1.หลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งไปเป็นที่เรียบร้อย ความรู้สึกเมื่อได้รับทราบ ต้องบอกตรงๆ ว่า มีความรู้สึกเสียดายความตั้งใจของ ดร.สุวิทย์ เป็นอย่างมาก เนื่องจากท่านได้ใช้เวลา 1 ปี ในกระทรวงที่ตั้งขึ้นมาใหม่ เพื่อการวางรากฐานทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญให้กับประเทศเอาไว้อย่างน่าสนใจ แม้ผลงานที่ผ่านตาคนทั่วไปอาจยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก แต่ทิศทางที่ถูกกำกับเอาไว้สำหรับอนาคตประเทศไทยนั้น โดยส่วนตัวผมมองว่ามีความหวังและถือว่า ดร.สุวิทย์ ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างมีคุณภาพ
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะขับเคลื่อนประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งกระบวนการคิดเช่นนี้ได้สื่อสารอย่างชัดเจนว่าองค์ความรู้ในรูปแบบที่ผ่านมาในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถตอบโจทย์ของประเทศไทยต่อเรื่องความท้าทายของอนาคตได้ ดังนั้น การนำ “สติปัญญา” (Windom) ใหม่เข้ามาเป็นแผนที่เพื่อนำไปสู่การลงมือปฏิบัติ คือ หัวใจสำคัญที่จะปรับประเทศไทยให้รับมือกับอนาคตที่จะมาถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดโลก การรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แนวทางบริหารจัดการปัญหาสังคมสูงวัย หรือการวางรากฐานการเกษตรรายได้สูง เป็นต้น
2.แนวทางหนึ่งของ ดร.สุวิทย์ ที่ประกาศออกมาอย่างชัดเจน และนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็แสดงความสนับสนุนอย่างเต็มที่ ก็คือ “BCG โมเดล เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ภายใน 5 ปีต่อจากนี้ มูลค่าทางเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.4 ล้านล้านบาท (ปัจจุบัน 3.4 ล้านล้านบาท) สร้างการจ้างงานกว่า 20 ล้านตำแหน่ง ด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน ได้แก่ 1. เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) 2. เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ 3. เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อันประกอบไปด้วยสินค้าและบริการถึง 9 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มเกษตร กลุ่มอาหาร กลุ่มพลังงานวัสดุและเคมีชีวภาพ กลุ่มยาและวัคซีน กลุ่มเครื่องมือแพทย์ กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มเศรษฐกิจหมุนเวียน กลุ่มเศรษฐกิจสร้างสรรค์ และกลุ่มต่อยอดสินค้าเกษตรสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยนวัตกรรม ซึ่งแน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย และตามความเข้าใจของผมต่อการทำงานของ ดร.สุวิทย์ ก็เห็นจะมีข้อจำกัดใน 2 ประเด็น คือ
1) ท่านต้องเผชิญกับการตั้งกระทรวงใหม่ที่รวม 2 กระทรวงเข้าด้วยกัน คือ กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม กับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (ที่กำกับมหาวิทยาลัยทั้งหมด) ซึ่งปกติแล้วการควบรวมองค์กรขนาดใหญ่จะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 4-5 ปี กว่าจะเข้าที่เข้าทาง สามารถปรับกระบวนการทำงาน กำหนดลักษณะงาน ไปจนถึงการปรับวัฒนธรรมองค์กร จากที่เคยเป็นมาในรูปแบบเดิมสู่วัฒนธรรมองค์กรแบบใหม่ ดังนั้น จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ข้าราชการและพนักงานของทั้ง 2 กระทรวงทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน และความร่วมมือร่วมใจในเวลาแค่เพียง 1 ปี
และ 2) ยุทธศาสตร์การนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของประเทศ ยังเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับประเทศไทยถ้าสื่อสารกันตรงๆ ก็คือ ในประเทศไทยหาคนทำได้และทำเป็นในเรื่องนี้ยากมาก ดังที่เปรียบเปรยกันว่า งานวิจัยมักวางอยู่บนหิ้ง การเอาลงสู่ห้างไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การหยิบวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ยื่นให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ และบริษัทเอกชน เพื่อนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่องนั้น มีความยากลำบากมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างความเข้าใจร่วมกันในทุกภาคส่วน
3.แน่นอนว่า แม้เรื่อง ยุทธศาสตร์ BCG นี้จะเป็นเรื่องยาก แต่โดยส่วนตัว ผมก็อยากให้ใครก็ตามที่จะมาทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อจาก ดร.สุวิทย์ ใส่ใจ และทำการสานต่อ เพราะนี่เป็นอนาคตที่จำเป็นต่อการเดินหน้าของประเทศอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามนโยบายที่นายกรัฐมนตรีพยายามเน้นย้ำอยู่เสมอ และผมเชื่อว่า ดร.สุวิทย์ ก็ยินดีที่จะให้คำปรึกษาอย่างเต็มใจ
กระนั้น เพื่อเป็นการเติมเต็มรูปแบบของ BCG โมเดล โดยสมบูรณ์ ผมก็ขออนุญาตเติมในส่วนที่ขาดตกบกพร่องไปในยุทธศาสตร์นี้ ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่ ดร.สุวิทย์ รับทราบถึงข้อจำกัดด้านเงื่อนเวลาทางการเมือง จึงให้น้ำหนักไปกับการเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ไปกับภาคเอกชนที่มีความพร้อมมากกว่าภาคส่วนอื่นๆ เพื่อที่จะได้เห็นผลงานที่เป็นรูปธรรมในระยะเวลาสั้นๆ แต่สำหรับผมแล้ว ผมเห็นต่างในกระบวนการเช่นนี้ เพราะอันที่จริงแล้ว ปัญหาสำคัญและเร่งด่วนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมนั้น เป้าหมายที่แท้จริงน่าจะเป็นกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ผู้ใช้แรงงานในชนบท และผู้ประกอบการ MicroSME ที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศมากกว่า
4.ดังนั้น ถ้าเราสามารถทำให้รายได้ของพวกเขาเพิ่มขึ้นเพียง 25% (ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะฐานรายได้ของพวกเขาต่ำอยู่แล้ว) ด้วยการใช้เครื่องมือของยุทธศาสตร์ BCG นั่นคือวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เติมเข้าไปในกลไกสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของพวกเขาเหล่านี้ เชื่อแน่ว่าศักยภาพทางการแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศจะได้รับการยกระดับขึ้น นั่นหมายถึงจำนวนรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นตามมา ซึ่งถ้าทำได้ครบตามเป้าหมาย 10 ล้านคน สำหรับกลุ่มเศรษฐกิจฐานรากเหล่านี้ ตัวเลข 100,000 บาทต่อปีที่เพิ่มขึ้นในส่วนรายได้โดยรวมของพวกเขา จะส่งผลให้ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยับเพิ่มขึ้นไปที่1 ล้านล้านบาททันที และยังสามารถต่อยอดไปที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่จะได้รับการแก้ไข อัตราคนยากจนจะลดลง ความเป็นธรรมในการประกอบอาชีพจะได้รับความใส่ใจมากขึ้น
นี่เป็นโอกาสของประเทศ และความหวังของคนไทย ที่ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ได้พยายามวางรากฐานเอาไว้ ซึ่งคงเป็นที่น่าเสียดาย ถ้าแนวทางทั้งหมดนี้จะถูกทิ้งไว้บนหิ้งของกระทรวง อว.
กนก วงษ์ตระหง่าน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี