ชะลอซื้อ‘เรือดำน้ำ’1ปี
‘บิ๊กตู่’สั่งเบรก
อ้างต้องนำเงินช่วยปชช.
ย้ำซื้อแบบ‘จีทูจี’ถูกต้อง
มติกมธ.งบเสียงท่วมท้น
ให้เลื่อนซื้อ-ตัดงบเกลี้ยง
หลังทร.ส่งเอกสารชี้แจง
นายกฯ สั่งชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำ“ทร.”ไป 1 ปี อ้างต้องนำงบฯช่วยเหลือประชาชนก่อน ยันซื้อแบบ“จีทูจี”ถูกต้อง ย้ำไม่ยกเลิก แค่ชะลอจ่ายเงิน ให้แนวทาง ทร.เจรจาจีน ถึงความจำเป็น ขณะ“สันติ”ปธ.กมธ.งบฯ64 ขอบคุณ“รัฐบาล-กองทัพ”ห่วงใยชะลอซื้อเรือดำน้ำในที่สุดมติที่ประชุม กมธ.งบฯ 64 เสียงท่วมท้น 63เสียง เลื่อนจัดซื้อเรือดำน้ำ พร้อมตัดงบเกลี้ยง เหลือ“0” บาท หลัง ทร.ส่งเอกสารแจงชะลอซื้อไป 1 ปี ยอมสละงบไป 2 ปีช่วยโควิด
เมื่อเวลา 09.20น.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่าจากกรณีคณะคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.2564กำลังพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ2 ลำ ของกองทัพเรือ โดยในปี 2564ได้มีการขออนุมัติงบประมาณจำนวน 3,375 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อเรือดำน้ำ เพิ่มอีก 2 ลำ โดยจะมีการชำระเงินเป็นเวลา 7 ปี
ในข้อเท็จจริงนั้น มีการเริ่มงบประมาณตั้งแต่ปี 2563ซึ่งกองทัพเรือได้ขออนุมัติไปแต่เนื่องจากเรามีปัญหาในเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19จึงทำให้กระทรวงกลาโหม โดยกองทัพเรือ ได้เปลี่ยนแปลงคือได้ชะลอการดำเนินการไว้ก่อน พอมางบประมาณปี 2564จึงได้ดำเนินการต่อซึ่งมีการเสนองบประมาณเข้ามาที่ กมธ.งบประมาณฯเพื่อขอซื้อเรือดำน้ำในวงเงินเดิม คือ 3,375 ล้านบาท และ กองทัพเรือได้ชี้แจงถึงความจำเป็นในการจัดซื้อครั้งนี้ต่อกมธ.งบประมาณฯ ทั้งนี้ลำที่1ได้มีการจัดซื้อไปแล้วและจะมีการส่งมอบต่อไป ส่วนลำที่ 2 และ 3 มีความจำเป็น ต้องดำเนินการตามที่ได้มีการดำเนินการไว้
นายกฯสั่งชะลอซื้อเรือดำน้ำไป1ปี
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าหลังจากที่ กมธ.งบประมาณฯได้มีการพูดคุยและแสดงความกังวลต่างๆพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ รมว.กลาโหม ได้มีการพูดคุยเป็นการภายในในกระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะกองทัพเรือและได้ข้อสรุปว่าขอให้กองทัพเรือพิจารณาชะลอการจัดซื้อเรือดำน้ำในลำที่ 2และ3ออกไปก่อน ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความเข้าใจของนายกฯที่เห็นถึงความห่วงใยของประชาชน สังคมและกมธ.งบประมาณฯ ที่จะต้องนำงบประมาณไปใช้ในส่วนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลปากท้องประชาชนและเรื่องอื่นๆ ที่คิดว่าเหมาะสม
“วันนี้นายกฯในฐานะ รมว.กลาโหมให้กมธ.งบประมาณฯได้พิจารณาเรื่องนี้อีกที เพื่อให้เกิดความเหมาะสม โดยกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือ จะเป็นผู้ชี้แจงกับทางกมธ.งบประมาณฯอีกครั้งหนึ่งว่าความเหมาะสมควรจะเป็นอย่างไรและการเจรจากับทางจีนเพิ่มเติมในการที่จะชะลอหรือเลื่อนการจัดซื้อไปอีก 1 ปี จะมีผลออกมาอย่างไร ซึ่งทางกองทัพเรือจะเป็นผู้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้หลังจากนี้คงจะเป็นการพูดคุยกับทางจีนอีกครั้งหนึ่งถึงความจำเป็นที่เราต้องชะลอการจัดซื้อไปก่อน”นายอนุชา ย้ำ
โฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนเข้าใจบทบาทของกองทัพที่ต้องการดูแลประชาชนและทรัพยากรของประเทศไทยให้ดีที่สุดและรัฐบาลจะพยายามดูแลทุกภาคส่วน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง เพื่อให้ทั้งหมดมีความสอดคล้อง ประชาชนมีความสบายใจเกี่ยวกับการบริหารราชการของรัฐบาลว่าเป็นไปด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม
ยันซื้ออแบบ‘จีทูจี’ถูกต้อง
โดยอยากให้เข้าใจตรงกันว่าการจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น เป็นการดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี)ที่ถูกต้องทั้งหมด โดยมีการดำเนินการมาตั้งแต่การจัดซื้อของลำที่ 1 แล้ว ในส่วนของลำที่ 2 และ 3 เป็นเรื่องที่จะมีการส่งมอบต่อเนื่องเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น จะเห็นว่างบประมาณทั้งหมดที่ตั้งไว้ เป็นการจัดตั้งไว้สำหรับซื้อเรือดำน้ำทั้งหมด 3 ลำ อยู่ที่ 36,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของลำที่ 2 และ 3 อยู่ที่ 22,500 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 63 เดิมมีงบประมาณที่จะเตรียมจัดสรร 3,375 ล้านบาท แต่ว่าเลื่อนมาเป็นงบประมาณปี 64 ดังนั้น ปีนี้ก็เป็นอีกครั้งที่จะต้องเลื่อนไปเป็นครั้งที่ 2
เมื่อถามว่าการที่ชะลอซื้อเรือดำน้ำ เพราะทางการจีนส่งสัญญาณมาทางไทยแล้วใช่หรือไม่ นายอนุชากล่าวว่าต้องให้กระทรวงกลาโหมโดยกองทัพเรือพูดคุยกับทางการจีนอีกครั้งหนึ่งและมาชี้แจงซึ่งทราบว่าบ่ายวันเดียวกันนี้(31ส.ค.)จะมีการประชุมสภากลาโหม อาจจะมีการสอบถามเพิ่มเติมว่ามีการเจรจาอย่างไรหรือไม่
อ้างนำงบไปช่วยเหลือปชช.
ทั้งนี้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับกระบวนการของ กมธ.งบประมาณฯว่าหลังจากที่มีการชี้แจงและพูดคุยแล้ว จะมีความเห็นเป็นอย่างไร แต่ในส่วนของ นายกฯ เห็นถึงความสำคัญที่ประชาชนห่วงใยและกังวลในเรื่องของเศรษฐกิจในปัจจุบันดังนั้นหากชะลอไปได้อีก1ปี คิดว่าอย่างน้อย ก็สามารถนำเงิน3พันกว่าล้านไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้พอสมควรและคงต้องให้กองทัพเรือ พิจารณาในการดำเนินการอย่างอื่นที่จะไม่มีปัญหาทางด้านความมั่นคงต่อไปด้วย
เมื่อถามว่าที่ชะลอเพราะต้องการลดกระแสการคัดค้านในขณะนี้ใช่หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า การทำงานของนายกฯรับฟังความเห็นของประชาชนที่เรียกร้องหลายๆเรื่องทั้งเรื่องของเศรษฐกิจและสังคมต่างๆหรือ แม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเห็นว่ารัฐบาลมีกลไกต่างๆที่จะดำเนินการได้ จะมีการประสานงานกันกับทางสภาฯ เพื่อให้งานมีความสอดคล้องและกลไกทั้งหมดเดินหน้าต่อไปได้
ทร.ไม่ตอบชะลอซื้อเรือดำน้ำ1ปี
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) พล.ร.อ.สิทธิพร มาศเกษม เสนาธิการทหารเรือเดินทางเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน(กบฉ.) ครั้งที่63 แต่ปฏิเสธให้สัมภาษณ์ ถึงประเด็นการเจราจากับจีนหลังนายกรัฐมนตรีมีคำสั่งชะลอการจัดหาเรือดำน้ำลำที่2และ3ออกไปอีก1ปี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเสธ. ทร.ได้เดินดิ่งขึ้นตึก สมช.ไปทันที โดยไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดใดกับสื่อมวลชน
นายกฯไม่ยกเลิกซื้อ-แค่ชะลอจ่าย
เวลา15.00น.ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหมให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเรือดำน้ำว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนของกรรมาธิการ และเป็นเรื่องของกองทัพเรือที่จะต้องไปชี้แจง เนื่องจากตนได้ให้แนวทางไปแล้วว่าสามารถดำเนินการได้หรือไม่ อีกทั้งยังต้องรอความเห็นของกมธ.งบประมาณฯก่อน เมื่อถามว่าทางออกมาว่าคืออะไรพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า กองทัพเรือ ก็ต้องไปคุยกับทางจีนในฐานะคู่สัญญาว่าจะชะลอการจ่ายเงินในปีหน้าได้หรือไม่
เมื่อถามย้ำว่าเราจะเดินหน้าซื้อเรือดำน้ำต่อ เพียงแต่ชะลอการจ่ายเงินไปปีหน้าใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า จะไปหยุดได้อย่างไร เพราะเป็นแผนการพัฒนาของกองทัพ ที่สำคัญเรามีหลักการและเหตุผลที่ได้ชี้แจงไปแล้ว เนื่องจากเป็นแผนงานการพัฒนาทางเรือและต้องไปดูว่าขณะนี้สถานการณ์รอบประเทศเป็นอย่างไร
ย้ำให้แนวทาง‘ทัพเรือ’เจรจาจีน
“เรามีพื้นที่อาณาเขตทางเรือฝั่งทะเลมากมายมหาศาลพอสมควร โดยเฉพาะ 200 ไมล์ ทะเลที่เกี่ยวกับน่านน้ำของเรา ก็ต้องระมัดระวังตรงนี้เอาไว้ อย่านำการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ในแต่ละช่วงมาเปรียบเทียบกัน วันนี้ต้องมองไปข้างหน้า หากช้าเกินไปอาจไม่ทันเวลา สิ่งที่มี ก็เพื่อการป้องกันรักษาทรัพยากรทางทะเลของไทย การประมงนอกน่านน้ำและในน่านน้ำ ปัจจุบันเราต้องใช้กองกำลังทางเรือเป็นจำนวนมาก”นายกฯ ย้ำ พร้อมระบุว่าได้ให้แนวทาง ผบ.ทร.ไปแล้วว่าให้ไปคุยเจรจากับจีน ส่วนงบประมาณจำนวนกว่า3,000ล้านบาท ก็ไม่สามารถโยกไปทำอะไรได้ ก็ต้องตีตกกลับมาและเงินตัวนี้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินและการคลังอยู่แล้วว่าจะนำไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
ปัดแทรกแซง-ควรฟังสองทาง
เมื่อถามว่าหลังจากที่นายกฯได้ให้แนวทางชะลอเรื่องเรือดำน้ำ ทางพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการครอบงำระบบนิติบัญญัติ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ เพียง แต่ตนให้แนวทางกับกองทัพเรือในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม อยากให้เข้าใจว่า ตนมีสองบทบาท โดยบทบาทแรก คือนายกฯที่ต้องรับฟังความคิดเห็น และมองให้รอบด้าน อีกบทบาทหนึ่งคือ รมว.กลาโหมที่ต้องดูแลกองทัพ อะไรก็ตามที่เป็นแผนงานของกองทัพและเป็นเรื่องที่เสนอมาในกรอบวงเงินของเขาที่มีอยู่ ก็ได้บอกว่าหากมีปัญหาเช่นนี้ อยากให้ลองไปเจรจากับคู่สัญญาดู เนื่องจากมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพเรือไป เจรจา จะมาบอกว่าปีหน้า เดี๋ยวก็มีปัญหาอีก ก็ทำอะไรกันไม่ได้ ทำไม ถึงไม่คิดว่า อำนาจนิติบัญญัติกำลังก้าวล่วงอำนาจบริหารบ้าง อยากให้ฟัง2ทาง ถ้าเป็นเรื่องที่เสนอใหม่ก็เป็นอีกเรื่อง เรื่องนี้มีอนุมัติไว้แล้วชั้นต้นก็ต้องไปหารือกับมิตรประเทศ
กห.แจงทร.สละงบ2ปี7.3พันล้าน
ด้านพล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงภายหลังการประชุมสภากลาโหม ถึงโครงการจัดหาเรือดำน้ำว่า เป็นโครงการภายใต้วงเงินของกองทัพเรือ(ทร.)ผูกพันงบประมาณข้ามปี 2563 ผ่านสภาฯ และได้บรรจุในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563แล้ว ไม่ใช่โครงการผูกพันงบประมาณปี 2564 อย่างที่มีการเข้าใจกัน เป็นในตามกรอบงบประมาณที่กองทัพเรือไ ด้รับการจัดสรรในทุกปี ไม่ได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณเป็นกรณีพิเศษ
ทั้งนี้ ในปี 2563ทร.ได้ชะลอโครงการเรือดำน้ำไปแล้ว งบประมาณส่วนหนึ่งได้ส่งคืนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาโควิด ประมาณ 3,375 ล้านบาท และ ปี 2564 ก็ได้มีการเลื่อนไปก่อนอีก 3,925ล้านบาทก็จะอยู่กับที่กมธ.งบฯพิจารณา ไม่อยากให้มีการบิดเบือน ส่วนนี้เป็นงบฯในส่วนของทร.ไม่ได้รับจัดสรรให้มากขึ้น ภาพรวมกองทัพ ได้งบประมาณทั้งหมด6.77 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณทั้งหมด
ยันทำสัญญาถูกต้อง-อย่าบิดเบือน
โฆษกกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่าสัญญาที่ทำกันนั้น ถูกต้อง ไม่อยากให้มีการบิดเบือน อีกทั้งสัญญาเรือดำน้ำลำที่ 1ได้ดำเนินการจบไปแล้ว เมื่อมาถึงการดำเนินการลำที่ 2และ3 เราทราบถึงความกังวลของคณะกมธ.งบฯ ทางนายกฯและรมว.กลาโหม จึงได้ประสานให้กองทัพเรือในการเลื่อนการจัดหาไปก่อน ขณะนี้ ทร.ยอมสละงบฯในส่วนนี้ ในรอบแรก3,375 ล้านบาท และปีนี้ทร.ก็ยอมเสียสละปี 2564อีก วงเงิน 3,925 ล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาโควิด อยากให้มีความเข้าใจในเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล เพื่อให้กองทัพมีความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตยของชาติและผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล
‘สันติ’ขอบคุณ รบ.ถอยเรือดำน้ำ
ช่วงเที่ยง ที่รัฐสภา นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณฯปี2564 กล่าวก่อนเข้าประชุมกมธ.งบฯปี64ว่าขอบคุณทางรัฐบาลและกองทัพเรือ ที่ให้ความสนใจห่วงใยต่อการจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ มูลค่า 2.25 หมื่นล้านบาท เพราะขณะนี้ประเทศ ยังเผชิญกับภัยโควิด-19 และ ยังไม่รู้ว่าจะยุติเมื่อใด ในการประชุมช่วงบ่ายวันนี้ (31ส.ค.) จะได้นำข้อห่วงใยดังกล่าว หารือต่อที่ประชุมกรรมาธิการฯ โดยจะให้ความสำคัญในทุกมิติ ทำให้เกิดความรอบครอบสูงสุด ส่วนกองทัพเรือจะมีคณะมาชี้แจงเอง หรือจะส่งเอกสารมา ยังไม่ทราบ
กมธ.งบฯ64ถกงบจัดซื้อเรือดำน้ำ
เวลา15.10น.ที่รัฐสภาในการประชุมคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2564 มีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังเป็นประธานซึ่งได้พิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการครุภัณฑ์ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ที่มี นายสุพล ฟองงาม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน โดยชี้แจงว่าอนุ กมธ.ได้ประชุมและปรับลดงบประมาณ4,521ล้านบาท จำแนกเป็น ปรับลดในแผนงานพื้นฐาน 567ล้านบาท ปรับลดในแผนยุทธศาสตร์3,954 ล้านบาท
สันติชี้กมธ.จำเป็นมีแต่ยังไม่เหมาะ
ต่อมา นายสันติ ชี้แจงว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เชิญ กมธ.แต่ละพรรคไปหารือถึงความเหมาะสมเกี่ยวกับเรือดำน้ำ จากการสอบถามมีข้อสรุปเห็นตรงกันว่าการมีเรือดำน้ำมีความจำเป็นอย่างยิ่งซึ่งจำนวน3 ลำน้อยเกินไปด้วยซ้ำเนื่องจากมีทะเลถึงสองฝั่งและพื้นที่ชายฝั่งทะเล 12ไมล์ทะเลรวมถึงยังมีพื้นที่ทับซ้อนด้านความมั่นคง ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชน
เรื่องเรือดำน้ำได้ผ่าน เป็นงบประมาณตั้งแต่งบประมาณปี2563แต่ด้วยความปรารถนาดีและเห็นแก่เศรษฐกิจของประเทศ กองทัพเรือได้ส่งงบประมาณคืน เพื่อให้รัฐบาลนำไปแก้ปัญหาโควิด-19ซึ่งต้องขอบคุณกองทัพเรือด้วยและจะมีการดำเนินการคืนงบประมาณให้ในปีงบประมาณ2564ต่อไป แต่เมื่อมาถึงการพิจารณางบประมาณปี2564ปรากฎว่ามีการแพร่ระบาดโควิด ยังไม่ได้คลี่คลายและยังไม่มีวัคซีน กมธ.เห็นว่าแม้เรือดำน้ำมีความจำเป็น แต่ยังไม่เหมาะในเวลานี้เพราะโควิดอาจเกิดการระบาดรอบ 2ได้
‘ทร.’แจงยินยอมเสียสละตัดงบ
“ทางกระทรวงกลาโหมและกองทัพเรือได้แจ้งมายังคณะกมธ.ว่าในปี2564กองทัพเรือ ยินดีให้ปรับงบประมาณจำนวน 3,925ล้านบาท ในส่วนที่จะต้องไปจ่ายออกไปก่อนให้เป็น 0 และให้กองทัพเรือไปใช้งบประมาณในปีถัดไป ตามเห็นสมควรและให้กองทัพเรือไปเจรจากับทางผู้ผลิตว่าจะสามารถดำเนินการอย่างไรในการทำให้ประเทศไทย มีเรือดำน้ำตามความประสงค์ ปีนี้เลื่อนงบประมาณงวดแรกในการจ่ายเรือดำน้ำออกไปซึ่งกองทัพเรือได้มีหนังสือแล้ว ส่วนเงินที่ปรับออกไปนั้น คงเป็นหน้าที่ของหน่วยรับงบประมาณ และสำนักงบประมาณ จะไปพิจารณา” นายสันติ กล่าว
มติกมธ.ท่วมท้น-ตัดงบเรือดำน้ำ
ต่อมา นายสันติได้แจ้งที่ประชุมว่าขอใช้สิทธิในฐานะ กมธ.เสนอญัตติให้คณะกมธ.ปรับลดงบประมาณในส่วนนี้ตามที่กองทัพเรือได้ทำมาเป็นหนังสือถึงคณะกมธ.งบฯ แต่กมธ.ซีกฝ่ายค้าน พรรคก้าวไกล ทั้งต่างยืนยันว่าไม่เห็นด้วยการจัดซื้อเรือดำน้ำ และการเลื่อนออกไปเพียงหนึ่งปีงบประมาณนั้น ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ จากนั้น นายยุทธพงศ์ ลุกแย้งเสียงดังกลางที่ประชุมว่า ก่อนจะลงมติ ควรให้คณะอนุ กมธ.รายงานเรื่องเรือดำน้ำก่อนว่ามีรายละเอียดอย่างไรบ้าง
ด้าน นายวราเทพ รัตนากร รองประธาน กมธ.ตอบโต้นายยุทธพงศ์ว่าเมื่อประธานฯเสนอญัตติให้ที่ประชุมลงมติแล้ว จะต้องไปสู่ขั้นตอนลงมติ ส่วนเรื่องรายละเอียดของอนุ กมธ.นั้นที่ประชุมดูได้จากเอกสารอยู่แล้ว หากนายยุทธพงศ์ จะขออภิปรายก็ทำได้เฉพาะกรณีที่ไม่เห็นด้วยกับการปรับลดงบการจัดซื้อเรือดำน้ำเท่านั้น หลังนายวราเทพท้วงติง ทำให้ นายยุทธพงศ์ ยุติการอภิปราย
และในที่สุดที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ 63 เสียง เห็นด้วยกับการปรับลดงบประมาณจำนวน 3,925 ล้านบาท ในส่วนที่จะต้องไปจ่ายออกไปก่อนให้เป็น0บาท ตามที่นายสันติเสนอ มีงดออกเสียง 3 เสียง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี