2. กระดังงาไทย เผิง เนา สะแกแสง กระดังงาใบใหญ่ (Cananga spp.)

3. กระโดน ปุย (Careya arborea Roxb.)

4. กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินลูกผสม กระถินดอย กระถินพิมาน กระถินป่า แฉลบขาว แฉลบแดง ปี้มาน สีเสียดแก่น สีเสียดเหลือง สีเสียดเหนือ สีเสียดขี้ข้าง (Acacia spp.)

                   ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องหรือเห็นชอบ กับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว

 

5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นชอบของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                    สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                   1. กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. 2559 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดเพดานอัตราค่าธรรมเนียมขั้นสูงเกี่ยวกับการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจงและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยทั่วไปและติดเชื้อ (เก็บ ขน และกำจัด) เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำไปออกข้อกำหนดเพื่อเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ขออนุญาตและประชาชนในพื้นที่ต่อไป แต่โดยที่ปัจจุบันยังมิได้มีการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการให้บริการในการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษ หรืออันตรายจากชุมชนไว้ ประกอบกับจากสถานการณ์ปัจจุบันพบว่า มูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนเกิดขึ้นได้เป็นจำนวนมากต้องใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเก็บ ขน และกำจัดให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ประชาชนในฐานะผู้ก่อให้เกิดมูลฝอยเป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนควรมีส่วนรับผิดชอบตามหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย สธ. จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการให้บริการในการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนและมีงบประมาณเพียงพอในการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่ให้บริการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการแข่งขันทางการค้าและการให้บริการ ตลอดจนป้องกันผลกระทบและความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ซึ่งร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีสาระสำคัญ ดังนี้

                             1.1 กำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตเก็บ ขน หรือกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน ในกรณีรับทำการเก็บ และขน ไม่เกินฉบับละ 10,000 บาท และกรณีรับการกำจัด ไม่เกินฉบับละ 15,000 บาท (อปท. เรียกเก็บจากผู้ขออนุญาต)

                             1.2 กำหนดค่าธรรมเนียมการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชน เป็นรายเดือน ในกรณีที่มีน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ไม่เกินเดือนละ 30 บาท และกรณีที่มีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัมให้คิดเป็นหน่วย ทุก ๆ 2 กิโลกรัม ไม่เกินหน่วยละ 30 บาท (อปท./ผู้ขออนุญาต เรียกเก็บจากประชาชน)

                             1.3 กำหนดค่าธรรมเนียมการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนเป็นครั้งคราว ในกรณีที่มีน้ำหนักไม่เกิน 100 กิโลกรัม ให้คิดเป็นหน่วยไม่เกินหน่วยละ 100 กิโลกรัม ในอัตราไม่เกินหน่วยละ 2,000 บาท (อปท./ผู้ขออนุญาตเรียกเก็บจากประชาชน)

ทั้งนี้ รายละเอียดปรากฏตามเอกสารแนบท้าย 1

                   2. ในคราวประชุมคณะกรรมการการสาธารณสุข ครั้งที่ 147 - 3/2567 เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว

                   3. สธ. ได้จัดรับฟังความคิดเห็นร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่านระบบกลางทางกฎหมายแล้ว เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน - 18 ธันวาคม 2567 และได้รับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง และวิเคราะห์ต้นทุนการดำเนินการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามหลักเกณฑ์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบริการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564  ด้วยแล้ว

 

เศรษฐกิจ-สังคม

6. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 3/2567 เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566 - 2567

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พ.ศ. 2566 - 2567 (ร่างแผนสิ่งแวดล้อมฯ) ตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) เสนอ และให้ กพอ. สกพอ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของ กษ. คค. ทส. มท. สธ. สงป. และ สคก. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   เรื่องนี้เป็นการเสนอคณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3/2567 เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 เรื่อง (ร่าง) แผนสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) พ.ศ. 2566 - 2567 (ร่างแผนสิ่งแวดล้อมฯ) เนื่องจากแผนสิ่งแวดล้อมฯ พ.ศ. 2561 - 2564 ได้สิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการแล้ว โดยร่างแผนสิ่งแวดล้อมฉบับนี้เป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องจากฉบับเดิม ซึ่งได้มีการปรับปรุงรายละเอียดและเพิ่มเติมมาตรการ/โครงการให้ครอบคลุมทุกประเด็นและสอดคล้องกับการดำเนินการในปัจจุบัน เช่น การจัดการปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก การจัดการผลกระทบจากภัยพิบัติ การอนุรักษ์ ป้องกัน และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล ทั้งนี้ ร่างแผนสิ่งแวดล้อมฯ มีรายละเอียด สรุปได้ ดังนี้

ประเด็น

สาระสำคัญ

วิสัยทัศน์

สร้างสมดุลของการพัฒนากับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม                 อย่างยั่งยืน

วัตถุประสงค์

(1) ส่งเสริมการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับบริบทของพื้นที่

(2) อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเป็นฐานการพัฒนาอย่างคุ้มค่าและเป็นธรรมภายใต้ความสมดุลของระบบนิเวศ

(3) เสริมสร้างวิถีชีวิตและการพัฒนาเมืองและชุมชนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรวมทั้งดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนด้วยรูปแบบการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว

(4) พัฒนา ปรับปรุง เครื่องมือกลไก ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม

ยุทธศาสตร์

(1) การจัดการของเสียและมลพิษสิ่งแวดล้อม

(2) การอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

(3) การส่งเสริมการดำรงชีวิตและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

(4) การเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

โครงการสำคัญ

ภายใต้ยุทธศาสตร์

รวมทั้งสิ้น 190 โครงการ เช่น

(1) โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียในพื้นที่เขตควบคุมมลพิษ จังหวัดระยอง

(2) โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแก้มลิงคลองบางไผ่

(3) โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบชายหาดบ้านอำเภอ จังหวัดชลบุรี

(4) โครงการขับเคลื่อนการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ EEC และพื้นที่เชื่อมต่อ

กรอบวงเงิน

39,746.43 ล้านบาท

 

7. เรื่อง การจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย ประจำปี พ.ศ.2569 - 2573 (5 ปี)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เสนอ ดังนี้

                   1. รับทราบการเตรียมการจัดงานโครงการเทศกาลดนตรี Tomorrowland ในประเทศไทย

                   2. มอบหมายให้ ททท. ดำเนินการประสานงานกับบริษัท Tomorrowland International (TLI) หรือบริษัท วี อาร์ วัน.เวิลด์ (ไทยแลนด์) ซึ่งจะเป็นบริษัทที่บริษัท Tomorrowland International (TLI) ร่วมลงทุนกับบริษัทพันธมิตรในประเทศไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   1. เมื่อปี พ.ศ. 2558 - 2562 ประเทศไทยริเริ่มดำเนินโครงการประมูลสิทธิ์การจัดเทศกาลดนตรี Tomorrowland โดยมีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) และ ททท. เป็นผู้แทนในการดำเนินการศึกษาความเป็นไปและเสนอประมูลสิทธิ์ร่วมกันและคัดเลือกพื้นที่ดำเนินการ

                   2. เมื่อปี พ.ศ. 2562 ได้เกิดวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงทำให้โครงการดังกล่าวได้ยุติลง

                   3. เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่ นายกรัฐมนตรีเสนอว่ารัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยในปี 2568 ได้ประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025 เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกโดยใช้กลยุทธ์วัฒนธรรมด้านดนตรีและศิลปะการแสดงผ่านการจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ในระดับนานาชาติ งานเทศกาลดนตรี Tomorrowland เป็นเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (Electronic Dance Music : EDM) ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งจะสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้มากขึ้น จึงได้มอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับ ททท. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ ขับเคลื่อนการจัดงานเทศกาลดนตรี Tomorrowland ให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมต่อไป

                   4. งานเทศกาลดนตรี Tomorrowland เป็นเทศกาลดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (Electronic Dance Music: EDM) ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งจะสามารถดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวจากนานาประเทศให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้มากขึ้น

                   ประโยชน์และผลกระทบ

                   คาดว่าจะเกิดประโยชน์ในการจัดงานในด้านต่าง ๆ ดังนี้

                   1) ผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเกิดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเกิดการจ้างงานและการกระจายรายได้ในพื้นที่จัดงานอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจเกิดรายได้ในระบบเศรษฐกิจจากการจัดงานปีละ 3 วัน เป็นจำนวนเงินประมาณ 12,053 ล้านบาท ผู้ร่วมงาน จำนวน 922,500 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย จำนวน 369,000 คน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จำนวน 553,500 คน

                   2) ส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักในฐานะการเป็นจุดหมายปลายทางการจัดงานเทศกาลดนตรีระดับโลก (World Event Destination) และเป็น Festival Hub ในระดับเอเชีย รวมไปถึงเสริมสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยสำหรับกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูง และเป็น Safe Destination สำหรับการท่องเที่ยว ทั้งนี้ Tomorrowland เป็นงานเทศกาลที่มีผู้ติดตามในสื่อออนไลน์ช่องทางต่างๆ จำนวนกว่า 5.5 ล้านคน

                   3) เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และถ่ายทอดองค์ความรู้ระดับนานาชาติ สู่บุคลากรชาวไทย เพื่อยกระดับบุคลากรของไทย รวมถึงภาคธุรกิจบริการท่องเที่ยวในการจัดเทศกาลดนตรี ระดับโลก ซึ่งจะพัฒนาและต่อยอดไปสู่การเป็น Tomorrowland Academy

                   4) รายได้ที่เกิดขึ้นจากการจัดงาน โดยประมาณการรายได้จากการจัดงานในประเทศ ต่าง ๆ ที่ผ่านมา ในประเทศเบลเยี่ยม บราซิล ฝรั่งเศส คาดว่าจะมีรายได้เข้าสู่ประเทศไทย ดังนี้

(หน่วย:บาท)

รายการ

ปีพุทธศักราช

รวม

2569

2570

2571

2572

2573

ประมาณการผู้ร่วมงาน/วัน (คน)

50,000

55,000

60,000

67,500

75,000

307,500

รายได้จากการขายบัตรเข้างาน

773,450,000

879,263,438

993,724,594

1,195,935,152

1,415,882,455

5,258,255,639

รายได้จาก Package

การท่องเที่ยว

79,843,750

92,219,531

105,633,281

124,779,313

145,575,866

548,051,742

รายได้จากการขนส่ง

เพื่อเข้าร่วมงาน

30,000,000

33,000,000

36,000,000

39,000,000

42,000,000

180,000,000

รายได้จากการขายอาหาร

และเครื่องดื่ม

285,975,000

321,536,250

359,938,688

433,440,847

513,393,375

1,914,284,159

รายได้จากสปอนเซอร์

หรือผู้สนับสนุน

578,415,340

636,256,874

699,882,561

769,870,818

846,857,899

3,531,283,492

รายได้จากกิจกรรมพิเศษ

ภายในงาน

4,820,128

5,567,248

6,377,029

7,532,866

8,788,344

33,085,615

รายได้จากการขายสินค้า

73,472,222

80,819,444

88,166,666

99,187,500

110,208,333

451,854,165

รายได้จากการจัดการที่จอดรถ

7,200,000

8,100,000

9,000,000

9,900,000

10,800,000

45,000,000

รายได้จากดอกเบี้ยเงินฝาก

13,535,375

15,392,449

17,397,943

20,835,928

24,570,999

91,732,694

รายได้รวม

1,846,711,815

2,072,155,233

2,316,120,763

2,700,482,424

3,118,077,271

12,053,547,506

                  

                   ซึ่งการประมาณการรายได้สำหรับช่วงปี 2569 - 2573 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของรายได้จากการดำเนินงานในหลากหลายมิติ โดยคาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจเกิดรายได้ในระบบเศรษฐกิจตลอดระยะเวลา 5 ปี เป็นรายได้ประมาณ จำนวน 12,053 ล้านบาท จะมีผู้เข้าร่วมงาน จำนวน 922,500 คน แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย จำนวน 369,000 คน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 553,500 คน

 

ต่างประเทศ

8. ขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ค.ศ. 2025  

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ค.ศ. 2025 (ร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคฯ) โดยหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ ดศ. ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมาย ร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคดังกล่าว ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม มีกำหนดการจะร่วมรับรองร่างถ้อยแถลงฯ ในการประชุม APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting ระหว่างวันที่ 4 - 6 สิงหาคม 2568 ณ เมืองอินชอน สาธารณรัฐเกาหลี

                   ร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ค.ศ. 2025 เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม APEC 2025 Digital and AI Ministerial Meeting มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลยั่งยืน และปลอดภัย โดยมุ่งเน้นประเด็นหลัก 3 ด้าน ได้แก่ (1) การส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม  (2) การส่งเสริมการเชื่อมโยงทางดิจิทัลอย่างเป็นสากล มีความหมาย และครอบคลุม (3) การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้

                   ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วมีความเห็นสอดคล้องกันว่า ร่างถ้อยแถลงรัฐมนตรีเอเปคดังกล่าวไม่เข้าลักษณะเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย       

 

9. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   1. กก. รายงานว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน ครั้งที่ 28 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 19-20 มกราคม 2568 ณ เมืองยะโฮร์บาห์รู สหพันธรัฐมาเลเซีย ผลการประชุมดังกล่าวมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้

                             1.1 ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568

                                      1.1.1 รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียนและแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) (โรคโควิด 19) ซึ่งดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วกว่าร้อยละ 64 และ 53.7 ตามลำดับ

                                      1.1.2 เห็นชอบข้อเสนอโครงการใหม่จากสมาชิกอาเซียนและหารือแนวทางสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เช่น การพัฒนามาตรฐาน การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การขยายการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ รวมถึงการส่งเสริมการเชื่อมโยงในภูมิภาคกับประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะกับสาธารณรัฐอินเดีย  (อินเดีย) สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน) และเครือรัฐออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังได้เตรียมจัดทำแผนรายสาขาด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2569-2573 ให้สอดคล้องกับแผนงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะมุ่งเน้นการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ยั่งยืน เชื่อมโยงและขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม โดยไทยได้แสดงท่าทีสนับสนุนผ่านวิสัยทัศน์ IGNITE Thailand  พร้อมผลักดันความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวและยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว

                             1.2 ผลการประชุมที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

                                      1.2.1 การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 24 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2568

                                                (1) รับทราบความคืบหน้าของแผนงานอาเซียนบวกสาม พ.ศ. 2564-2568 ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จกว่าร้อยละ 61.5 โดยในปีที่ผ่านมาได้ดำเนินกิจกรรมสำคัญในกรอบความร่วมมือกับจีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) เช่น การจัดนิทรรศการ การศึกษาดูงาน และการส่งเสริมทักษะดิจิทัล โดยเน้นการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวใหม่ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้หารือแนวทางสำคัญในอนาคต เช่น การส่งเสริมการเดินเรือสำราญ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับชาวมุสลิม และการยกระดับคุณภาพการบริการ ซึ่งจะเป็นแนวทางเตรียมความพร้อมต่อยอดสู่แผนงานหลังปี พ.ศ. 2568

                                                (2) ไทยได้เสนอประเด็นสำคัญ เช่น  การพัฒนาทักษะบุคลากร และการจัดการภาวะวิกฤต พร้อมเน้นย้ำบทบาทความเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งของไทยในความร่วมมือระดับภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค และผลักดันการสร้างเครือข่ายเยาวชนด้านการท่องเที่ยวเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจทางวัฒนธรรมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนาคต

                                      1.2.2 การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ 12 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568

                                                (1) รับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการภายใต้แผนงานอาเซียน - อินเดีย พ.ศ. 2566-2570 ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าเพียงร้อยละ 6 โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการดำเนินกิจกรรมสำคัญ เช่น การจัดสัมมนาด้านการท่องเที่ยวเรือสำราญ และการเฉลิมฉลองปีแห่งการท่องเที่ยวอาเซียน - อินเดีย พ.ศ. 2568 ซึ่งอินเดียได้สนับสนุนงบประมาณ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกิจกรรมต่างๆ และมีการรณรงค์ตลาดเส้นทางท่องเที่ยวขนาดสั้นในอาเซียน ทั้งนี้ กองทุนอาเซียน - อินเดีย จะจัดสรรงบเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2568 และการฟื้นฟูหลังโควิด 19 สำหรับแนวทางในอนาคตประเทศสมาชิกเห็นชอบให้ทบทวนแผนงานให้สอดคล้องกับแผนรายสาขาด้านการท่องเที่ยวอาเซียนฉบับใหม่ และเร่งหาประเทศที่รับเป็นผู้ประสานงานหลักในกิจกรรมที่ยังค้างอยู่ โดยไทยเสนอแนวทางการเฉลิมฉลองผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การพัฒนาเส้นทางเรือสำราญ การส่งเสริมการขายและวัฒนธรรม และการเพิ่มเที่ยวบิน

                                                (2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้กล่าวถึงมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราให้แก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย และการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านภาษาและการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบสองทาง ให้สอดรับกับการเฉลิมฉลองปีแห่งการท่องเที่ยวอาเซียน - อินเดีย อย่างเป็นรูปธรรม

                                      1.2.3 การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน - สหพันธรัฐรัสเซีย (รัสเซีย) ครั้งที่ 4 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568

                                                (1) รับทราบความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างกัน ภายใต้แผนงานด้านการท่องเที่ยวอาเซียน - รัสเซีย พ.ศ. 2565 - 2568 ซึ่งมีความคืบหน้าในการดำเนินโครงการเพียงร้อยละ 8 โดยรัสเซียได้จัดฝึกอบรมและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ประกอบการในอาเซียน และมีการเสนอแผนส่งเสริมเมืองน่าเที่ยวในบรูไนดารุสซาลามให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่

                                                (2) เห็นชอบให้เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบสองทาง โดยเพิ่มความเชื่อมโยงทางอากาศ และอนุมัติโครงการสำคัญที่เน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อดิจิทัลและนวัตกรรม

                                                (3) ไทยได้นำเสนอแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือในอนาคต เช่น การใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อโปรโมทเมืองน่าเที่ยว และการพัฒนาทักษะบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เพื่อยกระดับขีดความสามารถและเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชน ซึ่งจะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว

                             2.2 ในห้วงการประชุมดังกล่าวได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ฯ จำนวน 4 ฉบับ (ไม่มีการลงนาม) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (13 มกราคม 2568) เห็นชอบไว้แล้ว ได้แก่ (1) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 28 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการแสดงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกอาเซียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในการดำเนินกิจกรรมภายใต้แผนยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2559 - 2568 และแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวอาเซียนหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (2) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม ครั้งที่ 24 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนการดำเนินการตามแผนงานด้านการท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม พ.ศ. 2564 - 2568 การพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านการท่องเที่ยวการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการส่งเสริมความยั่งยืนระหว่างอาเซียนและประเทศบวกสาม (3) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน - อินเดีย ครั้งที่ 12 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์และการแลกเปลี่ยนในระดับภาคประชาชนระหว่างอาเซียนและอินเดียผ่านการประกาศให้ปี 2568 เป็นปีแห่งการท่องเที่ยวระหว่างกัน และ (4) ร่างถ้อยแถลงสื่อร่วมการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน - รัสเซีย ครั้งที่ 4 มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนและรัสเซียในการพัฒนาช่องทางเพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเสริมสร้างความสัมพันธ์ในภาคประชาชนและการใช้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือในการพัฒนาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ เอกสารผลลัพธ์ดังกล่าวได้มีการปรับแก้ถ้อยคำโดยไม่ขัดกับผลประโยชน์ของไทย และเป็นไปตามหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้แล้ว

                   3. ประโยชน์และผลกระทบ: การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. 2568 เป็นช่องทางสำคัญให้ประเทศสมาชิกอาเซียนรับทราบผลการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการท่องเที่ยวอาเซียนตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา รวมถึงเพื่อร่วมกันกำหนดกรอบนโยบาย และแนวทางการดำเนินงานในอนาคตเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศสมาชิกอาเซียน

 

10. เรื่อง ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบสหประชาชาติ ครั้งที่ 6

                   คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบสหประชาชาติ ครั้งที่ 6 [United Nations Peacekeeping Ministerial: UNPKM 2025] (การประชุม UNPKM 2025) ระหว่างวันที่ 13 - 14 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (เยอรมนี) ตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ

                   สาระสำคัญ

                   รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุม UNPKM 2025 ระหว่างวันที่ 13 - 14 พฤษภาคม 2568 ณ กรุงเบอร์ลิน เยอรมนี ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุมฯ ประกอบด้วย เลขาธิการสหประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงผู้แทนระดับสูง จำนวน 120 ประเทศ

                   2. การประชุม UNPKM 2025 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้

                             2.1 การหารือระดับสูง (High-Level Session)

                                       2.1.1 การรักษาสันติภาพในอนาคต (Future of Peacekeeping) ที่ประชุมฯ เน้นย้ำความสำคัญของการรักษาสันติภาพภายใต้กรอบสหประชาชาติในการธำรงสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันความท้าทายใหม่ๆ กำลังเผชิญกับการทดสอบขีดความสามารถของแนวทางการปฏิบัติรูปแบบเดิม จึงจำเป็นต้องพัฒนากระบวนการคิดเชิงนวัตกรรมอย่างเป็นระบบเพื่อให้สามารถปรับตัวและตอบสนองต่อบริบทที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

                                      2.1.2 การปฏิรูปการรักษาสันติภาพเพื่อให้การปฏิบัติภารกิจปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (Peacekeeping Reform: More Effective and Peacekeeping) ที่ประชุมฯ เห็นพ้องถึงความเร่งด่วนของการปฏิรูปภารกิจการรักษาสันติภาพของสหประชาชาติให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในมิติต่างๆ ทั้งด้านความมั่นคง เทคโนโลยี การเมือง และสังคม รวมทั้งเน้นย้ำว่าการรักษาสันติภาพต้องอาศัยความเข้าใจ และการพัฒนาอย่างรอบด้านทั้งในเชิงโครงสร้าง บุคลากร เทคโนโลยี และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

                             2.2 การประชุมเต็มคณะเพื่อให้คำมั่น (Pledging Session)

                                      2.2.1 การฝึกอบรม และการเสริมสร้างขีดความสามารถความเป็นหุ้นส่วน และประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้อง (Training and Capacity Building, Partnerships, Cross-Cutting Issues) ที่ประชุมฯ หารือเกี่ยวกับการฝึกอบรมบุคลากรและความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยฝ่ายไทยได้ประกาศคำมั่นสนับสนุนแนวคิด “สันติภาพที่ยั่งยืน” มุ่งเน้นความยืดหยุ่นและการปรับตัวของภารกิจ พร้อมทั้งส่งเสริมการสนับสนุน หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดและจัดการฝึกอบรมภายใต้โครงการความร่วมมือไตรภาคี (Triangular Partnership Programme: TPP) ร่วมกับสหประชาชาติตลอดจนการส่งเสริมทหารหญิงและตำรวจหญิงเข้าร่วมภารกิจดังกล่าว

                                      2.2.2 ขีดความสามารถสำหรับรูปแบบภารกิจในปัจจุบันและอนาคต (Capabilities for Current and New Mission Models) ที่ประชุมฯ ร่วมหารือถึงขีดความสามารถของภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ ซึ่งพัฒนาสอดคล้องกับความท้าทายรูปแบบใหม่ โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น โดรน และศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ห่างไกล รวมทั้งการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

                                      2.2.3 การหารือทวิภาคีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ทั้งสองฝ่ายได้ยืนยันที่จะเสริมสร้างความร่วมมือด้านกลาโหมให้มีความแน่นแฟ้นและยั่งยืนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้กรอบแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนพัฒนากองทัพ พ.ศ. 2569 - 2580 ของไทย

 

แต่งตั้ง

11. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                   1. นางสาวนฤมล สงวนวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นายกฤษ อุตตมะเวทิน ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   3. นางสาวทัศนีย์ เมืองแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   4. นางอัญชลี สุวจิตตานนท์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมหม่อนไหม

                   5. นายอานนท์ นนทรีย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการข้าว

                   6. นายนิรันดร์ มูลธิดา ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

                   ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้

                   1. นางสาวจิตติมา ศรีถาพร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง

                   2. นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา

                   3. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

                   4. นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

                   ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เสนอแต่งตั้ง นายวิเชียร สุขสร้อย เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

 

14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ดังนี้

                   (1) นายสราวุธ อ่อนละมัย ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง)

                   (2) นายมนตรี ปาน้อยนนท์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายเดชอิศม์ ขาวทอง)]

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

 

15. เรื่อง  การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงสาธารณสุข)

                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เสนอแต่งตั้ง นายฐิติพันธ์ จูจันทร์โชติ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข [ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุชา สะสมทรัพย์)]

                   ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป

 

16. เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

                     คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 (เรื่อง การมอบหมายให้รัฐมนตรีเป็นผู้รักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) และมอบหมายให้รัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จำนวน 2 ราย ตามลำดับ ดังนี้

                     1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล)

                     2. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)

 

17. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้ง นางชญานันท์ ภักดีจิตต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

- 006

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ภูมิใจไทย-พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ชงยื่นญัตติด่วนขอสภาฯ พิจารณายกเลิก‘MOU44’ ‘ภูมิใจไทย-พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ชงยื่นญัตติด่วนขอสภาฯ พิจารณายกเลิก‘MOU44’
  • ‘สมบูรณ์’เรียกร้อง‘รัฐบาล’เพิ่มเงินเยียวยาครอบครัวทหารกล้าเป็นรายละ 7.5 ล้าน เท่าผู้ชุมนุม ‘สมบูรณ์’เรียกร้อง‘รัฐบาล’เพิ่มเงินเยียวยาครอบครัวทหารกล้าเป็นรายละ 7.5 ล้าน เท่าผู้ชุมนุม
  • ‘สว.อลงกต’แนะแรง!ตัดสัมพันธ์การทูต\'กัมพูชา’ตอบโต้ปม‘ละเมิด’ข้อตกลงหยุดยิง ‘สว.อลงกต’แนะแรง!ตัดสัมพันธ์การทูต'กัมพูชา’ตอบโต้ปม‘ละเมิด’ข้อตกลงหยุดยิง
  • ‘ปธ.รัฐสภาไทย’ประณาม‘ปธ.สภากัมพูชา’แถลงเท็จกลางที่ประชุมไอพียู โบ้ยไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ‘ปธ.รัฐสภาไทย’ประณาม‘ปธ.สภากัมพูชา’แถลงเท็จกลางที่ประชุมไอพียู โบ้ยไทยละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
  • เตือนคนไทยบินโดรนในพื้นที่เสี่ยง ใกล้พื้นที่ความมั่นคงกองทัพ อาจโดนสอยร่วง เตือนคนไทยบินโดรนในพื้นที่เสี่ยง ใกล้พื้นที่ความมั่นคงกองทัพ อาจโดนสอยร่วง
  • เขมรขี้โกงไม่เลิก!! ยิงปืนเล็ก-ขว้างระเบิด เข้าฐานทหารไทย\'ภูมะเขือ\' เขมรขี้โกงไม่เลิก!! ยิงปืนเล็ก-ขว้างระเบิด เข้าฐานทหารไทย'ภูมะเขือ'
  •  

Breaking News

ส่งกำลังใจ! 'บุ๋ม ปนัดดา'ได้เจอ'แม่ทัพภาคที่ 2'เห็นหน้าแล้วรู้เลยเจอมาหนัก-ไม่ได้นอน

‘ภูมิใจไทย-พรรคร่วมฝ่ายค้าน’ชงยื่นญัตติด่วนขอสภาฯ พิจารณายกเลิก‘MOU44’

‘จีน’เผยประชุมร่วมผู้แทน‘ไทย-กัมพูชา’ ทั้ง2ฝ่ายให้คำมั่นยึดข้อตกลงหยุดยิง

ดุยิ่งกว่าสุนัข! 'เจ้าแฝด2ไก่ชนสุดแสบ' ชอบวิ่งไล่-จิก-ตี คนที่วิ่งออกกำลังกาย

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved