เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2563 เว็บไซต์ International Politics and Society (IPS) วารสารออนไลน์ที่รวบรวมบทความด้านการเมืองและสังคมของประเทศต่างๆ เผยแพร่บทความ Thailand’s ‘managed democracy’ is under pressure เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งบทความนี้เขียนโดย รศ.ดร.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (Siripan Nogsuan Sawasdeee) อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บทความดังกล่าวเล่าถึงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ก่อนจะลุกลามไปทั่วโลกและมีคนล้มตายกันเป็นใบไม้ร่วง หนึ่งในคำถามที่มีคนพูดถึงกันคือ “ประเทศที่ปกครองแบบอำนาจนิยมและมีความเป็นประชาธิปไตยน้อย สามารถรับมือวิกฤติโรคระบาดครั้งนี้ได้ดีกว่าประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากใช่หรือไม่? (authoritarian regimes and deficient democracies are coping with the virus crisis better than countries with a healthy democratic system?)”
คำตอบคือ “ไม่พบความเชื่อมโยงกันอย่างเด่นชัดระหว่างระบอบการเมืองกับการรับมือวิกฤติโรคระบาด (no strong correlation between political systems and their efficiency in battling the virus)” เห็นได้จาก ฟินแลนด์ เยอรมนี นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้และไต้หวัน ประเทศเหล่านี้เป็นประชาธิปไตยและรับมือโรคระบาดได้ดีอย่างน่าทึ่ง ในขณะที่บราซิล อิหร่านและรัสเซียกลับล้มเหลวในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้หากมองจากหลายประเทศ มีปัจจัย 3 ประการ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการรับมือวิกฤติไวรัสโควิด-19 ประกอบด้วย
1.การตอบสนองของผู้นำประเทศรวดเร็วทันเวลา อาทิ ประธานาธิบดี มูน แจ-อิน (Moon Jae-in) ของเกาหลีใต้ กับนายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) ทั้ง 2 ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี โดยเปรียบเทียบกับผลการวิเคราะห์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ที่ระบุว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (social distancing) เร็วกว่าที่เป็นอยู่เพียง 1 สัปดาห์ จะลดการเสียชีวิตของพลเมืองอเมริกันจากไวรัสโควิด-19 ได้ถึง 36,000 ราย และลดผู้ติดเชื้อได้ 7 แสนราย
2.หน่วยงานที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ แม้ระบบสาธารณสุขและสาธารณูปโภคด้านโรงพยาบาลจะมีความสำคัญ แต่เมื่อเทียบกันแล้วไม่ค่อยพบความแตกต่างกันมากนักระหว่างประเทศร่ำรวยกับยากจน สิ่งที่แตกต่างกันจริงๆ แล้วอยู่ที่ความสามารถของรัฐในการระดมทรัพยากรรวมถึงกลไกการสนับสนุนที่รวดเร็ว นอกจากนี้ยังต้องแน่ใจว่าข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีความโปร่งใส อาทิ เยอรมนี ไต้หวันและฟินแลนด์ ผู้นำทางการเมืองสามารถสื่อสารกับประชาชนให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกสบายในการใช้ชีวิตได้
และ 3.การยอมรับมาตรการแทรกแซงของรัฐบาล ในบางประเทศที่ไม่มีมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown หมายถึงการที่รัฐบาลบังคับสั่งปิดสถานที่ต่างๆ ให้เปิดเฉพาะกิจการที่จำเป็น เพื่อตัดการรวมกลุ่มของผู้คนอันเป็นช่องทางให้เกิดโรคระบาด-ผู้แปล) เช่น เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น แต่ผู้คนก็ยินดีที่จะปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก นั่นทำให้ทั้ง 2 ประเทศสามารถควบคุมการระบาดได้
แต่แม้จะมีตัวอย่างข้างต้นเหล่านี้ ประเทศที่มีสภาพการเมืองแบบอำนาจนิยมกลับพยายามใช้วิกฤติไวรัสโควิด-19 เพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่าอำนาจนิยมดีกว่าประชาธิปไตย รวมถึงถือโอกาสจัดการกับการแสดงออกของผู้เห็นต่างกับผู้มีอำนาจไปด้วย อาทิ จีนแผ่นดินใหญ่มุ่งกระชับอำนาจการบริหารที่มีความเป็นอิสระในระดับหนึ่งของเกาะฮ่องกง คาซัคสถาน คีร์กีซสถานและอุซเบกิสถาน ใช้การฟ้องร้องคดีความจัดการกับประชาชนที่ประท้วงรัฐบาล
เม็กซิโกใช้กองทัพวางแผนบริหารจัดการโรงพยาบาลในช่วงสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 เอลซัลวาดอร์ เปรู สาธารณรัฐโดมินิกัน และกัวเตมาลา ใช้สถานการณ์โรคระบาดสกัดกั้นประชาชนที่จะชุมนุมประท้วงเนื่องจากปัญหาความอดอยาก ฮอนดูรัสระงับการแสดงออกทางการเมืองและจับกุมคุมขังผู้เห็นต่าง ชิลีใช้อำนาจพิเศษจากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อชะลอการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งในทวีปเอเชียที่รัฐบาลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพสามารถรับมือกับวิกฤติไวรัสโควิด-19 ได้ดี แต่ส่วนใหญ่ต้องขอบคุณบุคลากรสาธารณสุขและอาสาสมัครด้านสุขภาพ รวมถึงประชาชนไม่มากก็น้อยที่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค แต่สำหรับรัฐบาลไทยซึ่งมีสมาชิกคณะรัฐมนตรีมาจากรัฐบาลทหารที่ปกครองประเทศระหว่างปี 2557-2562 ได้อาศัยสถานการณ์โรคระบาดเพื่อรักษาอำนาจของพวกเขา
อาทิ การตั้ง “ศบค.” ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Centre for Covid-19 Situation Administration-CCSA) เมื่อปลายเดือน มี.ค. 2563 ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (Prayuth Chan-Ocha) นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันและเป็นอดีตผู้นำรัฐบาลทหารก่อนหน้านี้ สามารถใช้อำนาจโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและแทนที่นักการเมืองจากการเลือกตั้ง
รัฐบาลจากการเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ในปัจจุบันนั้นประกอบด้วยพรรคการเมืองมากถึง 19 พรรค และกระทรวงสำคัญหลายกระทรวงก็อยู่ในมือของพรรคร่วมรัฐบาล จึงมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าสถานการณ์โรคระบาดถูก พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เพื่อทำ “รัฐประหารเงียบ (silent coup d’état)” ทั้งนี้ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ทยอยยุติมาตรการล็อกดาวน์และยุติการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ประเทศไทยที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตไม่มากนัก รัฐบาลกลับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 2563
นี่อาจตีความได้ว่า รัฐบาลต้องการให้ประชาชนอยู่บ้านให้นานที่สุด ดังคำขวัญที่ว่า “สุขภาพนำเสรีภาพ (health is more important than freedom)” แต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยกลับเลื่อนการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act-PDPA) ที่ระบุให้การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่อนุญาตเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ออกไปอีก 1 ปี มีข้อสันนิษฐานว่า เหตุที่ต้องเลื่อนเพราะต้องการให้ระบบติดตามสอบสวนโรคของรัฐบาลสามารถทำงานได้
มาตรการที่เข้มงวดเช่นนี้และการใช้อำนาจที่มากเกินไป นำไปสู่ข้อสงสัยที่ว่า รัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นในการควบคุมการผูกขาด รวมถึงเป้าหมายอื่นๆ ที่มากไปกว่าการดูแลสุขภาพของประชาชน สำหรับประเทศไทย ด้านหนึ่งดูเหมือนจะคล้ายกับอีกหลายประเทศที่สถานการณ์โรคระบาดเอื้อต่อการใช้อำนาจของผู้นำที่มีลักษณะอำนาจนิยม แต่อีกด้านหนึ่งก็กดดันให้พวกเขาต้องเปิดเผยเช่นกัน โดยอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สายตาของผู้สังเกตการณ์จะจับจ้องไปที่การทำงานของรัฐบาล
ได้แก่ เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท หรือ (31,419,860,000 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 11 ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทยจะถูกใช้อย่างไร กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะมีการใช้งบประมาณเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดรวมถึงฟื้นฟูเศรษฐกิจ ท่ามกลางความรู้สึกไม่ไว้วางใจของผู้คนทั้งในด้านความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ
ทั้งนี้ การเมืองไทยมีปัจจัยที่ต้องจับตาอยู่ 3 เรื่องคือ 1.กว่าครึ่งของประชากรชาวไทยลงทะเบียนขอรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ในจำนวนนี้ 22.3 ล้านคนได้รับอนุมัติผ่านโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน (nobody will be left behind scheme)” 10 ล้านคนได้รับอนุมัติผ่านโครงการช่วยเหลือเกษตรกร และอีก 2.5 ล้านคนได้รับอนุมัติผ่านโครงการช่วยเหลือคนพิการ แต่ยังมีอีกนับล้านคนที่เป็นคนจนซึ่งเข้าไม่ถึงการช่วยเหลือจากรัฐ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวและการส่งออกเป็นหลัก ในปี 2561 GDP ดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 66.82 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 44.7 ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกตกต่ำย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย มาตรการช่วยเหลือจะต้องได้รับการจัดการอย่างชาญฉลาดเพื่อไม่ให้ถูกมองว่ามุ่งเน้นแต่การช่วยเหลือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวย เนื่องไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลก
สิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่ที่การปกป้องเงินกู้สาธารณะนี้จากการทุจริต และแม้จะมีการตั้งคณะกรรมการติดตามการใช้เงินดังกล่าว แต่การที่คณะกรรมการหลายคนดำรงตำแหน่งคณะกรรมการในหน่วยงานอื่นๆ อยู่แล้ว นำมาซึ่งข้อสงสัยเรื่องความเป็นอิสระและเป็นกลาง 2.ความขัดแย้งในพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีความเป็นไปได้ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (Prawit Wongsuwan) รองนายกฯ และประธานยุทธศาสตร์พรรค จะขึ้นเป็นผู้นำพรรคแทน อุตตม สาวนายน (Uttama Savanayana) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังและหัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงข้างต้นอาจหมายถึงการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่งอาจมีจุดมุ่งหมายเชื่อมโยงกับการเข้าถึงเม็ดเงินจากเงินกู้ก้อนดังกล่าว 3.พรรคแกนนำฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย ก็กำลังมีความขัดแย้งภายในพรรคเช่นกัน สมาชิกระดับแกนนำพรรคบางส่วนมีแนวคิดจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการเมืองไทย แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้กำลังของพรรคอ่อนแอลง ซึ่งท้าทายการจัดตั้งแบบเดิมเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ที่แม้จะเผชิญทั้งคำตัดสินของศาลการแทรกแซงของกองทัพจนต้องตั้งพรรคใหม่ แต่ขั้วการเมืองนี้ไม่เคยแพ้การเลือกตั้งจนถึงปี 2562
ความแตกแยกในพรรคเพื่อไทยจะทำให้พรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอ่อนแอลง นับตั้งแต่การเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ที่แม้ถูกยุบไปแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่ยังเหลืออยู่ของพรรคดังกล่าวได้รวมตัวกันใหม่ในนามพรรคก้าวไกล และยังคงต่อสู้เพื่อให้มีบทบาทในฐานะฝ่ายค้าน ทั้งนี้ ในระยะยาว ระบบพรรคการเมืองของไทยจะได้รับผลประโยชน์จากพรรคที่มีประสบการณ์ทางการเมืองที่มุ่งมั่นในการสร้างค่านิยมแบบก้าวหน้า แต่ความอ่อนล้าของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อาจนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองนอกสภา
ดังกรณีของนักศึกษาจากหลายมหาวิทยาลัยที่ชุมนุมประท้วงช่วงต้นปี ก่อนจะหยุดไปตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 จากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 การประท้วงของกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่ใช่มาจากเพียงการยุบพรรคอนาคตใหม่ แต่ยังเป็นความรู้สึกไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและความยุติธรรมในสังคม ในช่วงท้ายของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน กิจกรรมทางการเมืองที่ถูกระงับไปจะต่อยๆ กลับมา รวมถึงจะมีการตรวจสอบการใช้งบประมาณเงินกู้โดยคนรุ่นใหม่ เพราะพวกเขาคือผู้ต้องแบกรับภาระหนี้ในอนาคต
ในท้ายที่สุดแล้ว บทความนี้ต้องการสรุปให้เห็นสถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันว่า ในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยน้อย ผู้สนับสนุนวิธีการแบบอำนาจนิยมอาจใช้วิกฤติไวรัสโควิด-19 เพื่อโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง การระบาดไปทั่วโลกของไวรัสโควิด-19 ทำให้รัฐบาลสามารถจำกัดสิทธิเสรีภาพโดยให้น้ำหนักด้านสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชน แต่อีกหลายประเทศก็ได้เสดงให้เห็นว่า การบรรเทาวิกฤติสามารถทำได้โดยเคารพหลักการประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและความเสมอภาค
ความท้าทายสำหรับประเทศไทยคือการรักษาสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ และคืนความหวังให้กับประชาชนแทนที่จะปล่อยให้อยู่กับความสิ้นหวัง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี