“เพื่อไทย” แฉพิรุธ “คลินิกอบอุ่น” 18 แห่งพื้นที่กทม. แต่งบัญชี เบิกงบเกินจริงจาก สปสช. วอน “อนุทิน” สอบย้อนหลัง เชื่อทำเป็นขบวนการ ทำรัฐสูญเงินนับพันล้านบาท ขณะที่ “สปสช.” รุกฟัน “แจ้งความ-เพิกถอน-ริบเงินคืน” พร้อมตั้งกรรมการสางปัญหาทุจริตเบิกจ่าย
9 กรกฎาคม 2563 ที่รัฐสภา นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า ได้รับข้อมูลการทุจริตในหน่วยงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เรื่อง คลินิกอบอุ่นที่ให้บริการประชาชน บัตร30 บาทรักษาทุกโรค โดยได้เข้าไปดูเฉพาะการดำเนินงานในปี 2561 เฉพาะพื้นที่กทม. ตามที่สปสช.ได้เข้าไปเป็นคู่สัญญา ตรวจพบความผิดปกติถึง 18 แห่ง และได้เรียกเงินคืนไปแล้วกว่า 72 ล้านบาท
จากการตรวจสอบพบว่า การกระทำลักษณะนี้ได้กระทำเป็นขบวนการดำเนินการเบิกจ่ายในหมวด บริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ที่จะมีหน่วยแพทย์ไปตั้งตามจุดต่างๆ เพื่อให้บริการประชาชนในการตรวจโรคต่างๆ ซึ่งทราบต่อมาว่า มีการสวมชื่อประชาชนบางคน ที่ไม่เคยไปตรวจจริง แต่กลับมีการแอบอ้างชื่อ แล้วนำไปสู่ขั้นตอนเบิกจ่าย
“ขณะผมอภิปรายในสภาฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. ได้ยอมรับในสภาฯว่า มีการทุจริตในสปสช.จริง ซึ่งท่านควรเข้าไปตรวจสอบย้อนหลัง เพราะได้รับข้อมูลมาว่า มีขบวนการที่กระทำในลักษณะนี้มาตั้งแต่ปี 2555-2563 ถ้าตรวจสอบกันจริงๆ อาจพบตัวเลขที่ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณ แล้วมีการนำมาเบิกจ่ายงบประมาณไม่ต่ำกว่า พันล้านบาทแน่นอน ที่รู้ว่ามีการทำเป็นขบวนการ ทำได้ คงจะได้รับความร่วมมือจาก 1.คลินิก 2.แล็บตรวจ 3.คนในสปสช. หากจะมีการตรวจสอบ ควรจะให้ผอ.สปสช.เขต13 ที่รับผิดชอบคลินิกในพื้นที่กทม. ไปปฏิบัติราชการส่วนอื่นก่อน แล้วค่อยสอบสวน ไม่อย่างนั้น เกรงว่า ข้อมูลต่างๆอาจจะอยู่ไม่ครบ” นายประเดิมชัย กล่าว
นายประเดิมชัย กล่าวว่า ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้เสนอเรื่องดังกล่าวต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ซึ่งท่านก็ให้ความสนใจ และคงจะนำเข้าสู่การพิจารณาในกรรมาธิการฯ ที่จะมีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจ้ง ขอย้ำว่าจะ ไม่ตรวจสอบเพียงแค่คลินิกในกทม.เท่านั้น แต่จะตรวจสอบไปถึงคลินิกต่างๆที่อยู่พื้นที่ปริมณฑลด้วยอีกด้วย
“ยังพบข้อมูลผู้บริหารระดับสูงในสปสช.บางคน ไปดำเนินการเปิดคลินิก ที่อาจมีประเด็นขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากกฎหมายได้ระบุไว้ชัด หากจะไปเป็นคู่สัญญากับภาครัฐ ต้องพ้นจากตำแหน่งเป็นเวลา2ปี แต่ผู้บริหารรายนั้นออกไปแล้วไปตั้งคลินิก ซึ่งยังไม่ครบ2ปี ขอให้รมว.สาธารณสุข เข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง ในการตรวจสอบควรแต่งตั้งบุคคลจากภายนอก ที่ไม่เกี่ยวข้องกับมาเป็นกรรมการสอบด้วย” นายประเดิมชัย กล่าว
วันเดียวกัน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยในการแถลงข่าวเรื่อง บอร์ด สปสช. ตั้งคณะกรรมการสางปัญหา “18 คลินิก ทุจริตเบิกเงินคัดกรองโรคกองทุนบัตรทอง” เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 2563 ตอนหนึ่งว่า กรณีการตรวจพบการทุจริตของคลินิกทั้ง 18 แห่งนั้น เกิดขึ้นจากระบบตรวจสอบการเบิกจ่าย หรือ audit ของ สปสช. ที่ให้ความสำคัญในการสร้างความมั่นใจกับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทั้งในด้านระบบบริการและระบบบริหารจัดการ
สำหรับกรณีดังกล่าว สปสช.ได้มีการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่วันที่ 14-15 ส.ค. 2562 และได้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการทางการทันที โดยวันที่ 26 ก.ย. 2562 คณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้มีมติระงับการจ่ายเงินและขยายผลการตรวจสอบเพิ่มเพื่อให้มีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจากการตรวจเอกสารกว่า 2 แสนฉบับ พบว่ามีการเบิกจ่ายไม่น่าเชื่อถือรวมกว่า 74.39 ล้านบาท ในช่วงวันที่ 29-30 ต.ค. 2562
ขณะเดียวกันเรื่องได้ผ่านการพิจารณามาเป็นลำดับชั้น จนในที่สุดวันที่ 1 เม.ย. 2563 คณะอนุกรรมการพิจารณาหักค่าใช้จ่าย ได้มีมติ 6 ข้อ ซึ่งปัจจุบันได้ดำเนินการทั้งในส่วนของการเรียกเงินคืน แจ้งความดำเนินคดี รวมถึงยกเลิกสัญญากับหน่วยบริการทั้งหมด
“กระบวนการอย่างเป็นทางการได้เริ่มต้นตั้งแต่หลังตรวจเจอ และมีการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ โดยคณะกรรมการหลายคณะที่มีองค์ประกอบหลากหลายภาคส่วนในการดูแล จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการประวิงเวลาใดๆ ซึ่งการดำเนินงานจะต้องให้ความรอบคอบ โดยเฉพาะการดำเนินคดีทางกฎหมาย และในวันนี้ก็ได้ดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” นพ.ศักดิ์ชัย กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า พร้อมกันนี้ยังได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้น โดยมีอัยการเป็นประธาน และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายเป็นกรรมการ เพื่อให้ตรวจสอบปัญหาในกระบวนการที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อยกเลิกการเป็นหน่วยบริการแล้ว สปสช.ยังได้มีการเตรียมรองรับประชาชนที่ใช้บริการอยู่เดิมไปยังหน่วยบริการอื่น โดยไม่ให้มีความเดือดร้อนอีกด้วย
นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า ที่ผ่านมาในการจัดสรรงบประมาณของ สปสช. มีกระบวนการกำกับดูแล โดยหน่วยบริการจะต้องเก็บเอกสารหลักฐานไว้เพื่อตรวจสอบทั้งในด้านคุณภาพและการเบิกจ่ายชดเชย ขณะเดียวกันก็มีการส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความสะดวกในการเบิกจ่ายเงินชดเชย
ทั้งนี้ สปสช. ได้มีกระบวนการตรวจสอบถึง 3 ขั้นตอน โดยขั้นแรกคือการใช้โปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ในการตรวจความถูกต้องของข้อมูล หากประมวลผลแล้วตรงกับเงื่อนไข ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากถูกต้องก็จะมีการจ่าย แต่หากพบว่าไม่สมเหตุสมผลก็จะไม่จ่าย หลังจากนั้นก่อนที่จะโอนเงิน ก็จะมีขั้นตอนการตรวจสอบก่อนโอนอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าการจ่ายนั้นถูกต้อง
“งบกองทุนหลักประกันสุขภาพนั้นมาจากภาษีประชาชน เราตระหนักดีถึงความสำคัญในการควบคุมการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกรณีการทุจริตที่เกิดขี้นนั้น มีเจตนาทำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อหวังการจ่ายเงินชดเชย จึงตรวจสอบโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ แต่ สปสช. ยังมีระบบ audit หรือระบบการตรวจสอบบัญชีในการเรียกตรวจสอบเอกสารเป็นประจำทุกปี” นพ.การุณย์ กล่าว
นพ.การุณย์ กล่าวว่า ระบบ audit การจ่ายเงินจะมีใน 2 รูปแบบ คือ การสุ่มตรวจประมาณปีละ 3-5% กับอีกรูปแบบคือการเลือกตรวจหน่วยบริการที่เข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งจากการ audit ทำให้พบกับคลินิกทั้ง 18 แห่ง ที่มีการทำข้อมูลน่าสงสัยว่าจะไม่ใช่ข้อเท็จจริง และมีการตกแต่งข้อมูลเพื่อส่งเบิก จึงได้มีการขยายผลตรวจสอบเอกสารราว 2 แสนฉบับ จนพบว่ามีความผิดปกติจริง
นพ.การุณย์ กล่าวอีกว่า ในการ audit ทุกปี จะมีการพบข้อมูลความผิดพลาด 2 ลักษณะ คืออาจเกิดจากความประมาทเลินเล่อ โดยไม่ตั้งใจ ซึ่งจะต้องมีการเรียกมาทำความเข้าใจก่อนเรียกเงินคืน กับอีกกรณีคือมีเจตนาทุจริต หรือกระทำผิดซ้ำ ซึ่งในกรณีนี้นับเป็นข้อหาร้ายแรง ดังนั้นทาง สปสช.จะต้องมั่นใจว่าเกิดจากการทุจริตจริง โดยมีกระบวนการจัดการเป็นขั้นตอน ตั้งแต่การเรียกเงินคืนทั้งหมด ดำเนินแจ้งความทางอาญา เพิกถอนหน่วยบริการ ยกเลิกสัญญา รวมถึงส่งเรื่องให้กับสำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อดำเนินการทางจรรยาบรรณในวิชาชีพต่อไป
“สิ่งสำคัญคือต้องแยกว่ามีเจตนาหรือไม่ ฉะนั้นจึงจะเห็นได้ว่าในระบบมีการตรวจสอบทั้งก่อนจ่าย และหลังจ่ายก็ยังมีการตามไปตรวจ ซึ่งที่ผ่านมาในกรณีงบส่งเสริมป้องกันโรคนั้นมีการให้บริการเป็นจำนวนมาก จึงอาจเป็นช่องทางการทุจริตได้ ดังนั้นในอนาคตจะมีการวางแผนให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น โดยนอกจากการ audit แล้ว ยังจะต้องมีการพิสูจน์ยืนยันตัวตนก่อนเข้ารับบริการ หรือการใช้ Digital ID ต่างๆ ซึ่งขณะนี้ได้มีการนำร่องแล้วร่วมกับธนาคารกรุงไทย และโรงพยาบาลศิริราช หากประสบผลสำเร็จก็จะนำมาขยายผลสู่ทั้งประเทศ เพื่อให้การบริหารงบกองทุนนั้นมีประสิทธิภาพ ไม่รั่วไหล” นพ.การุณย์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี