โพลเผยผลสำรวจ'เปิดใจพลังเงียบต่อการเมือง' พบเบื่อหน่าย-ผิดหวังการเมือง คาดหวังต่อผู้นำรุ่นใหม่ ต้อง'เด็ดขาด จริงใจ และทำได้จริง' แนวโน้มการสนับสนุนพรรคขนาดเล็กและตั้งใหม่กำลังชี้ให้เห็นกระแสแห่งความหวัง
เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2568 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล กล่าวว่า ในห้วงเวลาที่การเมืองไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤตศรัทธา ผลโพลฉบับนี้ได้เปิดพื้นที่ให้กับ "พลังเงียบ" ซึ่งคือกลุ่มประชาชนที่ไม่แสดงออกทางการเมือง แต่มีศักยภาพสูงในการกำหนดทิศทางของประเทศในยามเลือกตั้ง ผลสำรวจนี้จึงมีคุณูปการอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจแนวโน้มใหม่ของความคิด ความหวัง และความเบื่อหน่ายของประชาชน ที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพรรคใหญ่แบบดั้งเดิมไปสู่พรรคขนาดเล็กและพรรคการเมืองตั้งใหม่ พร้อมเปิดโอกาสให้กับผู้นำรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดและพฤติกรรมแตกต่างจากนักการเมืองหน้าเดิม
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล จึงได้ทำการศึกษาเปิดใจพลังเงียบต่อการเมืองระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม ถึง 2 สิงหาคม 2568 โดยใช้ทั้งวิธีวิจัยเชิงปริมาณและคุณภาพจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนผู้ระบุว่าเป็นพลังเงียบ ขออยู่ตรงกลางทางการเมือทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,102 ตัวอย่าง
ความรู้สึกต่อการเมืองในปัจจุบัน วิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า กลุ่มพลังเงียบแสดงความรู้สึก เบื่อหน่ายและผิดหวังการเมือง อย่างชัดเจน โดยมากถึง 79.3% ระบุว่ารู้สึกเบื่อ สับสน ไม่แน่ใจว่าอะไรคือความจริงทางการเมือง ขณะที่ 75.2% หมดศรัทธาต่อระบบการเมืองโดยรวม และ 71.6% ไม่สนใจการเมืองอีกต่อไป สิ่งที่สะท้อนชัดคือ ภาพการเมืองไทยวนเวียนอยู่กับ คนหน้าเดิม พรรคเดิม (69.4%) และมีมุมมองว่า พรรคการเมืองใหญ่คือ ต้นตอของปัญหา (67.1%) ไม่สามารถสร้างความหวังใหม่ให้กับประชาชนได้อีกต่อไป
นี่คือ “อาการทางสังคม” ของการเสื่อมศรัทธาแบบกว้างขวาง (political disillusionment) ที่บ่งชี้ถึงความต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนตัวบุคคล
ที่น่าพิจารณาคือ ความคาดหวังต่อผู้นำรุ่นใหม่ ต้อง "เด็ดขาด จริงใจ และทำได้จริง" กลุ่มพลังเงียบมีความหวังต่อผู้นำรุ่นใหม่ที่มีคุณลักษณะดังนี้ 83.7% ต้องการผู้นำที่เด็ดขาด กล้าหาญ รักชาติ 81.6% ชอบผู้นำที่พูดตรง ทำจริง ไม่สร้างภาพ 80.0% ต้องสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจยุคใหม่และมีความสามารถด้านธุรกิจ และ77.9% ต้องใส่ใจแรงงาน นายจ้าง และผู้ประกอบการ แนวโน้มชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะเห็นผู้นำ มีแนวคิดเศรษฐกิจฐานราก ไม่เน้นอำนาจนิยมหรือวาทกรรมความขัดแย้ง แต่สามารถ เข้าถึงประชาชนได้จริง ลักษณะผู้นำในอุดมคติของกลุ่มนี้คือ “นักบริหาร นักธุรกิจมืออาชีพที่มีอุดมการณ์” ซึ่งต่างจากนักการเมืองที่อาศัยทุนพรรคหรือมุ้งทางการเมือง
จุดอ่อนของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ชี้ให้เห็น วงจรอุบาทว์ทางอำนาจ กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าพรรคใหญ่มีจุดอ่อนสำคัญ ดังนี้ วนเวียนกับคนหน้าเดิม ปัญหาเดิม ๆ 74.9% มีหลายมุ้ง ขัดแย้งภายใน 72.6% ชูนโยบายสวยหรูแต่ทำไม่ได้จริง 71.8% ไม่เปิดทางให้คนรุ่นใหม่ 70.5% เอื้อประโยชน์พวกพ้อง 69.8% ความรู้สึกนี้ชี้ชัดว่าพรรคใหญ่ไม่สามารถเป็นตัวแทนของประชาชนได้อีกต่อไป และมีโครงสร้างภายในที่เน้นการรักษาอำนาจ มากกว่าการปฏิรูปเพื่อประชาชน
ผอ.ซูเปอร์โพล เปิดเผยด้วยว่า แนวโน้มการสนับสนุนพรรคขนาดเล็กและตั้งใหม่กำลังชี้ให้เห็นกระแสแห่งความหวัง 37.9% ระบุว่าสนับสนุนมากถึงมากที่สุด 32.7% สนับสนุนในระดับปานกลาง รวมแล้วกว่า 70.6% เปิดใจให้พรรคเล็กและพรรคใหม่ สัดส่วนนี้กำลังเป็นที่น่าสนใจในบริบทของการเมืองไทย แสดงให้เห็นถึงการ เคลื่อนตัวของฐานคะแนนเสียง ไปสู่ทางเลือกใหม่ ซึ่งหากพรรคเล็กเหล่านี้สามารถสร้าง “แรงศรัทธา” ได้ จะกลายเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนสมการทางการเมือง
“ผลโพลนี้คือ สัญญาณเตือน ต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่ ที่เคยเป็นผู้ครอบครองอำนาจทางการเมืองมาโดยตลอด กลุ่มพลังเงียบไม่ได้เพิกเฉยทางการเมือง แต่กำลังรอผู้นำหน้าใหม่พรรคตั้งใหม่และพรรคเล็กที่กล้าคิดต่างอย่างแท้จริง “ความเบื่อหน่าย” และ “ความผิดหวัง” ที่เกิดขึ้นมิใช่เพียงเรื่องของอารมณ์แต่คือการแสดงออกถึงความต้องการทางโครงสร้างการเมืองในอารมณ์ของผู้คนที่ต้องการให้การเมืองไทยเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่ประชาชนมีความหวังและจะได้เห็นผลสัมฤทธิ์แท้จริง” ดร.นพดล กรรณิกา ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวปิดท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี