ศาลฎีกานักการเมือง สั่งจำคุก“ทักษิณ” อีก 5 ปี คดีแปลงสัมปทานชินคอร์ปรัฐเสียหายกว่า 6 หมื่นล้าน เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 30 กรกฎาคม ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีแปลงสัมปทานหุ้นชินคอร์ป หมายเลขดำที่ อม.9/2551 คดีหมายเลขแดงที่ อม.5/2551ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม โดยอัยการสูงสุด โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 11ก.ค. 2551 สรุปความผิดว่า เมื่อระหว่างวันที่ 9 ก.พ. 2544 - 19ก.ย. 2549 ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน 2วาระติดต่อกัน จำเลยกระทำความผิดตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 ว่าด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือบริษัทชินคอร์ปซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน และกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152และ157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม ทำให้กรมสรรพสามิตได้รับความเสียหาย6.6หมื่นล้านบาท
คดีนี้ระหว่างพิจารณา จำเลยหลบหนี ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ต่อมามีการประกาศใช้ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูว่าด้วยวิธีพิจรณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลจึงยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป และอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยได้ โดยศาลฎีกาฯวินิจฉัยในสาระสำคัญว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542มาตรา 10(2)ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ขณะจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐนตรีใน2วาระ เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ แต่จำเลยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน
อันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งพรบ.ดังกล่ว จำเลยให้บุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทนจำเลยต่อเนื่องมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงเวลาดังกล่าวจำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน2วาระติดต่อกันเท่านั้น ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาเดียวกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา19(2) การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว มิใช่2กรรมตามที่โจทก์ฟ้องโดยจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้มอบนโยบายและสั่งการให้ตราพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพรบ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2546 และพ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพรบ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2527 เพื่อจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐ โดยคณะรัฐมนตรีที่จำเลยเป็นหัวหน้ารัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราภาษีและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68) ให้ลดพิกัดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิตสำหรับกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากอัตราร้อยละ10 และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11ก.พ.2546 เห็นชอบแนวทางให้คู่สัญญาภาคเอกชน กับกรมสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้ภาครัฐได้ โดยจำเลยได้ดำเนินการดังกล่าวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เชอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือไอเอส ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.)และบริษัทดิจิตอลโฟน จำกัดหรือบริษัทดีพีซี ซึ่งได้รับสัมปทานดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากการสื่อสารแห่งประเทศไทย หรือกสท.โดยทั้ง2 บริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ปซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทำให้ทั้ง2บริษัทได้รับคืนงินภาษีสรรพสมิตที่ชำระแล้ว โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่นำส่งให้ ทศท.และกสท.เป็นผลให้ ทศท.และกสท.ได้รับความเสียหายมูลค่า 6.6หมื่นล้านบาท
ดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคมและเป็นผลให้บริษัทที่จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ได้รับประโยชย์ จากการปฏิบัติหรือละเว้นกาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตของจำเลย เมื่อเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา15 (เดิม) ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ต้องปรับบททั่วไปตามมาตรา 157 อีก พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา100 วรรคหนึ่ง(2)และมาตรา122วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา15 (เดิม) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม
ประมวลกฎหมายอญา มาตรา90 องค์คณะผู้พิพากษาจึงมีมติเสียงข้างมากให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปื ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุกอีก 3ปี รวมจำคุก 5ปี ให้นับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยคดีหมายเลขแดงที่ อม.4/2551 (คดีเอ็กซิมแบงก์) และต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่1ในคดีหมายเลขแดงที่ อม.10/2552 (คดีหวยบนดิน) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ข้อหาและคำขออื่นให้ยก อนึ่ง วันนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกหมายจับจำเลยมาเพื่อบังคับตามคำพิพากษาแล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี