เสวนา”ความเงียบแห่งเดือนพฤษภาคม” นักวิชาการ-ธนาธร รุมชำแหละอดีตการเมือง แนะปลดล็อคปท. หลุดวังวนขัดแย้ง โวยวัฒนธรรมลอยนวล ปปช.ไม่สั่งฟ้อง”มาร์ค-เทือก” ชี้ปฏิรูป 3 ด้าน กระบวนการยุติธรรม-กองทัพ-เปิดแผลประวัติศาสตร์
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 คณะก้าวหน้าได้จัดเวทีเสวนาผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์จัดเสวนาหัวข้อ "เลิกวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวล จาก The Look of Silence ถึงความเงียบแห่งเดือนพฤษภาคม"
โดยนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ภาพยนตร์เรื่อง The Look of Silence เป็นการสะท้อนความรุนแรงทางการเมือง โดยมีการเล่าเรื่องด้วยความปราณีตผ่านหลายมุมมอง ซึ่งก่อให้เกิดคำถามว่าเมื่อไหร่สังคมไทยจะสามารถนำเสนอสารคดีลักษณะนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา หลังปี 2553 กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซงโดยตรงและอ้อม องค์กรอิสระไม่มีสถานะเป็นองค์กรอิสระมานานแล้ว โดยเฉพาะหลังปี 2557 มีปัจจัยพิเศษเข้ามาแทรกแซง จึงไม่สามารถบอกได้ว่ามีกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
"ประเทศไทยต้องมีการปลดล็อคครั้งใหญ่ที่ทำให้หลุดวังวนความขัดแย้งเพื่อสร้างประชาธิปไตย ความยุติธรรมอยู่ใต้อำนาจทางการเมืองมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้น ต้องปลดล็อคทางการเมืองด้วยการมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบโดยเฉพาะการจะต้องมีนายกฯที่มาจากการเลือกตั้งอย่างแท้จริง" นายศิโรตม์ กล่าว
รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าาวว่า ยังมีการแบ่งฝ่ายจนเกิดการปฏิเสธในการยอมรับชุดความจริง ทำไมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่สั่งฟ้องคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปยังศาล เพื่อให้เอาความจริงมาเปิดเผยในชั้นศาล วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วโดยการอ้างว่าควรให้อภัยกันนั้นเป็นการปล่อยให้การกระทำผิดผ่านพ้นไปเท่านั้น ซึ่งเป็นการทำให้สังคมเย็นชากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่เอาคนผิดลงมาลงโทษเพื่อให้เกิดบทเรียน และป้องกันไม่ให้เกิดการล้อมปราบอีก
"การทำให้วัฒนธรรมนี้ยุติได้จะต้องเอาพวกเขามาลงโทษให้ได้ แต่จะทำได้ก็ต่อเมื่อเรามีประชาธิปไตย ถ้าเราเอาทหารออกจากการเมืองได้เราจะต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ซึ่งต้องฝากไว้เป็นภารกิจให้กับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีสีมาดำเนินการต่อ และต้องไม่หยุดขุดคุ้ยเรื่องนี้" รศ.ดร.พวงทอง กล่าว
รศ.ดร.พวงทอง กล่าวว่า ยืนยันบนหลักการว่าใครทำผิดต้องได้รับการลงโทษ การนิรโทษกรรมถ้าจะเกิดขึ้นจะต้องไม่เป็นลักษณะเหมาเข่งรวมไปถึงแกนนำฝ่ายต่างๆ แต่เน้นนิรโทษกรรมเพื่อช่วยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคดีความที่ปราศจากความยุติธรรม ความคับแค้นของคนกำลังกระจายไปทั่วประเทศ ปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขและจะกลับมาภายหลังโรคระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง ภายใต้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่มีความสามารถและไม่มีความเข้าใจประชาชน อาจมีความเป็นไปได้ที่อาจเกิดการลงถนนอีกครั้งเพื่อแสดงพลังของตัวเอง
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวว่า เป็นเรื่องความจริงที่เจ็บปวดในอดีตที่ไม่มีใครอยากรับฟังหรือพูดถึง ย้อนกลับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 กว่าจะได้รับการสถาปนาว่าเป็นการอาชญากรรมโดยรัฐต้องใช้เวลานานมากกว่า 20 ปี เหตุการณ์ปี 2553 ก็เช่นกันก็ยังไม่ได้รับการชำระ ถ้าเราไม่เรียนรู้ความจริงเลยจะทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปไม่ได้
"ปี 2553 เคยไปร่วมสนับสนุนเรียกร้องให้มีการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่ เพราะเชื่อว่าการให้ประชาชนกำหนดทิศทางด้วยตัวเองเป็นหนทางที่ดีที่สุด การเกิดการยิงกันกลางเมืองในเวลานั้นมีการบาดเจ็บและเสียชีวิตแต่สังคมไม่รู้เลยว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งเป็นความล้มเหลวของรัฐ ไม่มีความจริงใจจากผู้มีอำนาจที่จะค้นหาความจริงเหล่านี้ ถ้าประชาชนไม่มีอำนาจย่อมไม่มีทางจะคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ปี 2553ได้" นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวอีกว่า เวลานี้เป็นห้วงเวลาของการต่อสู้และแย่งชิงความทรงจำ โดยฝ่ายหนึ่งต้องการให้ลบความทรงจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เช่น เหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 หรือ เหตุการณ์ปี 2553 เพื่อให้คนลืมอดีตและมาพูดแต่เรื่องการปรองดอง ซึ่งการปรองดองและความสามัคคีในความหมายนี้ คือ การห้ามมาท้าทาย แต่อีกฝ่ายหนึ่งปรากฎว่า ประชาชนกำลังพยายามค้นหาความจริงแล้วเอามาตีแผ่ให้สังคม การจะทำให้ประเทศเดินหน้าได้จะต้องเกิดการปฏิรูป 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม อย่าให้เกิดการใช้เทคนิคทางกฎหมายเพื่อให้คนปราบปรามประชาชนพ้นผิด 2.การปฏิรูปกองทัพ ซึ่งปี 2535 เราทำไม่สำเร็จแต่รอบนี้เราต้องยืนยันรวมกันว่าจะต้องปฏิรูปกองทัพให้ได้ ให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจเหนือกองทัพให้ได้ ต้องทำให้กองทัพโปร่งใสตรวจสอบได้ และ 3.การเปิดประวัติศาสตร์บาดแผล ทำให้เป็นวาระสาธารณะเอาข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์มาคุยกันอย่างมีเหตุผล เราจะก้าวต่อไปข้างหน้าได้นั้นจะต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์และสร้างพลังสังคมร่วมกัน เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก
"ผมเห็นพลังของนักศึกษาในรอบนี้ที่แตกต่างจากอดีตที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีการจัดการผ่านระบบออนไลน์และไม่มีผู้นำที่ขึ้นมาโดดๆเหมือนในอดีต แต่เป็นการเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ อีกทั้งเป็นการกระจายตัวไปในหลายพื้นที่ ผมเห็นว่าความเดือดร้อนของประชาชนสะสมใกล้ถึงจุดเดือดเต็มที พบเจอกับคนที่ทนไม่ไหวแล้ว เป็นสิ่งจับต้องได้และรอจังหวะที่มันจะระเบิดออกมา เราไม่ต้องการเห็นประเทศไปสู่ทางตันและการสูญเสียจากการชุมนุมอีก แต่เราปล่อยประเทศไทยที่ไม่มีความยุติธรรมและเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำต่อไปอีกไม่ได้ เราอยู่ในยุคสมัยที่เกิดความเปลี่ยนแปลงได้โดยเรามีเทคโนโลยีที่อดีตไม่มี นี่เป็นโอกาสแห่งยุคสมัยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ภายใต้การต่อสู้อย่างสันติวิธี" นายธนาธร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี