“เรืองไกร”จี้กกต.ส่งศาลรธน.ยุบพรรคพลังประชารัฐ ทำผิดพรป.พรรคการเมือง ม.92วรรคหนึ่ง(2)เป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครอง-เหตุแกนนำไปส่งเทียบเชิญ”บิ๊กป้อม”ที่มูลนิธิบ้านป่ารอยต่อฯ ยกเคสยุบทษช.เทียบ -ระบุ4 กุมารพปชร.ไม่ถูกตัดสิทธิ์ ควรลาออกตั้งพรรคใหม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง เพราะพรรคได้เป็นรบ.แต่นำนักเลือกตั้งเข้ามาแทน
เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) และอดีต สว. กล่าวว่า ตนมายื่นร้องต่อ กกต. เพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า จะมีเหตุต้องยุบพรรคพลังประชารัฐ( พปชร.) และตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการพรรคหรือไม่ จากกรณีเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ปรากฏภาพกรรมการบริหาร พปชร. หลายคนไป เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ ประธานวิปรัฐบาล ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ได้ไปยื่นเทียบเชิญพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้มาเป็นหัวหน้าพรรค พปชร. โดยใช้สถานที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด
ที่สำคัญจากการให้สัมภาษณ์ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน กรรมการบริหาร พปชร. เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. เท่ากับได้ยอมรับว่า มีการไปใช้สถานที่ของมูลนิธิดังกล่าวจริง ซึ่งสอดคล้องกับภาพที่ปรากฏตามสื่อ ซึ่งเป็นภาพของพล.อ.ประวิตร ที่จับมือกับกรรมการบริหารพรรคหลายคนที่มูลนิธิดังกล่าวอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ตนได้ใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไปพอสมควร พบว่า กรณีดังกล่าว อาจเข้าข่ายผิด พรป.พรรคการเมือง ก็อาจมีโทษถึงยุบพรรคและตัดสิทธิการเมืองด้วย จึงมาร้องต่อ กกต. เพื่อให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต. จะต้องดำเนินการโดยเร็ว
“การเลือกพลเอกประวิตร ให้เป็นหัวหน้าพรรคเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. เข้ากรณีความผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้มูลนิธิฯซึ่งมีเขียนไว้ชัดเจนในราชกิจจานุเบกษา ข้อ 2.7 ห้ามดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งผู้ที่ไปส่งเทียบเชิญพลเอกประวิตร เป็นหัวหน้าพรรคฯมีทั้งกรรมการบริหารพรรคฯที่พ้นจากตำแหน่ง และกรรมการ บริหารพรรคที่ยังรักษาการอยู่ เป็นการใช้สถานที่ไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งการเป็นนักการเมืองจะอ้างว่า ไม่รู้กฎหมายนั้นไม่ได้ เพราะแต่ละคนทำไมไม่ไปทำเนียบรัฐบาล หรือที่ทำการใหม่ของพรรค แต่นี้กลับไปใช้พื้นที่ของมูลนิธิ การเข้าออกอยู่ดีๆคงไม่มีใครขับรถ จะต้องมีการนัดหมาย นั้นแสดงว่า มีเจตนา แต่เจตนาท่านอาจจะรีบ รีบจนลืมข้อกฎหมาย”
นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า เทียบกับกรณีเมื่อครั้งที่ตนอยู่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ถูกศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคด้วยเหตุผล กระทำผิดพรป.พรรคการเมือง มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) ว่าอาจเป็นปฏิปักษ์ ซึ่งคำว่า เป็นปฏิปักษ์หรืออาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ซึ่งศาลวางคำวินิจฉัยไว้ว่าเรื่องที่กระทำผิดแล้วไม่ต้องมีเจตนาอะไร เพียงแต่สามัญชน หรือประชาชนทั่วไป เข้าใจก็ถือว่า เข้าข่าย ซึ่งมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2562 ที่ยุบพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งศาลตีความไว้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้ตนจึงมาร้องต่อ กกต. เพื่อขอให้ตรวจสอบว่า พรรคพลังประชารัฐและกรรรมการบริหารพรรค กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่
“ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องของเจตนานั้นได้บัญญัติชัดเจนว่า เพียงอาจเป็นปฏิปักษ์ก็ต้องห้ามแล้ว หาจำเป็นต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือต้องรอให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงขึ้นจริงเสียก่อนหรือไม่อีกทั้งคำว่าอาจเป็นปฏิปักษ์ในทางกฎหมายเป็นเงื่อนไขทางภาวะวิสัยไม่ขึ้นกับเจตนา หรือความรู้สึกส่วนตัวของผู้กระทำว่าจะเกิดผลเป็นปฏิปักษ์จริงหรือไม่หากแต่ต้องดูตามพฤติการณ์แห่งการกระทำนั้นๆ ว่าในความคิดของวิญญูชนคนทั่วๆไปรับรู้ได้” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามแนวทางเดิม โดยเห็นว่าเข้าข่ายก็ยุบพรรคพลังประชารัฐตามรัฐธรรมนูญพ.ศ.2560 ไม่ใช่ตามคำร้องของตน หากกกต.พบว่ามีความผิดขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรคทั้งพรรคอนาคต พรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งจะส่งผลกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐที่รักษาการทั้ง 34 คน ในขณะนั้น ถูกวินิจฉัยว่าจะตัดสิทธิ์หรือไม่
สำหรับกรณีที่พลเอกประวิตร ระบุว่าหากตนจะฟ้องร้องไม่มีปัญหานั้น นายเรืองไกร กล่าวว่า ขณะที่กลุ่มแกนนำพปชร.ไปพบพลเอกประวิตร ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯนั้น พลเอกประวิตร ยังไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค จึงยังไม่มีสถานะเป็นกรรมการบริหารพรรคในขณะนั้น ซึ่งตนก็ให้ความเป็นธรรมกับพลเอกประวิตร ส่วนกรณีที่นายไพบูลย์ ระบุว่าจะฟ้องร้องกลับตนนั้น หากจะฟ้องก็ยินดีเพราะหลักฐานที่เอามายื่นต่อกกต.ก็นำมาจากพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่ากกต.จะใช้เวลาไม่นานเพราะภาพหลักฐานก็ปรากฏตามสื่ออยู่แล้ว ทั้งนี้ ตนแปลกใจมากที่กกต.ไม่เคลื่อนไหวแตกต่างจากพรรคไทยรักษาชาติ ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต้องเด็ดขาดผูกพันทุกองค์กร หากเป็นไปตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวางแนวไว้และกกต.เห็นด้วยก็ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อไป
เมื่อถามกรณีที่กลุ่ม 4 กุมารพรรคพลังประชารัฐ เตรียมลาออก นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนมองว่าควรที่จะลาออก เพราะเป็นคนที่ก่อตั้งพรรคมา โดยขณะนั้นยอมสละโอกาสในการลงสมัครส.ส. แต่ยังทำหน้าที่รับมนตรีต่อจนพรรคชนะการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แต่กลับมีการนำนักเลือกตั้งเข้ามาแทน “หากผมเป็น 4 กุมาร ผมก็อยู่ไม่ได้ หากเห็นว่าการลาออกมีประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองก็ขอให้ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพราะไม่ได้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง และเชื่อว่าหากมีการยุบสภา หรือครบวาระก็จะมีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าอยากทำงานทางการเมืองก็ควรรีบลาออก แล้วไปตั้งพรรคใหม่ และบอกให้ประชาชนรับรู้”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี