วันนี้ (20 ตุลาคม 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้ คค. รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกษฎีกา
กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เพื่อสร้างทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) มีส่วนแคบที่สุด 200 เมตร และส่วนกว้างที่สุด 600 เมตร เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องได้มาโดยแน่ชัด อันจะเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง ซึ่งเป็นกิจการสาธารณูปโภค
ทั้งนี้ คค. เสนอว่า
1. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) ในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนกาญจนาภิเษกและถนนบรมราชชนนี ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนในพื้นที่และผู้ใช้เส้นทางมีความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย สามารถรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีและจังหวัดนครปฐม อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาพื้นที่สองข้างทางให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น กรมทางหลวงชนบทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท นฐ. 5035 กับทางหลวงชนบท นบ. 1020 (ถนนนครอินทร์) ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจพบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 10,662.85 ล้านบาท อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) มีค่า 2.63 และอัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจของโครงการ (EIRR) มีค่า 23.74% ถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ
2. ลักษณะของโครงการ เป็นการก่อสร้างถนนใหม่ขนาด 6 ช่องจราจร ชนิดผิวจราจรลาดยาง ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 4.00 เมตร (มีเฉพาะเขตชุมชน) เกาะกลางแบบยกกว้าง 2.00 เมตร เขตทางกว้าง 40.00 – 50.00 เมตร ระยะทางยาวประมาณ 12.00 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 350 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 87 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 8,722.000 ล้านบาท (ค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 29.000 ล้านบาท ค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 4,392.000 ล้านบาท และค่าก่อสร้างประมาณ 4,301.000 ล้านบาท)
3. กรมทางหลวงชนบทมีแผนการดำเนินการเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมีผลใช้บังคับ มีดังนี้
3.1 สำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2563
3.2 จ่ายเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2565 – 2566
3.3 เริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2567 – 2569
ทั้งนี้ ได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างถนนสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมมีผู้เห็นด้วยกับโครงการ ร้อยละ 83.8
และสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบทตามความจำเป็นและเหมาะสมตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้ว
จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ ตำบลบางคูเวียง ตำบลปลายบาง ตำบลศาลากลาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
2. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2522 จำนวน 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงจำนวน 4 ฉบับ ที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ เป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เพื่อยกระดับการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ตลอดจนยกเว้นค่าธรรมเนียมคำร้องขอและค่าแบบพิมพ์คำร้องขอเพื่อรองรับระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งเป็นการอำนวยความสะดวกและลดค่าใช้จ่ายให้แก่ผู้ประกอบการ
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1) เพิ่มเงินทุนที่ชำระแล้ว เพื่อคัดกรองบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ
2) ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน เพื่อป้องกันผู้ที่เคยก่อให้เกิดความเสียหายแก่การค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน ไม่ให้สามารถขอจดทะเบียนเป็นผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐานได้อีก
3) ยกเว้นการพิจารณาคุณสมบัติเป็นสมาชิกของสมาคมการค้าที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าสินค้ามาตรฐานที่ขอจดทะเบียน และทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วให้กับกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนและวิสาหกิจเพื่อสังคม
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญดังนี้
1) เพิ่มเงินทุนที่ชำระแล้ว เพื่อคัดกรองบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ
2) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าต้องมีผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าประเภท ก (วิเคราะห์คุณภาพสินค้าในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์) เพิ่มขึ้นจากเดิม 1 คน เป็นไม่น้อยกว่า 2 คน
3) ปรับปรุงคุณสมบัติของผู้ขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เพื่อป้องกันผู้ที่เคยก่อให้เกิดความเสียหายแก่การค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน ไม่ให้สามารถกลับมาขอรับอนุญาตเป็นผู้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าได้อีก
4) ปรับปรุงช่องทางและยกเลิกเอกสารประกอบการขอรับอนุญาตบางรายการ
5) กำหนดให้แสดงหลักฐานเพื่อรองรับว่าผลการทดสอบและสอบเทียบอุปกรณ์และเครื่องมือที่จำเป็นในการวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
6) กำหนดให้จัดองค์กรในรูปแบบที่คงไว้ซึ่งประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยใช้หลัก ธรรมาภิบาล
3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า และเงื่อนไขในการปฏิบัติของผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า พ.ศ. ....
1) ปรับปรุงวุฒิการศึกษาผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าประเภท ก และประเภท ข (ปฏิบัติงานตรวจสอบคุณภาพสินค้า ณ สถานที่จัดเก็บสินค้าของผู้ทำการค้าขาออกซึ่งสินค้ามาตรฐาน)
2) กำหนดรายละเอียดคุณสมบัติของผู้ขอรับอนุญาตเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า เช่น ไม่เป็นผู้ถูกสั่งเพิกถอนใบอนุญาต ยกเว้นถูกเพิกถอนเนื่องจากขาดคุณสมบัติ
3) การต่ออายุใบอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอภายในวันที่ 31 ตุลาคม ของปีที่ใบอนุญาตนั้นจะหมดอายุ
4) กำหนดหน้าที่ของผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าให้มีความชัดเจนมากขึ้น
5) ปรับปรุงช่องทางและยกเลิกการขอเอกสารประกอบการขอรับอนุญาตบางรายการ
4. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมคำร้องขอและค่าแบบพิมพ์คำร้องขอเพื่อให้รองรับระบบอิเล็กทรอนิกส์และลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
อว.เสนอว่า
1. ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาครุยวิทฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง รวม 10 สาขาวิชา ได้แก่ (1) การบัญชี (2) การแพทย์แผนไทย (3) การศึกษา (4) นิติศาสตร์ (5) นิเทศศาสตร์ (6) บริหารธุรกิจ (7) รัฐประศาสนศาสตร์ (8) วิทยาศาสตร์ (9) ศิลปศาสตร์ และ (10) สาธารณสุขศาสตร์
2. ต่อมามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงได้เปิดสอนสาขาวิชาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นจึงจำเป็นต้องกำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ครั้งที่ 3/2560 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2560 ได้มมีมติเห็นชอบหลักสูตรสาขาวิชาดังกล่าว และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้รับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชาอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว
3. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 2 แล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชาเทคโนโลยี อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว
4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
อว. เสนอว่า
1. ได้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ รวม 15 สาขาวิชา ได้แก่ (1) การบัญชี (2) การศึกษา (3) เทคโนโลยี (4) นิติศาสตร์ (5) นิเทศศาสตร์ (6) บริหารธุรกิจ (7) รัฐประศาสนศาสตร์ (8) รัฐศาสตร์ (9) วิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ (10) วิทยศาสตร์ (11) วิศวกรรมศาสตร์ (12) ศิลปศาสตร์ (13) เศรษฐศาสตร์ (14) สาธารณสุขศาสตร์ และ (15) อุตสาหกรรมศาสตร์
2. ต่อมามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ได้เปิดสอนสาขาวิชาศึกษาศาสตร์เพิ่มขึ้น โดยกำหนดหลักสูตรครุศาสตร์อุตสาหกรรมบัณฑิตในสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ จึงจำเป็นต้องกำหนดปริญญาในสาขวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว ซึ่งในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีมติเห็นชอบหลักสูตรครุศาสตร์ อุตสาหกรรมบัณฑิต และสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับทราบการให้ความเห็นชอบหลักสูตรดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้น จึงได้จัดทำร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาชาวิชาศึกษาศาสตร์เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว
3. ในคราวประชุมสภามหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ ครั้งที่ 8/2563 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาตามข้อ 2 แล้ว จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา
กำหนดปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ รวมทั้งสีประจำสาขาวิชาของสาขาดังกล่าว
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 [แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522]
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ดังนี้
1. เพิ่มบทนิยามคำว่า “ผนังทึบ” “แนวอาคาร” และ “เขตแหล่งน้ำสาธารณะ”
2. กำหนดให้การก่อสร้างห้องแถว ตึกแถว หรือบ้านแถวในที่ดิน หากเป็นการก่อสร้างขึ้นเพื่อทดแทนอาคารเดิมหรือดัดแปลงอาคาร ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำข้อกำหนดเกี่ยวกับความกว้างของอาคารแต่ละคูหา ความยาวรวม ที่ว่างด้านข้าง ที่ว่างด้านหลัง และจำนวนคูหาของอาคารที่ต่อเนื่องกันตามกฎกระทรวงนี้มาใช้บังคับ แต่ต้องไม่เป็นการเพิ่มความสูงของอาคาร ไม่เป็นการเพิ่มพื้นที่อาคารรวมกันทุกชั้นเกินร้อยละ 2 และไม่เป็นการเพิ่มพื้นที่ปกคลุมดิน
3. กำหนดให้สิ่งก่อสร้างประเภทถังเก็บของ เสาสัญญาณโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ และสิ่งอื่นที่สร้างขึ้นเป็นอาคารที่มีความสูงจากระดับฐานตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ต้องมีระยะห่างจากเขตที่ดินทุกด้านไม่น้อยกว่า 1 ใน 8 ส่วนของความสูงของสิ่งที่สร้างขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องมากกว่า 6 เมตร แต่ต้องไม่น้อยกว่า 3 เมตร ทั้งนี้ ไม่รวมฐานรากและอุปกรณ์ยึดรั้ง ยกเว้นกรณีเสาสัญญาณตั้งอยู่บนหลังคา ดาดฟ้า หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของอาคาร ไม่ต้องนำมาคิดรวมเป็นความสูงของอาคารนั้น
6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการแก้ไขอาคารที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นภยันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัย หรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญ หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
ทั้งนี้ ร่างกฎกระทรวงที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการแก้ไขระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัยของอาคารเก่าที่มีสภาพหรือมีการใช้ที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินหรืออาจไม่ปลอดภัยจากอัคคีภัยหรือก่อให้เกิดเหตุรำคาญหรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อการใช้สอยอาคารมากยิ่งขึ้น และมีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 47 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ดังนี้
1. แก้ไขเพิ่มเติมบทนิยาม ดังนี้
1.1 ตัดบทนิยาม “อาคารสูง” และ “อาคารขนาดใหญ่พิเศษ”
1.2 แก้ไขบทนิยาม
“อาคารขนาดใหญ่” หมายความว่า อาคารที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้น หรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 2,000 ตารางเมตร หรืออาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 15.00 เมตรขึ้นไป และมีพื้นที่รวมกันทุกชั้นหรือชั้นหนึ่งชั้นใดในหลังเดียวกันเกิน 1,000 ตารางเมตร แต่ไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร การวัดความสูงของอาคารให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงพื้นดาดฟ้าสำหรับอาคารจั่วหรือปั้นหยาให้วัดจากระดับพื้นดินที่ก่อสร้างถึงยอดผนังของชั้นสูงสุด
“อาคารสาธารณะ” หมายความว่า อาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชุมนุมได้โดยคนทั่วไป เพื่อกิจกรรมทางราชการ การเมือง การศึกษา การศาสนา การสังคม การนันทนาการ หรือการพาณิชยกรรม เช่น โรงมหรสพ หอประชุม โรงแรม โรงพยาบาล หอสมุด สนามกีฬากลางแจ้ง สถานกีฬาในร่ม ตลาด ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า สถานบริการ ท่าอากาศยาน อุโมงค์ สะพาน อาคารจอดรถ สถานีรถ ท่าจอดเรือ โป๊ะจอดเรือ สุสาน ฌาปนสถาน ศาสนสถาน สถานกวดวิชาหรือกิจกรรมอื่นที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้น
“อาคารอยู่อาศัยรวม” หมายความว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับหลายครอบครัว โดยแบ่งออกเป็นหน่วยแยกจากกันสำหรับแต่ละครอบครัว
1.3 เพิ่มบทนิยาม
“อาคารชุด” หมายความว่า อาคารชุดตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด
“หอพัก” หมายความว่า อาคารสำหรับใช้เป็นหอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพัก
“วัสดุไม่ติดไฟ” หมายความว่า วัสดุที่ใช้งานและเมื่ออยู่ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ใช้งานแล้วจะไม่สามารถไม่ติดไฟ ไม่เกิดการเผาไหม้ ไม่สนับสนุนการเผาไหม้ หรือไม่ปล่อยไอที่พร้อมจะลุกไหม้เมื่อสัมผัสกับเปลวไฟหรือความร้อน เช่น อิฐ อิฐมวลเบา ยิปซั่มทนไฟ ซีเมนต์บอร์ด กระจกทนไฟ เป็นต้น
“การอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนัง” หมายความว่า การป้องกันช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนังเพื่อป้องกันไม่ให้ควันและไฟลุกลามและเพิ่มความสมบูรณ์ของส่วนกั้นแยกของพื้นหรือผนังทนไฟให้ใช้งานได้ตรงตามวัตถุประสงค์
2. แก้ไขเพิ่มเติมประเภทอาคารที่บังคับใช้ โดยเพิ่มอาคารชุมนุมคน อาคารชุด และหอพัก
3. กำหนดให้การสั่งการให้แก้ไขอาคาร เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการได้ตามลักษณะที่จำเป็นต้องมีสำหรับอาคารนั้น ๆ ในกรณีดังต่อไปนี้
3.1 อาคารที่มีความสูงตั้งแต่สี่ชั้นขึ้นไปหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษที่มีความสูงตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป ให้ติดตั้งบันได้หนีไฟที่ไม่ใช่บันไดแนวดิ่งเพิ่มจากบันไดหลัก ให้เหมาะสมกับพื้นที่ของอาคารแต่ละชั้น โดยไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคาร แต่ต้องยื่นแบบให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบ และบันไดหนีไฟต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3.2 อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้มีผนังและประตูที่ทำด้วยวัสดุไม่ติดไฟที่สามารถปิดกั้นมิให้เปลวไฟหรือควันเมื่อเกิดเพลิงไหม้เข้าไปใบบริเวณบันได ที่มิใช่บันไดหนีไฟของอาคาร
3.3 อาคารสูงหรืออาคารชนิดใหญ่พิเศษเฉพาะพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัย เช่น ห้องเก็บสิ่งของหรือวัสดุจำนวนมาก ฯลฯ ให้มีการกั้นแยกของอาคาร โดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง หรือเป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยการกั้นแยกของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือติดตั้งระบบดับเพลิงอัตโนมัติ
3.4 อาคารสูง ให้มีระบบป้องกันเพลิงไหม้ ซึ่งประกอบด้วยระบบท่อยืนและหัวรับน้ำดับเพลิงตามลักษณะที่กำหนดในกฎกระทรวง
3.5 ให้มีการอุดหรือปิดล้อมช่องท่อและช่องว่างระหว่างท่อที่ผ่านพื้นหรือผนังโดยมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง
3.6 ให้มีการติดตั้งแบบแปลนแผนผังของอาคารแต่ละชั้นตามทิศทางการวางตัวของอาคาร แสดงตำแหน่งห้องต่าง ๆ ตำแหน่งที่ติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิง อุปกรณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ ประตูหรือทางหนีไฟของชั้นนั้นติดไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดเจนที่บริเวณห้องโถงหรือหน้าลิฟต์ทุกแห่งทุกชั้นของอาคาร และบริเวณพื้นที่ชั้นล่างของอาคารต้องจัดให้มีแบบแปลนแผนผังของอาคารทุกชั้นเก็บรักษาไว้ที่ห้องควบคุมหรือห้องที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้โดยสะดวก
3.7 ให้ติดตั้งเครื่องดับเพลิงยกหิ้วตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามชนิดและขนาดที่เหมาะสมสำหรับดับเพลิงที่เกิดจากประเภทของวัสดุที่มีในแต่ละชั้น
3.8 อาคารสูง อาคารขนาดใหญ่พิเศษ อาคารขนาดใหญ่ และอาคารชุมนุมคนให้ติดตั้งระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ทุกชั้น โดยระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ต้องมีลักษณะตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
3.9 ให้ติดตั้งระบบไฟส่องสว่างสำรองเพื่อให้มีแสงสว่าง สามารถมองเห็นช่องทางเดินได้ขณะเพลิงไหม้ และมีป้ายบอกชั้นและป้ายบอกทางหนีไฟที่ด้านในและด้านนอกประตูหนีไฟทุกชั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลา
3.10 อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ ให้ติดตั้งระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ซึ่งประกอบด้วยตัวนำล่อฟ้า ตัวนำลงดิน และหลักสายดินที่เชื่อมโยงกันเป็นระบบโดยให้เป็นไปตามมาตรฐานว่าด้วยระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าของกรมโยธาธิการและผังเมือง หรือมาตรฐานอื่นที่คณะกรรมการควบคุมอาคารให้การรับรอง
4. กำหนดให้ในกรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารดำเนินการแก้ไขอาคาร ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นแต่งตั้งคณะนายช่างเพื่อตรวจสอบสภาพ หรือการใช้อาคารหรือระบบความปลอดภัยเกี่ยวกับอัคคีภัย ซึ่งเดิมกำหนดเพียงนายช่างเพียงคนเดียวก็สามารถตรวจสอบได้
5. กำหนดให้เจ้าของอาคารที่ได้รับคำสั่งให้แก้ไขอาคาร กรณีที่อาคารเป็นภยันตรายต่อชีวิต หรือร่างกาย ที่เกิดจากความไม่มั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร ต้องยื่นแบบที่รับรองโดยวิศวกรรมตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธา ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการ
7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
1.1 กำหนดให้การยื่นคำขอ การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การแจ้งเป็นหนังสือการแสดงความจำนงต่อผู้อนุญาต การชำระค่าธรรมเนียม หรือการชำระค่าธรรมเนียมรายปีตามกฎกระทรวงนี้ ในกรุงเทพมหานครให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่น ตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด หากไม่สามารถยื่นคำขอหรือหนังสือแจ้งได้ด้วยตนเอง ให้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอหรือหนังสือแจ้งแทนและในการมายื่นคำขอ หรือหนังสือแจ้งแทนให้ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานและบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอด้วย
1.2 กำหนดให้สมุดทะเบียนสถานพยาบาล ผู้อนุญาตอาจจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์หรือรูปแบบอื่นตามที่ผู้อนุญาตกำหนดก็ได้
2. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการสถานพยาบาล (ฉบับที่ ...) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
กำหนดให้การยื่นคำขอ การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต หรือการชำระค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงนี้ ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือวิธีอื่นตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด กรณีไม่สามารถยื่นคำขอได้ด้วยตนเอง ให้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อื่นมายื่นคำขอแทน และในการมายื่นคำขอให้ผู้รับมอบอำนาจนำหลักฐานและบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่ผู้รับคำขอด้วย
3. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
กำหนดให้ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการส่งรายงานประจำปีของสถานพยาบาลต่อผู้อนุญาตภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป กรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ กองสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สธ. สำหรับจังหวัดอื่น ให้ยื่น ณ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดที่สถานพยาบาลนั้นตั้งอยู่ หรือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีอื่นตามที่อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพประกาศกำหนด
ทั้งนี้ สธ. เสนอว่า
1. ตามที่ได้มีกฎกระทรวงซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ดังนี้
1.1 กฎกระทรวงว่าด้วยการประกอบกิจการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545
1.2 กฎกระทรวงว่าด้วยการดำเนินการสถานพยาบาล พ.ศ. 2545
1.3 กฎกระทรวงว่าด้วยการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2545
รวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นกฎกระทรวงเกี่ยวกับการขอและการออกใบอนุญาต การขอต่ออายุใบอนุญาตและการอนุญาต การชำระค่าธรรมเนียมรายปี การขอและการออกใบแทนใบอนุญาต และการจัดให้มีและรายงาน หลักฐานเกี่ยวกับผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาลและผู้ป่วย และเอกสารอื่นที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล โดยกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับ ไม่ได้กำหนดช่องทางในการยื่นคำขอหรือแจ้งเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการเพิ่มช่องทางการบันทึกประวัติของสถานพยาบาลในสมุดทะเบียนสถานพยาบาลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แต่อย่างใด
2. สธ. พิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้การดำเนินการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจครบวงจร (Doing Business Portal) เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 10 ตุลาคม 2560 ประกอบกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้การกระทำจะต้องได้รับอนุญาต ผู้อนุญาตจะต้องจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข (ถ้ามี) ในการยื่นคำขอ ขั้นตอน และระยะเวลาในการพิจารณาอนุญาตและรายงานเอกสาร หรือหลักฐานที่ผู้ขออนุญาตจะต้องยื่นมาพร้อมกับคำขอและจะกำหนดให้ยื่นคำขอผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนการมายื่นคำขอด้วยตนเองก็ได้ ดังนั้น จึงเห็นสมควรแก้ไขกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับ ตามข้อ 1. เพื่อกำหนดช่องทางในการยื่นคำขอหรือแจ้งเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการเพิ่มช่องทางการบันทึกประวัติของสถานพยาบาลในสมุดทะเบียนสถานพยาบาลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในการจัดทำกฎกระทรวงดังกล่าว รวม 3 ฉบับ สธ. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องด้วยแล้ว
3. ในคราวประชุมคณะกรรมการสถานพยาบาล ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2563 ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว
จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับดังกล่าวมาเพื่อดำเนินการ
เศรษฐกิจ - สังคม
8. เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ครั้งที่ 1/2563 (ครั้งที่ 150) เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เสนอ ดังนี้
1. พิจารณา จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ (1) ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018 : AEDP2018) (2) ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (Power Development Plan : PDP2018 Rev.1) (3) ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 – 2580 (Energy Efficiency Plan : EEP2018) (4) ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 (Gas Plan 2018) (5) แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 ซึ่งเป็นแผนระดับ 3 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 เรื่อง แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
2. รับทราบ จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ (1) แนวทางการส่งเสริมพื้นที่ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station Mapping) (2) การศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า (3) โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) (4) การกำหนดอัตราส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และ (5) ขอปรับปรุงหลักการและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
สาระสำคัญของเรื่อง
พน. รายงานว่า ในคราวประชุม กพช. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ประชุมฯ ได้พิจารณาและมีมติในเรื่องเชิงนโยบายที่สำคัญและได้รับรองมติการประชุมเรียบร้อยแล้ว จำนวน 10 เรื่อง โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ร่างแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (Alternative Energy Development Plan 2018 : AEDP2018) เพื่อรักษาเป้าหมายรวมในการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก (ไฟฟ้า ความร้อน และเชื้อเพลิงชีวภาพ) ต่อการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายที่ร้อยละ 30 ในปี พ.ศ. 2580 (ตามแผน AEDP2015) โดยปรับกรอบระยะเวลาให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) สรุปได้ดังนี้
1.1 เป้าหมายกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก จำนวน 10 ประเภทเชื้อเพลิง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 18,696 เมกะวัตต์ ผลิตไฟฟ้าได้ 52,894 ล้านหน่วย ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งประเทศ ณ ปี พ.ศ. 2580 เป็นร้อยละ 34.23 ซึ่งมากกว่าแผน AEDP2015 ที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 20.11 ในปี พ.ศ. 2579 ได้แก่
ประเภทพลังงาน |
กำลังการผลิต (เมกะวัตต์) |
|
แผน AEDP2015 |
แผน AEDP2018 |
|
พลังงานแสงอาทิตย์ |
6,000 |
9,290 |
พลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำ |
- |
2,725 |
ชีวมวล |
5,570 |
3,500 |
พลังงานลม |
3,002 |
1,485 |
ก๊าซชีวภาพ (น้ำเสีย/ของเสีย) |
1,280 |
183 |
ก๊าซชีวภาพ (พืชพลังงาน) |
1,000 |
|
ขยะชุมชน |
500 |
400 |
ขยะอุตสาหกรรม |
50 |
44 |
พลังน้ำขนาดเล็ก |
376 |
69 |
พลังน้ำขนาดใหญ่ |
2,906 |
- |
รวม |
19,684 |
18,696 |
1.2 เป้าหมายการผลิตพลังงานความร้อนจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก โดยมีสัดส่วนการผลิตความร้อนจากพลังงานทดแทนต่อความต้องการใช้พลังงานความร้อนทั้งประเทศ ณ ปี พ.ศ. 2580 เป็นร้อยละ 41.61 ซึ่งมากกว่าแผน AEDP2015 ที่มีสัดส่วนร้อยละ 36.67 ณ ปี พ.ศ. 2579
ประเภทเชื้อเพลง |
ความร้อนที่ผลิตได้ (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) |
|
แผน AEDP2015 |
แผน AEDP2018 |
|
ชีวมวล |
22,100 |
23,000 |
ก๊าซชีวภาพ |
1,283 |
1,283 |
ขยะ |
495 |
495 |
พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ |
1,210 |
100 |
ไบโอมีเทน |
- |
2,023 |
รวม |
25,088 |
26,901 |
1.3 เป้าหมายการผลิตเชื้อเพลิงในภาคขนส่งจากพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก จำนวน 5 ประเภทเชื้อเพลิง ความต้องการเชื้อเพลิงในภาคขนส่ง 40,890 พันตัน เทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยมีสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพต่อความต้องการใช้เชื้อเพลิงในภาคขนส่ง ณ ปี พ.ศ. 2580 ร้อยละ 9.99 ซึ่งน้อยกว่าแผน AEDP2015 ร้อยละ 25.04 ณ ปี พ.ศ. 2579
ประเภทเชื้อเพลิง |
ความร้อนที่ผลิตได้ (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) |
|
AEDP2015 |
AEDP2018 |
|
เอทานอล |
2,104 |
1,396 |
ไบโอดีเซล |
4,405 |
2,517 |
น้ำมันไพโรไลซิส |
171 |
171 |
ไบโอมีเทน |
2,023 |
- |
เชื้อเพลิงทางเลือกอื่น ๆ |
10 |
- |
รวม |
8,713 |
4,085 |
1.4 กพช. มีมติเห็นชอบแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก พ.ศ. 2561 – 2580 (AEDP2018) ตามที่ พน. เสนอ
2. ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 – 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1)
2.1 เปรียบเทียบ PDP2018 กับ PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 สรุปได้ ดังนี้
หัวข้อ |
PDP2018 |
PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 |
การพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2580 |
ปี 2580 พลังไฟฟ้าสูงสุด 53,997 เมกะวัตต์ พลังงานไฟฟ้า 367,458 ล้านหน่วย |
คงเดิม |
ภาพรวมของกำลังการผลิตไฟฟ้า ในช่วงปี พ.ศ. 2561 - 2580 |
77,211 เมกะวัตต์ |
คงเดิม |
กำลังผลิตโครงการโรงไฟฟ้าใหม่ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2580 แยกตามประเภทโรงไฟฟ้า (เฉพาะที่เปลี่ยนแปลง) |
โรงไฟฟ้าความร้อนร่วม 13,156 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน/ลิกไนต์ 1,740 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าใหม่/ทดแทน 8,300 เมกะวัตต์
|
โรงไฟฟ้าความร้อนร่วม 15,096 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าถ่านหิน/ลิกไนต์ 1,200 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าใหม่/ทดแทน 6,900 เมกะวัตต์ |
โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนใหม่ตามแผน AEDP ในช่วงปี พ.ศ. 2561 – 2580 |
ภาพรวม 18,696 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โครงการโรงไฟฟ้าตามนโยบายส่งเสริมภาครัฐ (นโยบายโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก นโยบายส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน) 520 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าตามแผน AEDP 18,176 เมกะวัตต์ |
ภาพรวมคงเดิม 18,696 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโรงไฟฟ้าตามนโยบายส่งเสริมภาครัฐ 2,453 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าตามแผน AEDP 16,243 เมกะวัตต์ |
สัดส่วนการผลิตพลังงานไฟฟ้าแยกตามประเภทเชื้อเพลิง (เฉพาะที่เปลี่ยนแปลงไป) |
เชื้อเพลิงถ่านหินและลิกไนต์ร้อยละ 12 พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 20 |
เชื้อเพลิงถ่านหินและลิกไนต์ร้อยละ 11 พลังงานหมุนเวียนร้อยละ 21 |
การปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2) ปี พ.ศ. 2580 |
0.283 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง 103,845 พันตัน |
0.271 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง 99,712 พันตัน |
ประมาณการค่าไฟฟ้าขายปลีก ปี พ.ศ. 2580 |
3.61 บาทต่อหน่วย |
3.72 บาทต่อหน่วย |
2.2 คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีความเห็น ดังนี้ (1) การปรับแผนการจัดหาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนไม่กระทบต่อความมั่นคง (2) การปรับแผนการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยให้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากจำนวน 1,933 เมกะวัตต์ ในช่วงปี 2563 - 2567 จะมีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้าโดยรวมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนควรพิจารณาด้านปริมาณ ราคา และระยะเวลาที่เหมาะสม (3) ควรมีการพิจารณาทบทวนปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศให้เท่าทันและสอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีการปรับเปลี่ยนไป รวมทั้งการปฏิบัติตามมาตรการทางการค้าด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นขึ้นของประเทศคู่ค้าด้วย
2.3 กพช. มีมติ ดังนี้
2.3.1 เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2561 - 2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 (PDP 2018 Rev.1) ตามที่ พน. เสนอ
2.3.2 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในปริมาณ 700 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ ให้ พน. ทำการประเมินผลการดำเนินงานในเรื่องของผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐากราก และความยั่งยืนของโครงการฯ ให้ กพช. ทราบด้วย
2.4 พน. ชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมว่า พน. มีนโยบายการส่งเสริมโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งได้รับความเห็นชอบจาก กพช. เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 และได้บรรจุโครงการฯ ไว้ในแผน PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 และแผน AEDP2018 ทั้งนี้ โครงการฯ ได้กำหนดเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าในช่วงปี 2563 – 2567 ปริมาณรวมทั้งสิ้น 1,933เมกะวัตต์ โดยจะดำเนินการในระยะแรกปี 2563 – 2564 ปริมาณ 700 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น โครงการ Quick Win ที่มีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายในปี 2563 จำนวน 100 เมกะวัตต์ ส่วนที่เหลือมีกำหนดจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบในปี 2564 จำนวน 600 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ พน. จะประเมินผลการดำเนินงานโครงการระยะแรกในเรื่องผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจฐานรากและความยั่งยืนของโครงการฯ ก่อนแล้วจึงจะเปิดรับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือจำนวน 1,233 เมกะวัตต์ ในปี 2564 - 2567 เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
3. ร่างแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 - 2580 (Energy Efficiency Plan 2018 : EEP2018) มีรายละเอียด ดังนี้
3.1 มีเป้าหมายในการลดความเข้มการใช้พลังงาน (EI) ลงร้อยละ 30 ภายในปี พศ. 2580 เมื่อเทียบกับปี พศ. 2553 คือ ลดการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายของประเทศ ณ ปี พ.ศ. 2580 จากระดับ 181,238 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ ในกรณีปกติลดลงไปอยู่ที่ระดับ 126,867 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือคิดเป็นเป้าหมายผลการประหยัดพลังงานเท่ากับ 54,371 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยผลการดำเนินงานในช่วงปี พ.ศ. 2554 – 2560 คิดเป็นพลังงานที่ประหยัดได้สะสมประมาณ 5,307 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ และสามารถลดความเข้มการใช้พลังงาน (EI) ลงได้ร้อยละ 7.63
3.2 มีเป้าหมายในการลดการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ให้ได้ทั้งสิ้น 49,064 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบของปริมาณการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายทั้งหมดเมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2553
3.3 ปรับกลยุทธ์การขับเคลื่อนแผนฯ โดยมุ่งเน้นไปที่เป้าหมาย 5 สาขาเศรษฐกิจหลัก ได้แก่ อุตสาหกรรม ธุรกิจการค้า บ้านอยู่อาศัย เกษตรกรรม และขนส่ง แบ่งเป็น 3 กลยุทธ์ คือ
3.3.1 กลยุทธ์ภาคบังคับ มีการกำกับดูแลให้ผู้ใช้พลังงานรายใหญ่ในภาคภาคส่วนต่าง ๆ ต้องมีการใช้พลังงานเป็นไปตาม มาตรฐาน มาตรการ/วิธีการกำหนดขึ้นอย่างเหมาะสม
3.3.2 กลยุทธ์ภาคส่งเสริม มีมาตรการสนับสนุนทางด้านการเงินเพื่อเร่งรัดให้มีการตัดสินใจลงทุนเปลี่ยนอุปกรณ์ หรือดำเนินมาตรการด้านอนุรักษ์พลังงาน การส่งสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดการอนุรักษ์พลังงาน ทั้งนี้ กลยุทธ์ภาคส่งเสริมจะลดความต้องการใช้พลังงานลงร้อยละ 62 คิดเป็นไฟฟ้า 8,862 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ คิดเป็นความร้อน 21,786 พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ
3.3.3 กลยุทธ์ภาคสนับสนุน ช่วยเสริมกลยุทธ์ภาคบังคับ และกลยุทธ์ภาคส่งเสริมให้เกิดผลประหยัดด้านพลังงาน
3.4 กพช. มีมติเห็นชอบแผนอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. 2561 – 2580 (EEP2018) ตามที่ พน. เสนอ
4. ร่างแผนบริหารจัดการก๊าชธรรมชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 (Gas Plan 2018) มีรายละเอียด ดังนี้
4.1 กรอบแนวคิดและเป้าหมายของ Gas Plan 2018 ได้แก่ ส่งเสริมการใช้ก๊าชธรรมชาติในภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศ เร่งรัดการสำรวจและผลิตก๊าชธรรมชาติจากแหล่งปิโตรเลียมภายในประเทศ พื้นที่พัฒนาร่วมและพื้นที่ทับซ้อน พัฒนาและใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมการแข่งขันในกิจการก๊าซธรรมชาติ
4.2 สมมติฐานความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ ภาคการผลิตไฟฟ้า ประมาณการตาม PDP2018 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ใช้ก๊าซธรรมชาติในโรงแยกก๊าซ (ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับผลิต LPG และปิโตรเคมี) ประมาณการตามปริมาณก๊าชธรรมชาติในอ่าวไทย ภาคอุตสาหกรรมประมาณการตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่งการคาดการณ์ GDP ปี พ.ศ. 2561 – 2580 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 3.8 ต่อปี และคำนึงถึงแผนการขยายโครงข่ายระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ ภาคขนส่งประมาณการตามแนวโน้มจำนวนรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas Vehicles : NGV)
4.3 ประมาณการความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 0.7 ต่อปี คาดว่าในปี พ.ศ. 2580 จะอยู่ที่ระดับ 5,348 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน แบ่งเป็นการผลิตไฟฟ้า ร้อยละ 67 ภาคอุตสาหกรรมร้อยละ 21 โรงแยกก๊าซฯ ร้อยละ 11 และภาคขนส่งร้อยละ 1
4.4 คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้มีมติ (21 กุมภาพันธ์ 2563) เห็นชอบร่าง Gas Plan 2018 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำเสนอ กพช. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติให้สอดคล้องกับ Gas Plan 2018 รวมถึงศึกษาทบทวนโครงการสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ (Floating Storage and Regasification Unit : FSRU) ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน [F-1] เพื่อให้การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
4.5 กพช. มีมติเห็นชอบแผน Gas Plan 2018 ตามที่ พน. เสนอ และมอบหมายให้ สนพ. จัดทำแผนโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติให้สอดคล้องกับ Gas Plan 2018รวมถึงศึกษาทบทวนโครงการ FSRU ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน [F-1] เพื่อให้การบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป
5. แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 - 2567
5.1 แผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 มีรายละเอียด ดังนี้
5.1.1 เป้าประสงค์ ดังนี้
เป้าประสงค์ |
กลยุทธ์ |
เป้าประสงค์ที่ 1 ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศมีเสถียรภาพ ไม่ปรับตัวอย่างรุนแรงในทันที |
กลยุทธ์ที่ 1.1 กำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บเงินเข้าและการชดเชยเงินของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ชัดเจน เพื่อความโปร่งใสและทันท่วงทีในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มน้ำมันดีเซล กลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล และก๊าซ LPG (ทั้งนี้ จะไม่มีการชดเชยราคาก๊าซ NGV) |
เป้าประสงค์ที่ 2 มีระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง |
กลยุทธ์ที่ 2.1 พัฒนาข้อมูลและระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ |
เป้าประสงค์ที่ 3 เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง |
กลยุทธ์ที่ 3.1 ประชาสัมพันธ์เชิงรุกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง กลยุทธ์ที่ 3.2 สร้างภาพลักษณ์ของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง |
5.1.2 แนวทางการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ดังนี้
(1) ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทำการแยกบัญชีตามกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง ได้แก่ กลุ่มน้ำมันดีเซล กลุ่มน้ำมันเบนซิน และก๊าซปิโตรเลียมเหลว เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดหนุนราคาข้ามกลุ่มเชื้อเพลิง (2) มีกรอบความต่างของราคาระหว่างราคาเชื้อเพลิงหลักของกลุ่มน้ำมันดีเซล และกลุ่มน้ำมันเบนซินในกรณีเกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับความต่างของราคาในสถานการณ์ราคาปกติ อย่างไรก็ตาม หากเกิดวิกฤตที่คาดว่าจะยาวนานจนส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ทำให้เงินกองทุนน้ำมันขาดสภาพคล่องให้พิจารณาอุดหนุนราคาดีเซลชนิดเดียว (3) ชดเชยราคาน้ำมันเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ (4) เก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในช่วงที่ราคาลง เพื่อสะสมเงินให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงให้มีสภาพคล่อง และ (5) ทบทวนแนวทางการรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
5.2 แผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2563 – 2567 มีรายละเอียด ดังนี้
หัวข้อ |
รายละเอียด |
วิสัยทัศน์ |
เป็นกองทุนที่รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ที่มีประสิทธิภาพ และ ธรรมาภิบาล |
พันธกิจ |
5 พันธกิจสำคัญ ประกอบด้วย (1) รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและป้องกันแก้ไขภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง (2) บริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ (3) ติดตามและประเมินผลการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ (4) บริหารจัดการระบบสารสนเทศของกองทุนน้ำมันฯ อย่างมีประสิทธิภาพ และ (5) เผยแพร่ข้อมูลการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันฯ ต่อสาธารณะ |
ยุทธศาสตร์ |
(1) การรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิง (2) การลดการจ่ายเงินชดเชยน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีส่วนผสมของเชื้อเพลิงชีวภาพ (3) การบริหารจัดการกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามหลักธรรมาภิบาล |
5.3 กพช. มีมติเห็นชอบแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิงและแผนยุทธศาสตร์กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเสนอ และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กพช. นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
6. เรื่องที่ กพช. มีมติเห็นชอบและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ จำนวน 5 เรื่อง มีรายละเอียด ดังนี้
เรื่อง |
มติ กพช. |
1. แนวทางการสงเสริมพื้นที่ ติดตั้งสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station Mapping) |
เห็นชอบแนวทางการพัฒนาสถานีอัดประจุไฟฟ้าตามที่ พน. เสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการต่อไป |
2. การศึกษาอัตราค่าไฟฟ้า และการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า |
1. รับทราบรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ในการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะ และศึกษาอัตราค่าไฟฟ้าและการจัดการระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า 2. เห็นชอบแนวทางการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าของยานยนต์ไฟฟ้า โดยใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบคงที่ตลอดทั้งวัน มีค่าเท่ากับอัตราค่าพลังงานไฟฟ้า ช่วงเวลา Off Peak ของผู้ใช้ไฟฟ้าตามโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันประเภท 2.2 กิจการขนาดเล็ก อัตราตามช่วงเวลา (เท่ากับ 2.6369 บาทต่อหน่วย สำหรับแรงดันไฟฟ้าน้อยกว่า 22 kV) โดยอัตราดังกล่าวต้องใช้กับเงื่อนไขการบริหารจัดการแบบ Low Priority หรือการใช้ไฟฟ้าสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้ามีความสำคัญลำดับรอง เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้า เพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป และสามารถควบคุม ปรับลด หรือตัดการใช้ไฟฟ้าของสถานีอัดประจุไฟฟ้าได้ เมื่อมีข้อจำกัดด้านความจุไฟฟ้าของระบบจำหน่ายไฟฟ้า เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่น และรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติทางเทคนิคของการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายตามพื้นที่รับผิดชอบ และใช้เป็นระยะเวลา 2 ปี หรือจนกว่าจะมีประกาศโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ |
3. โครงการทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) |
1. รับทราบการดำเนินโครงการ ERC Sandbox ของสำนักงาน กกพ. 2. เห็นชอบในหลักการให้ผ่อนปรนให้มีการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างเอกชนกับเอกชนผ่านโครงข่ายของการไฟฟ้า โดยใช้อัตราค่าบริการตามที่ กกพ. กำหนดภายใต้การกำกับของ กกพ. ร่วมกับการไฟฟ้า ทั้ง 3 แห่ง ในพื้นที่การดำเนินโครงการ ERC Sandbox โดยมีกำลังผลิตติดตั้งรวมเพื่อใช้ในการทดสอบนวัตกรรมไม่เกิน 50 เมกะวัตต์ ระยะเวลาแต่ละโครงการไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการต้องไม่ได้รับผลกำไรในเชิงการค้าจากการดำเนินโครงการ โดยให้คำนึงถึงความมั่นคงของระบบไฟฟ้า และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงานในการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า |
4. การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน |
1. เห็นชอบกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานของน้ำมันเบนซิน น้ำมันแก๊สโซฮอล์ น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว และน้ำมันดีเซลหมุนช้า ที่อัตราคงเดิม 0.1 บาทต่อลิตร ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระประชาชน เกษตรกร ผู้ประกอบการต่าง ๆ ในเรื่องต้นทุนรายจ่ายด้านพลังงาน โดยพิจารณาระดับฐานะการเงินที่ไม่กระทบภารกิจของกองทุนฯ ในการสนับสนุนการดำเนินโครงการเพื่อขับเคลื่อนนโยบายพลังงาน 2. เห็นชอบร่างประกาศ กพช. เรื่อง การกำหนดอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำในราชอาณาจักร และน้ำมันเชื้อเพลิงที่นำเข้ามา เพื่อใช้ในราชอาณาจักร พ.ศ. 2563 และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการ กพช. นำเสนอประธานกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติลงนามต่อไป |
5. ขอปรับปรุงหลักการและรายละเอียดโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก |
เห็นชอบให้ปรับปรุงหลักการและรายละเอียดของโครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เพื่อเศรษฐกิจฐานราก ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 และวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ดังนี้ 1. โรงไฟฟ้าชุมชนให้เน้นผลิตไฟฟ้าตามศักยภาพของเชื้อเพลิงที่มีในพื้นที่ มีขนาดเหมาะสมทางด้านวิศวกรรมและความต้องการใช้ไฟฟ้าของระบบไฟฟ้า และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์โดยจำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่าย ในอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่เหมาะสม และกระทบค่าไฟฟ้าของระบบไฟฟ้าในระดับที่รับได้เมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่เศรษฐกิจฐานรากได้รับ 2. โรงไฟฟ้าชุมชน ให้มีส่วนแบ่งรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าที่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายใด ๆ ให้กับ “กองทุนโรงไฟฟ้าชุมชน” ซึ่งจะมีการจัดตั้ง และกำหนดระเบียบการใช้จ่ายเงินขึ้นมาใหม่ โดยให้นำเสนอให้ กบง. พิจารณาให้ความเห็นชอบ 3. โครงการ Quick win ให้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภายในปี 2563 และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบภายใน 12 เดือน นับจากวันลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า |
9. เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชเสนอ ดังนี้
1. รับทราบสรุปมติคณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืช ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563
2. เห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองพิกัดอัตราศุลกากร 2304.00.90 รหัสย่อย .02 เฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค (รหัสสถิติ 002/KGM) และรหัสย่อย 29 เฉพาะที่นำเขามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ 090/KGM) (ไม่รวมกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์) คราวละ 3 ปี คือ ปี 2564 - 2566
3. เห็นชอบมาตรการปกป้องพิเศษ (Special Safeguard Measure : SSG) (มาตรการ SSG) ภายใต้ความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) และความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี 2563
สาระสำคัญของเรื่อง
คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชรายงานว่า
1. เนื่องจากการเปิดตลาดและการบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองเฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภค (รหัสสถิติ 002/KGM) และใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (รหัสสถิติ 090/KGM) ปี 2561 - 2563 (ไม่รวมกากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์) จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2563 และการดำเนินการมาตรการ SSG ต้องมีการออกประกาศที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และกระทรวงการคลัง (กค.) รวมทั้งเพื่อให้ผู้ประกอบการที่ใช้กากถั่วเหลืองและมะพร้าวเป็นวัตถุดิบในการผลิตมีวัตถุดิบป้อนโรงงานได้อย่างสม่ำเสมอและเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายเปิดตลาด คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชจึงได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2563 สรุป ดังนี้
1.1 เห็นชอบการเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองเฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคและใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เป็นคราวละ 3 ปี คือ ปี 2564 - 2566 ดังนี้
1.1.1 การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าภายใต้กรอบความตกลง WTO ปริมาณ 230,559 ตัน อัตราภาษีในโควตาร้อยละ 10 นอกโควตาร้อยละ 133 โดยมีการบริหารการนำเข้า ดังนี้
1) เป็นนิติบุคคลที่ใช้กากถั่วเหลืองเป็นวัตถุดิบในการผลิตในกิจการของตนเองและดำเนินกิจการอยู่ในปัจจุบัน
2) ให้นำเข้าเฉพาะด่านศุลกากรที่มีด่านพืชและด่านอาหารและยาเท่านั้น
3) ผู้นำเข้ากากถั่วเหลืองเฉพาะที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคจะต้องแสดงใบรับรอง Non - GMO จากประเทศผู้ผลิตต้นทาง
1.1.2 การเปิดตลาดและบริหารการนำเข้าภายใต้กรอบการค้าอื่น
กรอบการค้า |
ปริมาณ (ตัน) |
อัตราภาษี |
การบริหารการนำเข้า |
1) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) |
ไม่จำกัด ปริมาณการนำเข้า |
ร้อยละ 0 |
แสดงหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) เพื่อประกอบการนำเข้า |
2) ความตกลงการค้าเสรีไทย - ออสเตรเลีย (TAFTA) |
ได้รับการยกเว้นการกำหนดปริมาณนำเข้า |
ร้อยละ 0 |
ไม่ต้องขออนุญาตนำเข้าและไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรการบริหารการนำเข้า |
3) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นไทย - นิวซีแลนด์ (TNZCEP) |
|||
4) ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น (JTEPA) |
เป็นไปตามกรอบความตกลง WTO (230,559 ตัน) |
ในโควตาร้อยละ 0 นอกโควตา ร้อยละ 133 |
เป็นผู้ได้รับสิทธิการนำเข้า ตามความตกลง WTO |
5) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี (AKFTA) |
|||
6) ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA) |
1.1.3 การนำเข้าจากประเทศนอกความตกลง ภาษีร้อยละ 6 และค่าธรรมเนียมพิเศษ ตันละ 2,519 บาท
1.1.4 มอบหมายให้กรมศุลกากร กค. จัดทำร่างประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง (เกี่ยวกับอัตราภาษี) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
1.2 เห็นชอบการปรับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจัดสรรปริมาณการนำเข้าสินค้ากากถั่วเหลืองที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมผลิตเพื่อมนุษย์บริโภคและใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ตามความตกลงการเกษตรภายใต้ WTO โดยให้กรมการค้าต่างประเทศพิจารณาเรื่องกำลังการผลิตและการผลิตจริงในปัจจุบันของผู้ประกอบการที่ขอรับการจักสรรการนำเข้าเพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดสรรโควตาการนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
1.3 เห็นชอบการกำหนดกฎระเบียบการนำเข้ามะพร้าวทั้งกะลามะพร้าวอ่อน และมะพร้าวอื่น ๆ (พิกัดอัตราศุลกากร 0801.12.00 0801.19.10 และ 0801.19.90 ตามลำดับ) ให้เป็นแนวทางเดียวกันทั้งกรอบความตกลง WTO และ AFTA ตามข้อเรียกร้องเครือข่ายเกษตรกรผู้ปลูกมะพร้าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังนี้
1.3.1 กำหนดช่วงเวลานำเข้ามะพร้าวภายใต้กรอบความตกลง WTO ในโควตา และ AFTA ในช่วงเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ และเดือนกันยายน - ธันวาคม (รวม 6 เดือน) (จากเดิมเดือนมกราคม - พฤษภาคม และเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม) สำหรับกรอบความตกลง WTO นอกโควตา ไม่กำหนดช่วงเวลานำเข้า
1.3.2 กรณีที่นำมะพร้าวนำเข้าภายใต้กรอบความตกลง WTO ไปกะเทาะนอกโรงงาน ให้ผู้ประกอบการแปรรูปมะพร้าวจัดทำทะเบียนเครือข่ายผู้กะเทาะมะพร้าว (รายย่อย) และระบุทะเบียนรถที่ใช้ในการขนส่งที่รับมะพร้าวผลนำเข้าไปกะเทาะและรายงานให้พาณิชย์จังหวัดใช้เป็นข้อมูลประกอบการตรวจสอบย้อนกลับกับเอกสารใบขนย้ายมะพร้าว เพื่อไม่ให้มะพร้าวนำเข้าที่นำไปกะเทาะนอกโรงงานออกไปหมุนเวียนในตลาดภายในประเทศ (เป็นการบริหารการนำเข้ามะพร้าวภายใต้กรอบความตกลง WTO เพิ่มเติมจากที่มีอยู่)
1.4 การบริหารการนำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลง AFTA ปี 2563
1.4.1 เห็นชอบช่วงเวลานำเข้ามะพร้าวผลตามความตกลง AFTA ปี 2563 ในช่วงเดือนกันยายน - ธันวาคม 2563 (รวม 4 เดือน) โดยจัดสรรปริมาณนำเข้าให้แก่ผู้มีสิทธินำเข้า ในอัตรา 1 : 2.5 (นำเข้า 1 ส่วน ต่อการรับซื้อมะพร้าวผลในประเทศ 2.5 ส่วน) (เดิมสัดส่วน 1 : 2)
1.4.2 เห็นชอบให้คณะอนุกรรมการบริหารจัดการสินค้ามะพร้าวพิจารณาจัดสรรปริมาณการนำเข้ามะพร้าวผลให้แก่ผู้มีคุณสมบัติและผู้มีสิทธินำเข้า (ตามข้อ 1.4.1) แล้วให้รายงานผลการพิจารณาให้คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชทราบ และแจ้งกรมการค้าต่างประเทศดำเนินการประกาศเกี่ยวกับช่วงเวลาการนำเข้าต่อไป
1.5 มาตรการ SSG ภายใต้ความตกลง WTO และ AFTA สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี 2563
1.5.1 เห็นชอบมาตรการ SSG ภายใต้ความตกลง WTO และ AFTA สำหรับสินค้ามะพร้าว ปี 2563 โดยมะพร้าวทั้งกะลา มะพร้าวอ่อน และมะพร้าวอื่น ๆ ที่นำเข้ามาในประเทศไทยรวมกันเกินกว่าปริมาณ Trigger Volume* ให้กรมศุลกากรจัดเก็บอากรการนำเข้า ดังนี้
ประเภทความตกลง |
อัตราการเก็บอากร |
ภายใต้ความตกลง WTO นอกโควตา |
ร้อยละ 72 (คำนวณจากอากรเดิมนอกโควตา ร้อยละ 54 รวมกับเก็บอากรที่เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 18) |
ภายใต้ความตกลง AFTA |
ร้อยละ 72 (เดิมนอกโควตาร้อยละ 0) |
1.5.2 เห็นชอบปริมาณ Trigger Volume สำหรับปี 2563 จำนวน 335,926 ตัน โดยใช้ข้อมูลปริมาณการนำเข้ามะพร้าวทั้งกะลา มะพร้าวอ่อน และมะพร้าวอื่น ๆ เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี (ปี 2560 - 2562) ทั้งนี้ เมื่อปริมาณการนำเข้าถึง Trigger Volume แล้ว หากพบว่า ปริมาณมะพร้าวในประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการและการนำเข้ามะพร้าวไม่กระทบต่อราคาที่เกษตรกรได้รับ อาจพิจารณาไม่บังคับใช้มาตรการ SSG
1.5.3 เห็นชอบแนวทางการปฏิบัติของมาตรการ SSG สินค้ามะพร้าว ปี 2563 ดังนี้
1) กรมศุลกากรดำเนินการส่งข้อมูลปริมาณการนำเข้าสินค้ามะพร้าวให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรทราบเป็นรายสัปดาห์ หากปริมาณการนำเข้าถึง Trigger Volume แล้ว ให้กรมศุลกากรดำเนินการจัดเก็บอากรในอัตราที่เพิ่มขึ้น
2) กรมศุลกากรปรับอัตราอากรสำหรับสินค้ามะพร้าวที่นำเข้ามาตั้งแต่วันที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชกำหนดเป็นวันเริ่มใช้อัตราอากรสำหรับมาตรการ SSG หากนำเข้ามาก่อนวันที่คณะกรรมการพืชน้ำมันและน้ำมันพืชกำหนดให้ใช้มาตรการ SSG และยังไม่ได้จัดทำใบขนสินค้าขาเข้า ให้จัดเก็บอากรในอัตราเดิม
3) กรณีเรือลอยลำ สินค้าที่นำเข้ามาตั้งแต่วันที่กำหนดวันเริ่มใช้มาตรการ SSG ให้ผู้นำเข้าชำระอากรในอัตราใหม่ แต่หากพิสูจน์ได้ว่ามีการส่งออกจากท่าเรือต้นทางและมีการทำสัญญาระหว่างผู้ส่งและผู้รับไว้ก่อนหน้าวันที่กำหนดใช้มาตรการ SSG ให้ยกเว้นการขึ้นอากรตามมาตรการ SSG และให้สามารถขอคืนอากรในส่วนที่ชำระเกินไว้ได้
1.5.4 มอบหมายให้กรมศุลกากร กค. จัดทำร่างประกาศกระทรวงการคลังที่เกี่ยวข้อง (เกี่ยวกับอัตราภาษี) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็ว
________________________
หมายเหตุ : * Trigger Volume คือ แนวทางในการใช้มาตรการปกป้องพิเศษสำหรับสินค้าเกษตรโดยใช้ปริมาณเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา หากปริมาณสินค้าที่นำเข้าเกินกว่า Trigger Volume ประเทศผู้นำเข้าจะสามารถขึ้นภาษีเพื่อชะลอปริมาณการนำเข้าได้
10. เรื่อง (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ พ.ศ. 2562 - 2565
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ พ.ศ. 2562 - 2565 [(ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ] ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ศธ. รายงานว่า
1. ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2560 ศธ. [สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.)] ได้ดำเนินการจัดทำ (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ (กรอบระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี) ซึ่งได้กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ตัวชีวัด และเป้าประสงค์ในแต่ละปี เพื่อเป็นแผนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะที่จำเป็นตรงตามความต้องการของภาคประกอบการและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2562 ได้มีมติเห็นชอบ (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ แล้ว และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ในคราวประชุม ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2563 มีมติเห็นชอบในหลักการด้วยแล้ว โดยมีข้อสังเกตและประเด็นที่ ศธ. ควรมุ่งเน้นเพิ่มเติม ดังนี้ (1) ควรกำหนดกรอบคุณวุฒิแห่งชาติให้มีความเท่าทันต่อบริบทการพัฒนาและความต้องการด้านทักษะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (2) ควรกำหนดรายละเอียดผลลัพธ์การเรียนรู้ในแต่ละระดับที่คำนึงถึงความสามารถรองรับเป้าหมายด้านวิชาการและการประเมินความเป็นมืออาชีพในวิชานั้น ๆ (3) ควรกำหนดเป้าประสงค์และตัวชี้วัดที่สามารถสะท้อนให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานทั้งระบบ และ (4) ควรมีการประสานความร่วมมือและสร้างความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและควรมีการดำเนินงานเชิงรุกมากยิ่งขึ้น ซึ่ง สกศ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการได้ดำเนินการปรับแก้ (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ ตามข้อสังเกตของสภาพัฒนาฯ แล้ว
2. (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 วิสัยทัศน์และพันธกิจ
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
วิสัยทัศน์ |
กรอบคุณวุฒิแห่งชาติเป็นกลไกยกระดับคุณภาพการศึกษา และสร้างกำลังคนคุณภาพเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน |
พันธกิจ |
1) สร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ 2) พัฒนาต้นแบบการขับเคลื่อนการสร้างกำลังคนคุณภาพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 3) เสริมสร้างความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 4) ยกระดับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่มาตรฐานระดับอาเซียนและสากล 5) จัดทำ ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ |
2.2 กลยุทธ์การขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย 5 กลยุทธ์ ดังนี้
เป้าประสงค์ |
ตัวชี้วัด |
แนวทางการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น |
กลยุทธ์ที่ 1 เร่งสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความสำคัญและประโยชน์ของการนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ |
||
นักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง กำลังแรงงาน และหน่วยงานทุกภาคส่วนตระหนักถึงประโยชน์และคุณค่าของการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
ร้อยละของนักเรียน นักศึกษา ผู้ปกครอง กำลังแรงงาน และหน่วยงานทุกภาคส่วนรับรู้ ตระหนักถึงความสำคัญของกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ภายในปี พ.ศ. 2565 |
1. จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์และจัดประชุมสร้างความเข้าใจเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลที่เกี่ยวข้อง 2. แสวงหาช่องทางการสื่อสาร การเผยแพร่ และรับฟังความคิดเห็นการดำเนินงาน |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : สกศ. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง |
||
กลยุทธ์ที่ 2 จัดทำต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
||
ต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีความชัดเจนเกี่ยวกับระบบการเชื่อมโยงคุณวุฒิการศึกษากับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและมาตรฐานอาชีพ และระบบการเทียบโอนประสบการณ์ รวมถึงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายละเอียดต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคน การ Up - Skills และ Re - Skills |
1. ต้นแบบการผลิตและพัฒนากำลังคนที่เชื่อมโยงคุณวุฒิการศึกษาและระดับมาตรฐานอาชีพ 2. ร้อยละของกำลังคนที่ผ่านหลักสูตรการเรียนรู้/หลักสูตรฝึกอบรมใน 7 สาขาอาชีพต้นแบบ* สาขาละไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของกำลังคนเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ 3. มีการผลิตและพัฒนากำลังคนใน 7 สาขาอาชีพต้นแบบรองรับแผนพัฒนาภาค ทั้ง 6 ภาค อย่างน้อยภาคละ 3 อาชีพ รวมเป็น 18 อาชีพ ภายในปี พ.ศ. 2565 4. ต้นแบบการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้/หลักสูตรฝึกอบรมใน 7 สาขาอาชีพที่ยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ 5. มีแนวปฏิบัติการเทียบโอนประสบการณ์ การ Up - Skills และ Re - Skills จาก 7 สาขาอาชีพต้นแบบที่ดำเนินการนำร่อง |
1.จัดทำแผนขับเคลื่อนกำลังคนใน 7 สาขาอาชีพที่จำเป็นต่อประเทศ ประกอบด้วย 1) โลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน 2) โลจิสติกส์และซัพพลายเชน 3) หุ่นยนต์แลระบบอัตโนมัติ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์ 5) อาหารและเกษตร 6) ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงาน และพลังงานทดแทน และ 7) แม่พิมพ์ 2. ทดลองนำร่องการผลิตและพัฒนากำลังคน 3. ดำเนินการผลิตและพัฒนากำลังคนในประเด็นที่สำคัญ เช่น ศึกษาความต้องการกำลังคนทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ออกแบบการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สู่การปฏิบัติ 4. สร้างความชัดเจนถึงรายละเอียดในทุกขั้นตอน โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาหลักสูตรการเรียนรู้/หลักสูตรฝึกอบรมและระบบการเทียบโอนประสบการณ์ การ Up - Skills และ Re - Skills 5. จัดทำคู่มือการดำเนินงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ 6. จัดทำระบบฐานข้อมูลหลักสูตรที่ยึดโยงกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติและมาตรฐานอาชีพ |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : สกศ. สำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา (สอศ.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน (รง.) สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (สคช.) (องค์การมหาชน) และคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ภายใต้คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
||
กลยุทธ์ที่ 3 เสริมสร้างความร่วมมือและความรับผิดชอบร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
||
หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีการผนึกกำลังกันอย่างเข้มแข็งในการดำเนินการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
หน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องปรับบทบาทหน้าที่ให้สอดคล้องกับการผลิตและพัฒนากำลังคนตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติภายในปี พ.ศ. 2565 |
1. ประสานการใช้ทรัพยากรร่วมกันระหว่างหน่วยงาน 2. ผลักดันให้เกิดการปรับบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับการพัฒนากำลังคน 3. พัฒนานวัตกรรมคลังปัญญาในการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF Intelligent Center) เพื่อจัดระบบเผยแพร่ข้อมูลและองค์ความรู้ |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : สกศ. สกอ. สอศ. กศน. กพร. สคช. สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) (องค์การมหาชน) สำนักงาน ก.พ. และคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ภายใต้คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
||
กลยุทธ์ที่ 4 เชื่อมโยงคุณวุฒิในสาขาอาชีพที่จำเป็นสำหรับการพัฒนากำลังคนของประเทศไทยกับประเทศอาเซียนและระดับสากล |
||
การเชื่อมโยงคุณวุฒิกับประเทศอาเซียนและระดับสากลในสาขาอาชีพที่จำเป็นสำหรับประเทศไทย |
เกิดการเชื่อมโยงคุณวุฒิกับประเทศอาเซียนและระดับสากล ไม่น้อยกว่า 4 สาขาอาชีพ ภายในปี พ.ศ. 2565 |
1. จัดให้มีคณะทำงานเทียบเคียงและจัดทำรายงานเพื่อใช้ในการดำเนินงาน รวมทั้งดำเนินการเชื่อมโยงคุณวุฒิกับประเทศในอาเซียนและระดับสากล 2. นำร่องการเคลื่อนย้ายกำลังคนในสาขาอาชีพที่ได้ดำเนินการเชื่อมโยงคุณวุฒิเรียบร้อยแล้ว 3. ติดตามประเมินผลการนำร่อง และเตรียมผลักดันสาขาอาชีพอื่นที่มีศักยภาพในการแข่งขันต่อไป |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : สกศ. สคช. และคณะอนุกรรมการเทียบเคียงคุณวุฒิสาขาอาชีพกับประเทศอาเซียนและสากล |
||
กลยุทธ์ที่ 5 จัดทำ ปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ |
||
มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
เกิดการแก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ไม่น้อยกว่า 5 เรื่อง ภายในปี พ.ศ. 2565 |
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนา ปรับปรุง ทบทวน กฎหมาย กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง 2. จัดทำข้อเสนอและผลักดันให้เกิดการปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ |
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง : สกศ. |
2.3 การติดตามและประเมินผล (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ มีดังนี้
2.3.1 แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามประเมินผลภายใต้คณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ โดยมีผู้แทนจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
2.3.2 จัดทำแผนปฏิบัติการตาม (ร่าง) แผนขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิฯ โดยมีรายละเอียดขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โครงการผู้รับผิดชอบดำเนินโครงการและงบประมาณรายปี
2.3.3 พัฒนากลไกในการกำกับ ติดตามและประเมินผลการดำเนินการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบ
2.3.4 จัดระบบฐานข้อมูลเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และติดตามประเมินผลการดำเนินการตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
2.3.5 ดำเนินการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนและรายงานผลต่อคณะกรรมการกรอบคุณวุฒิแห่งชาติทุก 6 เดือน
________________________
* 7 สาขาอาชีพต้นแบบ หมายถึง 7 สาขาอาชีพที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ประกอบด้วย 1) โลจิสติกส์โครงสร้างพื้นฐาน 2) โลจิสติกส์และซัพพลายเชน 3) หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ 4) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและดิจิทัลคอนเทนต์ 5) อาหารและเกษตร 6) ปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ พลังงาน และพลังงานทดแทน และ 7) แม่พิมพ์
11. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 (คณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง)
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงเสนอ ดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามมติการประชุมคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวง (กปส.) ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563
2. เห็นชอบการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบ กปส. ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
3. เห็นชอบการขอสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวงจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผ่านสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) งบประมาณรวมทั้งสิ้น 105.70 ล้านบาท
สาระสำคัญของเรื่อง
กปส. รายงานผลการประชุม กปส. ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 สรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมมีมติรับทราบ จำนวน 7 เรื่อง ดังนี้
ลำดับ |
เรื่อง |
รายละเอียด |
1. |
การปรับแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 |
คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (11 ธันวาคม 2562) เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับงานโครงการหลวง (ฉบับที่..) พ.ศ. .... และได้ประกาศราชกิจจานุเบกษาแล้ว โดยระเบียบดังกล่าวเป็นการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของ กปส. โดยเพิ่ม 5 ตำแหน่งและปรับออก 2 ตำแหน่ง |
2. |
การปรับองค์ประกอบคณะทำงานสนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง |
นายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ กปส. ได้ลงนามแต่งตั้งคณะทำงานสนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ตามคำสั่งคณะกรรมการประสานงานและสนับสนุนงานโครงการหลวงที่ 1/2562 ลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2562 เรียบร้อยแล้ว โดยปรับให้นายอำเภอในพื้นที่เป็นประธานคณะทำงานและปรับเพิ่มเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ และเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลในพื้นที่ เป็นคณะทำงานเพิ่มเติม |
3. |
การแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ตามแนวทางการดำเนินงานของโครงการหลวง |
ได้แก่ การศึกษาและทบทวนระเบียบที่เกี่ยวข้องในการขอใช้พื้นที่ป่าไม้และอุทยานแห่งชาติในส่วนของโครงการพระราชดำริ การแต่งตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่ตามแนวทางการดำเนินงานของโครงการหลวงและการดำเนินงานขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่ของสถานีเกษตรหลวงและศูนย์พัฒนาโครงการหลวง 39 แห่ง |
4. |
การจัดประชุมวิชาการนานาชาติด้านการพัฒนาเกษตรที่สูงอย่างยั่งยืนตามพระราชปณิธานสืบสาน รักษา และต่อยอดงานโครงการหลวง |
มีผลการประชุม เช่น พระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ ในการเปิดงาน สรุปได้ว่า ตลอด 50 ปีที่ผ่านมาโครงการหลวงมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง นำสู่การเป็นต้นแบบแห่งข้อกำหนดพัฒนาทางเลือกเพื่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดขององค์การสหประชาชาติ พระราชดำริในการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา สามารถนำไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและนานาชาติได้อย่างแท้จริง และที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบการจัดตั้งสถาบันเรียนรู้ศาสตร์พระราชาการพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน มูลนิธิโครงการหลวง เพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (กปส. มีมติเพิ่มเติม เห็นชอบในหลักการจัดตั้งสถาบันการเรียนรู้ศาสตร์พระราชาการพัฒนาทางเลือกอย่างยั่งยืน มูลนิธิโครงการหลวง และให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนการจัดตั้งดังกล่าวต่อไป) |
5. |
ผลการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวงและหน่วยงานสนับสนุนตามแผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และ พ.ศ. 2563 (ไตรมาส 2) |
เช่น การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และการสร้างนวัตกรรมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาพื้นที่สูงอย่างมั่นคงและยั่งยืน การพัฒนาชุมชนโครงการหลวงให้สามารถพึ่งตนเองและเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เหมาะสมต่อพื้นที่สูง ยุทธศาสตร์การฟื้นฟูและรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชนและป่าต้นน้ำลำธารให้มีความสมบูรณ์ และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการการตลาดเพื่อสังคม |
6. |
ผลการประชุมของคณะอนุกรรมการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวง ครั้งที่ 1/2563 |
คณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบ 2 เรื่อง ได้แก่ การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่เหียะน้อย ตำบลแม่เหียะ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ และแผนความต้องการการปรับปรุงโครงสร้างปัจจัยพื้นฐานในพื้นที่โครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวงประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 |
7. |
รายงานผลการศึกษาสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของเกษตรกรในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง และผลการประเมินกึ่งกลางแผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2560 - 2564) |
มีผลการศึกษาและประเมิน เช่น พืชอาหารได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพอาหารปลอดภัย 15,209 ครัวเรือน กระจายการพัฒนาไปยังหมู่บ้านเป้าหมายทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 65,045.90 บาทต่อครัวเรือน ครัวเรือนเกษตรกรได้รับการพัฒนาด้านอาชีพแล้วร้อยละ 36.39 และครัวเรือนเกษตรกรมีความมั่นคงทางอาหารร้อยละ 74.51 หรือมีรายได้ที่สูงกว่าเส้นความยากจนร้อยละ 68.67 |
2. ที่ประชุมพิจารณา จำนวน 3 เรื่อง ดังนี้
2.1 การปรับแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
ที่ประชุมมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไของค์ประกอบของ กปส.ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับงานโครงการหลวง พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนระบบการบริหารงานและการดำเนินงานของมูลนิธิโครงการหลวงในปัจจุบัน รวม 6 ตำแหน่ง ประกอบด้วยที่ปรึกษา 1 ตำแหน่ง ได้แก่ ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง และกรรมการ 5 ตำแหน่ง ได้แก่ (1) เลขาธิการองคมนตรี (2) ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (3) ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (4) อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และ (5) เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และให้ฝ่ายเลขานุการเสนอการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ตามขั้นตอนต่อไป
2.2 การขอสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง
ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
2.2.1 รับทราบความก้าวหน้าการก่อสร้างอาคารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง
สำนักงบประมาณ (สงป.) ได้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้าง ในวงเงิน 197.80 ล้านบาท ส่วนการก่อสร้างได้รับการสนับสนุนจากกองทัพบกโดยได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2563 กำหนดการแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2564
2.2.2 รับทราบการสนับสนุนการดำเนินงานและงบประมาณในการก่อสร้างอาคารศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวงที่คาดว่าจะได้รับจากหน่วยงานต่าง ๆ ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2564 ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
2.2.3 เห็นชอบในหลักการการขอสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับการก่อสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรโครงการหลวง เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
(1) ให้มูลนิธิโครงการหลวงขอตั้งงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผ่านสำนักงาน กปร. งบประมาณรวมทั้งสิ้น 104.70 ล้านบาท เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับจัดสรรตามข้อ 2.2.1 ครอบคลุมเฉพาะการก่อสร้างตัวอาคาร จำนวน 6 อาคาร แต่ยังไม่ได้รวมครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์และครุภัณฑ์สำนักงานที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากโครงสร้างที่จำเป็นที่ต้องจัดหาเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ของอาคาร
(2) ให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทส. ขอรับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 โดย สงป. สนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงภูมิทัศน์ จำนวน 7 ล้านบาท
2.3 กรอบคำของบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานต่าง ๆ ที่สนับสนุนงานโครงการหลวงและโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565
ที่ประชุมมีมติ ดังนี้
2.3.1 เห็นชอบในหลักการกรอบคำขอตั้งงบประมาณสนับสนุนศูนย์พัฒนาโครงการหลวง จำนวน 39 แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ภายใต้แผนแม่บทศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2560 - 2565) จำนวน 750.12 ล้านบาท
2.3.2 เห็นชอบในหลักการกรอบคำขอตั้งงบประมาณสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง จำนวน 33 แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ภายใต้แผนแม่บทโครงการพัฒนาพื้นที่สูงแบบโครงการหลวง ระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2560 - 2565) จำนวน 679.66 ล้านบาท
2.3.3 มอบให้ สงป. รับไปพิจารณาให้การสนับสนุนตามมติ กปส. ต่อไป
12. เรื่อง การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย – มีนบุรี (โครงการฯ) ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
คค. รายงานว่า
1. ภายหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบผลการคัดเลือกเอกชนและร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ (มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 พฤษภาคม 2560) โดย รฟม. ได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการฯ โดยขอเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) และสถานีนพรัตนราชธานี (PK26)1 ดังนี้
1.1 สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01)
หัวข้อ |
รายละเอียด |
เหตุผลและความจำเป็น |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ได้มีข้อสั่งการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2557 ให้ รฟม. เร่งรัดการแก้ไขปัญหาจุดเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน โดยเฉพาะการกำหนดตำแหน่งสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ของโครงการฯ ควรพิจารณาทางเลือกจุดที่ตั้งโดยไม่ใช้พื้นที่ของอุทยานมกุฏรมยสราญรวมทั้งการจัดให้มีทางเดินเชื่อมต่อระหว่างสถานี PK01 กับสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีของโครงการรถไฟฟ้าสายฉลองรัชธรรม (สายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ) |
ทางเลือกพื้นที่ |
รฟม. ได้ดำเนินการศึกษาสภาพพื้นที่และการใช้ประโยชน์ที่ดินริมถนนรัตนาธิเบศร์แล้วพบว่า มีทางเลือกพื้นที่ที่สามารถกำหนดเป็นตำแหน่งที่ตั้งของสถานี PK01 ใหม่ จำนวน 3 ทางเลือก ได้แก่ (1) บริเวณด้านหน้าซอยรัตนาธิเบศร์ 4 (2) บริเวณด้านหน้าสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม และ (3) บริเวณด้านข้างสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม |
ตำแหน่งที่ตั้ง |
ทางเลือกที่ 1 บริเวณด้านหน้าชอยรัตนาธิเบศร์ 4 มีความหมาะสมมากที่สุดเนื่องจาก - ขยับจากตำแหน่งเดิมไปทางขวา (ทิศตะวันออก) ประมาณ 337 เมตร บนถนนรัตนาธิเบศร์ จึงไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่อุทยานมกุฏรมยสราญ และไม่บดบังด้านหน้าอุทยานมกุฏรมยสราญ - สามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย – ลำสาลี และสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี) - การบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถกำหนด ระยะห่างระหว่างขบวนรถ (Headway) ต่ำ ในช่วงเวลาเร่งด่วนได้ - โครงสร้างสถานีอยู่บนแนวเส้นทางโครงการเดิม จึงสามารถคงระดับสถานีและทางวิ่งได้ตามเดิม ทำให้คงคุณภาพการบริการและความสะดวกสบายของผู้โดยสารในการเข้าออกสถานีได้ดีที่สุด (ในกรณีทางเลือกที่ 2 และ 3จำเป็นต้องยกระดับโครงสร้างสถานีและทางวิ่งให้สูงขึ้น เพื่อข้ามโครงสร้างทางวิ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วง) - จำเป็นต้องมีการเวนคืนที่ดินของเอกชนบางส่วน เพื่อให้คงขนาดความกว้างทางเท้าไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร (รฟม. ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว) |
การเชื่อมต่อโครงข่ายระบบรถไฟฟ้า |
- โครงการฯ จะก่อสร้างทางเดินยกระดับ (Skywalk) ระยะทาง 340 เมตร พร้อมติดตั้งระบบทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (Walkalator) บนทางเดินยกระดับทั้งขาไปและขากลับ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสาร รวมทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุ ในการเชื่อมต่อกับสถานีศูนย์ราชการนนทบุรีของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง - ผลการศึกษาออกแบบโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรได้กำหนดตำแหน่งสถานีต้นทาง (Terminal Station) อยู่ใกล้กับตำแหน่งสถานี PK01 ใหม่ ไว้แล้ว ทำให้ผู้โดยสารของทั้งสองโครงการสามารถเชื่อมต่อโดยตรงด้วยทางเดินยกระดับ (Skywalk) ระยะทางประมาณ 45 เมตร ประกอบกับจังหวัดนนทบุรีได้สงวนพื้นที่ราชพัสดุบริเวณที่จะก่อสร้างสถานีต้นทางรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลดังกล่าว เพื่อรองรับแนวคิดที่จะพัฒนาเป็นอาคารศูนย์เชื่อมต่อการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนไว้ด้วยแล้ว |
การดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน |
- การประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการ จำนวน 250 ชุด ครอบคลุมประชาชนและผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ใกล้เคียงตำแหน่งสถานี - การสำรวจความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งสิ้น 299 ราย โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (ร้อยละ 71.4) เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานีมีความเหมาะสม เนื่องจากสะดวกในการมาใช้บริการห้างสรรพสินค้าและใกล้ที่พักอาศัยมากกว่า และคาคว่าจะมีผู้มาใช้บริการมากกว่าตำแหน่งเดิม - หารือร่วมกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและผู้เช่าที่ดินที่ถูกเวนคืน จำนวน 6 ราย ซึ่งเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินได้ขอให้พิจารณาลดขนาดพื้นที่เวนคืน และขอให้เปิดทางเข้า - ออกแปลงที่ดิน - ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ จังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธาน และมีส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคเอกชนเข้าร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติรับทราบที่ตั้งตำแหน่งสถานี PK01 ใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงมาจากตำแหน่งเดิม รวมทั้งรับทราบรูปแบบการก่อสร้างโครงการ และการจัดให้มีทางเดินยกระดับ (Skywalk) และทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (Walkalator) เชื่อมต่อโดยตรงกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง |
1.2 สถานีนพรัตนราชธานี (PK26)
หัวข้อ |
รายละเอียด |
เหตุผลและความจำเป็น |
กรมทางหลวงได้ดำเนินการก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกบริเวณหน้าโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี (ทางแยกจุดตัดถนนรามอินทรา) ซึ่งเป็นตำแหน่งของสถานี PK26 เดิม ทำให้ตำแหน่งที่ตั้งของสถานี PK26 มีระยะห่างในแนวดิ่ง (Vertical Clearance) จากผิวถนนถึงโครงสร้างใต้สถานีไม่เพียงพอตามมาตรฐานของกรมทางหลวงที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 5.5 เมตร จึงจำเป็นต้องขยับตำแหน่งสถานี PK26 จากตำแหน่งเดิมไปทางซ้าย (ทิศตะวันตก) ของแนวเส้นทางโครงการประมาณ 313 เมตร มาอยู่บริเวณด้านหน้าสนามกีฬาไนติงเกล หมู่บ้านวิสุทธาวิลล์ และร้านอาหารเทอเรช 61 |
การดำเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน |
- การประชาสัมพันธ์ข้อมูลโครงการ จำนวน 250 ชุด ครอบคลุมประชาชนและผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะในพื้นที่ใกล้เคียงตำแหน่งสถานี - การสำรวจความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย รวมทั้งสิ้น 401 ราย โดยผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (ร้อยละ 74.6) เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานีมีความเหมาะสมเนื่องจากตำแหน่งสถานีอยู่ใกล้ที่พักอาศัยทำให้มีความสะดวกในการมาใช้บริการ - หารือกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 5 ราย เพื่อชี้แจงข้อมูลการออกแบบสถานี และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 ถึงมกราคม 2561 โดยเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินขอให้ปรับรูปแบบสถานีให้ไม่มีโครงสร้างทางขึ้น – ลงสถานีพาดผ่านหน้าหมู่บ้าน วิสุทธาวิลล์ และปรับลดแนวเวนคืนไม่ให้มีการเวนคืนที่ดินภายในรั้วบ้านหรือมีผลกระทบต่อตัวอาคารบ้านพักอาศัย ซึ่งโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูได้ดำเนินการตามที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ร้องขอเรียบร้อยแล้ว |
2. คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2562เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี(PK01) ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในศูนย์ราชการและประชาชนที่มาติดต่อราชการได้ประโยชน์จำนวนมาก รฟม. ต้องมีเหตุผลที่จะสามารถอธิบายให้สังคมเข้าใจได้อย่างชัดเจนและได้รับการยืนยันจากจังหวัดนนทบุรีว่า เพราะเหตุใดจึงต้องเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานี และการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งมาอยู่บริเวณห้างสรรพสินค้าใกล้บริเวณสี่แยกแคราย และมีสะพานลอยข้ามแยก ซึ่งมีปัญหาจราจรติดขัดตลอดทั้งวัน จึงควรทบทวนว่าจะจัดการการจราจรบริเวณดังกล่าวอย่างไร เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรติดขัด ซึ่ง กก.วล. ได้มีมติ ดังนี้
2.1 เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและอื่นๆ ในคราวประชุมครั้งที่ 38/2562 เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2562 ต่อรายงานการขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการฯ โดยให้ รฟม. รับความเห็นของ กก.วล. ไปพิจารณาดำเนินการ สำหรับการขอย้ายสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ในประเด็น ดังนี้ (1) การมีส่วนร่วมของประชาชน (2) การประชุมหารือศูนย์ราชการนนทบุรี (3) การจัดการจราจรในช่วงการก่อสร้างสถานีบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเอสพลานาด และ (4) การกำหนดเวลาเปิด - ปิดการใช้งานทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (Walkalator) และ (5) การตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในช่วงการก่อสร้างโครงการของทั้งสองสถานี และดำเนินการ ดังนี้
2.1.1 ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด
2.1.2 ให้ตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินการตามมาตรการในข้อ 2.1.1
2.1.3 นำความเห็นของ กก.วล. เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
2.2 มอบหมายให้ คค. โดย รฟม. ประชุมหารือศูนย์ราชการนนทบุรี และจังหวัดนนทบุรี เพื่อยืนยันเหตุผลในการขอย้ายสถานี PK01 ตามข้อกังวลของ กก.วล. ประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
3. รฟม. ได้ดำเนินการตามความเห็นของ กก.วล. แล้ว ดังนี้
ความเห็นของ กก.วล. |
การดำเนินการของ รฟม. |
การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเพิ่มเติม |
รฟม. ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนผู้ติดต่อราชการกับศูนย์ราชการนนทบุรีเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 385 ราย ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 93.0) แสดงความคิดเห็นว่าสถานี PK01 ใหม่มีความหมาะสม เนื่องจากไม่บดบังทัศนียภาพของอุทยานมกุฏรมยสราญ นอกจากนี้ยังลดปัญหาการจราจรบริเวณทางเข้า – ออก ศูนย์ราชการนนทบุรีในช่วงก่อสร้าง |
การประชุมหารือกับหน่วยงาน ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในพื้นที่ศูนย์ราชการนนทบุรี |
รฟม. ได้จัดประชุมหารือกับหน่วยงานในพื้นที่ศูนย์ราชการนนทบุรี รวม 49 หน่วยงาน ซึ่งส่วนใหญ่ (ร้อยละ 85.1) แสดงความคิดเห็นว่า ตำแหน่งสถานี PK01 ใหม่มีความเหมาะสม เนื่องจากเป็นการลดปัญหาการจราจรบริเวณทางเข้า – ออก ศูนย์ราชการนนทบุรี ประกอบกับตำแหน่งสถานีใหม่ไม่ใช้พื้นที่และไม่บดบังทัศนียภาพของอุทยานมกุฏรมยสราญ นอกจากนี้ การที่ รฟม. จะจัดให้มีทางเดินยกระดับ (Skywak) และทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ (Walkalator) ไปยังสถานีโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทั้งสองระบบ |
การจัดการจราจรในช่วงการก่อสร้างสถานีบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเอสพลานาด |
กองบัญชาการตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรีได้ออกข้อบังคับเจ้าพนักงานจราจรทางบกจังหวัดนนทบุรี ว่าด้วยการปิดกั้นจราจรบนถนนรัตนาธิเบศร์ ถนนติวานนท์ และถนนแจ้งวัฒนะ ในเขตจังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2562 เพื่อจัดการจราจรในช่วงการก่อสร้างสถานีบริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเอสพลานาดด้วยแล้ว |
การจัดให้มีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ |
รฟม. และผู้รับสัมปทานได้ออกแบบทางเดินลอยฟ้า (Skywalk) เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงฯ ระยะทางประมาณ 340 เมตร มีความสูงประมาณ 12 เมตร ความกว้างประมาณ 10 เมตร รวมทั้งจัดให้มีทางเดินเลื่อนอัตโนมัติ ความกว้าง 1.4 เมตร ทั้งขาไปและขากลับ ด้านละ 1 ตัว ซึ่งจะเปิดใช้งานตลอดช่วงเวลาที่เปิดให้บริการเดินรถ |
การตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในช่วงการก่อสร้าง |
รฟม. และผู้รับสัมปทานได้เพิ่มเติมแผนการตรวจวัดฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงการก่อสร้างบริเวณวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ นนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงการก่อสร้างสถานี PK01 และในช่วงการก่อสร้างบริเวณหมู่บ้านวิสุทธาวิลล์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ใกล้เคียงการก่อสร้างสถานี PK26 แล้ว |
__________________________
1การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งสถานีไม่มีผลกระทบต่อกรอบวงเงินรวมของโครงการและผู้รับสัมปทานเป็นผู้รับผิดชอบค่าก่อสร้างสถานีดังกล่าว
13. เรื่อง ความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2563
คณะรัฐมนตรีรับทราบความก้าวหน้าของยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ณ เดือนกันยายน 2563 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
1. ผลการดำเนินงานที่ผ่านมา 1.1 ความก้าวหน้ายุทธศาสตร์ชาติและการขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ |
จัดประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2563 เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2563 โดยที่ประชุมได้เห็นชอบเรื่องสำคัญ เช่น (1) การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ ตามมาตรา 10 ของพระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2560 (คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563) (2) โครงการสำคัญประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 (คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563) และ (3) การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ทั้ง 6 คณะ จัดการรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย เช่น ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง และภาคสื่อ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมแผนแม่บทเฉพาะกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอันเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 พ.ศ. 2564-2565 ให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงหรือความจำเป็นของประเทศ โดย สศช. จะประมวลความคิดเห็นทั้งหมดเสนอคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายน 2563 พิจารณาแผนระดับที่สามตามนัยของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 โดยข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีหน่วยงานส่งแผนระดับที่สามมายัง สศช. รวมทั้งสิ้น 101 แผน 41 หน่วยงานจำแนกเป็น (1) ผ่านกระบวนการพิจารณาและรายงานให้คณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว จำนวน 60 แผน (2) อยู่ระหว่างพิจารณากลั่นกรองหรือเห็นสมควรทบทวนปรับปรุงแผนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นก่อนนำเสนอตามขั้นตอนต่อไป จำนวน 30 แผน และ (3) ผ่านกระบวนการพิจารณา ณ รอบเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2563 จำนวน 11 แผน |
1.2 ความก้าวหน้าแผนการปฏิรูปประเทศ |
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะได้ส่งร่างแผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) มายัง สศช. แล้ว เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563 โดยได้ปรับปรุงร่างแผนฯ ตามผลการรับฟังความคิดเห็นผ่านช่องทางต่าง ๆ และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ รวมทั้งระบุกิจกรรมปฏิรูปที่ส่งผลต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ทั้งนี้ สศช. จะเสนอร่างแผนฯ ให้ที่ประชุมร่วมประธานกรรมการปฏิรูปประเทศทุกคณะพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 และนำเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและคณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 ก่อนรายงานให้รัฐสภาทราบตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป |
1.3 ผลการดำเนินการอื่น ๆ |
รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศตามมาตรา 270 ของรัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เดือนมกราคม-มีนาคม 2563) ต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2563 และต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และ 8 กันยายน 2563 โดยมีประเด็นภาพรวมของการอภิปรายที่สำคัญ เช่น (1) การปรับปรุงรายงานความคืบหน้าฯ ให้สะท้อนความก้าวหน้าของการปฏิรูปประเทศที่เป็นรูปธรรม (2) การนำประเด็นการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไปปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศ และ (3) ข้อเสนอแนะต่อการขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ เผยแพร่วีดิทัศน์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วม ของภาคีต่าง ๆ ต่อการขับคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศ ได้แก่ วีดิทัศน์ชุด “เราเท่ากัน” สร้างพลังสร้างสรรค์สังคมแห่งโอกาสโดยนำเสนอภาพลักษณ์ของคนพิการในเชิงบวกเพื่อปรับมุมมองของคนพิการและของสังดม ซึ่งจะทำให้คนพิการได้ตระหนักถึงคุณค่าของตนเองและพัฒนาศักยภาพให้พร้อมเพื่อเป็นแรงในการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ |
2. ประเด็นที่ควรเร่งรัดเพื่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ |
ประเด็นท้าทายที่มีความเสี่ยงสูงในการบรรลุเป้าหมาย คือ รายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ความงาม และแพทย์แผนไทยเพิ่มขึ้นโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการเตรียมการดำเนินกิจกรรมและโครงการที่สอดคล้องกับร่างแผนแม่บทเฉพาะกิจฯ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันทีภายหลังจากที่แผนดังกล่าวประกาศใช้ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของประเทศให้สามารถ “ล้มแล้วลุกไว” เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพต่อไป |
14. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์ของคณะกรรมาธิการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
เรื่องเดิม
1. สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) ได้เสนอรายงานการพิจารณาศึกษาเรื่อง ผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจไทยจากโรคติดต่อเชื้อโคโรนาไวรัส COVID-19 และข้อเสนอแนะเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนภาคเกษตรภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติตามสถานการณ์ ของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ มาเพื่อดำเนินการ โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินงานระยะเฉพาะหน้าเร่งด่วน 2) แนวทางการปฏิบัติที่จะต้องดำเนินการระยะต่อไปอย่างต่อเนื่อง และ 3) แนวทางการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร
2. รองนายกรัฐนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ กษ. เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงแรงงาน (รง.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ข้อเท็จจริง
กษ. เสนอว่า ได้ร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยพิจารณาข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ตามข้อ 1 แล้ว สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
1.1 การสร้างความตระหนักเรื่อง “ทำการเกษตรอย่างไรให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ในฤดูกาลใหม่” เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันของสินค้าเกษตร โดยจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ และเผยแพร่ข่าวสารผ่านทางออนไลน์ ผ่านคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติของเกษตรกรและแรงงานในภาคการเกษตรให้ปลอดจากโควิด-19 ด้วยรูปแบบที่สามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ง่าย และจัดทำมาตรการรองรับงานบริการตรวจสอบรับรองงานขึ้นทะเบียน ต่ออายุใบอนุญาต ออกใบรับรอง ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงานหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่และประชาชนที่มาขอรับบริการ
1.2 การดูแลค่าเช่าที่ดินทำการเกษตรให้เป็นธรรมและช่วยเจรจาผ่อนผันการจัดเก็บค่าเช่าชื้อที่ดินตามความจำเป็นของเกษตรกร มท. (โดยกรมการปกครอง) ได้ดำเนินการตามมาตรการควบคุมค่าเช่านา ฤดูการผลิตปี 2562/63 โดยสำรวจ ผู้เช่า/ผู้ให้เช่า การควบคุมค่าเช่านาให้เกิดความเป็นธรรม และมีการเจรจาขอลดค่าเช่านารวมพื้นที่ 186,383 ไร่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของเกษตรกรให้สามารถนำเงินไปลงทุนดูแลปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมกับการเกษตร
1.3 สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการผลิตในฤดูกาลใหม่อย่างเพียงพอและคิดดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรน ทั้งอำนวยสินเชื่อแก่เกษตรกรโดยตรงและผ่านสถาบันเกษตรกร ซึ่ง กษ. ได้ประกาศมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้กู้ยืม (ลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจน) ในช่วง 1 พ.ค. - 31 ต.ค. 63 เพื่อช่วยเหลือด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้พักชำระหนี้ ผ่อนผันการชำระหนี้ ส่วน กค. สนับสนุนสินเชื่อเพื่อการผลิตในฤดูกาลใหม่ตามโครงการสินเชื่อ SME เกษตร เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเกษตรที่ดีให้มีความเข้มแข็งและเป็นตลาดรองรับผลผลิตทางการเกษตร
1.4 ส่งเสริมให้เกษตรกรขายผลผลิตและผลิตภัณฑ์การเกษตรตรงถึงผู้บริโภคผ่านทางออนไลน์หรือทางโทรศัพท์ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจัดรณรงค์ “เที่ยวเมืองไทย กินของไทย” เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และเน้นกระจายผลผลิตในท้องถิ่นอย่างครบวงจรเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์และแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น การสั่งจองสินค้าประมงล่วงหน้าผ่านเว็บไซต์ Fisheries Shop LAZADA SHOPEE รวมทั้งพัฒนาระบบข้อมูลตลาดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งสนับสนุนให้ธุรกิจห้างสรรพสินค้าและร้านค้าที่นำสมัย รวมทั้ง หน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ โรงพยาบาล หน่วยทหาร หน่วยงานในสังกัดกรมราชทัณฑ์ รับซื้อผลผลิตจากชุมชนของเกษตรกรโดยตรง จัดโครงการ “ร่วมค้าประชารัฐชุมชน” ปี 2563 เพื่อเปิดพื้นที่ให้เกษตรกรมาจำหน่าย โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
1.5 พัฒนาความรู้และสร้างแรงจูงใจแรงงานคืนถิ่นในการประกอบอาชีพการเกษตร ทั้งแรงานในประเทศและผู้ที่กลับจากต่างประเทศ โดยจัดตั้ง “ศูนย์บ่มเพาะ” เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถการทำเกษตรอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เสริมสร้างทักษะเป็นผู้ประกอบการ สนับสนุนเงินทุน โดยมีศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร “ศพก.” เป็นพี่เลี้ยงดำเนินกิจกรรมอบรมและสาธิตการเกษตรไทยด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.)
2. แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินงานระยะต่อไปอย่างต่อเนื่อง
2.1 จัดทำ “ฐานข้อมูลทางด้านการเกษตร” สนับสนุนการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อนำไปสู่การใช้ประโยชน์ของรัฐในการกำหนดและบริหารนโยบายเศรษฐกิจการเกษตร พัฒนาระบบฐานข้อมูลการเกษตร (Big Data) โดยการจัดตั้งศูนย์ Big Data ด้านการเกษตร National Agricultural Big Data Center (NABC) ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรภายใต้ความร่วมมือการพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง 10 กระทรวง
2.2 สนับสนุนแรงงานคืนถิ่นโดยขึ้นทะเบียนและจำแนกแจกแจงข้อมูลแรงงานคืนถิ่นเพื่อการบริหารจัดการ กำหนดแผนงานและโครงการเพื่อรองรับแรงงานคืนถิ่นให้มีรายได้ กษ. ได้จัดอบรมเพิ่มทักษะในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและพัฒนาด้านการตลาดออนไลน์สนับสนุนให้เข้าถึงแหล่งทุนเพื่อจูงใจให้ไม่ละทิ้งถิ่นฐานหลังภาวะวิกฤต จัดทำโครงการ “แรงานคืนถิ่น พลิกฟื้นผืนดินด้วยหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” และการทำเกษตรกรรมยั่งยืนมาขยายผลโดยดำเนินการในพื้นที่ 76 จังหวัด ส่วน รง. ได้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและสกัดกั้นการนำเชื้อเข้าสู่ประเทศไทย (ด้านการต่างประเทศ) โดยมอบหมายให้สำนักงานแรงงานในต่างประเทศสร้างการรับรู้ อำนวยความสะดวก สำรวจและจัดทำฐานข้อมูลของแรงงานไทยในต่างประเทศ
2.3 สนับสนุนการฟื้นฟูภาคเกษตรสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยรณรงค์ “ปลูกผักอยู่บ้าน สร้างแหล่งอาหาร สร้างงาน ต้านภัยโควิด-19” ดำเนินการขับเคลื่อนเกษตรกรรมยั่งยืน 5 รูปแบบ (เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรกรรมชาติและวนเกษตร) และสนับสนุนเงินอุดหนุนให้กับสหกรณ์ จำนวน 1,162 แห่ง เพื่อชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้เงินกู้เพื่อการเกษตรได้รับการลดภาระดอกเบี้ยและลดต้นทุนในการประกอบอาชีพการเกษตร
2.4 ปรับภารกิจงานของหน่วยงานด้านการพัฒนาด้านการเกษตรและความมั่นคงด้านอาหาร และให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ตลอดห่วงโซ่โดยเน้นบูรณาการการปฏิบัติงานรวมกับภาครัฐและเอกชน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เละเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ผ่าน www.ortorkor.com และ อ.ต.ก. delivery
2.5 เปลี่ยนถ่ายการบริหารจัดการองค์กรการเกษตรสู่ยุคดิจิทัลยกระดับการส่งเสริมและช่วยหลือเกษตรกรแบบครบวงจร โดยบริการแบบทางไกลด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศ (Tele-consultantation หรือ Tele-agricuture) รวมทั้งการบริหารจัดการปัจจัยการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตร และการจำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ โดยคัดเลือกชุมชนกลุ่มเป้าหมายที่มีผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรที่มีศักยภาพ “Digital Village by DBD” เพื่อผลักดันสินค้าชุมชนเข้าสู่ช่องทางการค้าออนไลน์
2.6 จัดทำโครงสร้างระบบการสำรวจ ติดตาม เฝ้าระวังศัตรูพืชและศัตรูสัตว์ ทั้งที่มีอยู่เดิมในประเทศและอุบัติใหม่จากต่างประทศให้สามารถพยากรณ์และแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อลดความสูญเสียผลผลิต ลดปัญหาการใช้สารเคมีเกินความจำเป็นและลดค่าใช้จ่ายภาครัฐในการควบคุมการระบาดของศัตรูได้ โดยมีอาสาสมัครเกษตรประจำหมู่บ้าน (อกม.) เป็นผู้มีหน้าที่ในการสำรวจติดตาม เฝ้าระวังและแจ้งข้อมูลในระดับชุมชน รวมทั้ง เพิ่มศักยภาพระบบงานวิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร โดยส่งเสริมการวิจัยเพื่อพัฒนางานส่งเสริมการเกษตร/ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานวิชาการ (ขยายผลงานวิจัยภายนอกสู่ภาคเกษตร) ส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่
2.7 จัดตั้ง “กองทุนเพื่อการร่วมทุนภาคชนบท” โดย กค. มีแผนงานร่วมลงทุนกับผู้ประกอบการภาคเกษตรไทย (Venture Capital: VC) โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการ SME เกษตร เพื่อดำเนินการสนับสนุนด้านการเงินในลักษณะ Equity Financing แก่ผู้ประกอบการ SME เกษตร และเพื่อพัฒนา ส่งเสริมศักยภาพ ยกระดับ SME เกษตรให้เติบโตอย่างมั่นคง รวมทั้งได้เร่งรัดขยายผลระบบประกันภัยพืชผล (Crop Insurance System) และจัดให้มีระบบตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (Socal Safety Net) ที่เหมาะสมสำหรับภาคการเกษตร โดยจัดทำโครงการอบรมความรู้ประกันภัย (Training for the Trainers) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
2.8 เร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานเพื่อการเกษตร ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยเพิ่มพื้นที่ชลประทานตั้งแต่ต้นจนถึงปี พ.ศ. 2562 มีการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 25 โครงการ ขนาดกลาง 850 โครงการ และขนาดเล็ก 19,638 โครงการ รวมทั้งขุดสระน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน 13,153 บ่อ
3. แนวทางการปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตร
3.1 แผนการปฏิรูปประเทศ (พ.ศ. 2561-2565)
3.1.1 ประเด็นปฏิรูปที่ 2.2 การสร้างและใช้ Big Data ภาคเกษตร มีนโยบายจัดทำ Big Data มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรกลาง (Famer ONE) และในปี 2562 ได้พัฒนาต่อยอดสู่โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติ ซึ่งได้มีการบูรณาการความร่วมมือจัดทำข้อมูลภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) การพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการเกษตรแห่งชาติร่วม 10 กระทรวง
3.1.2 ประเด็นปฏิรูปที่ 2.3 การพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานเพื่อการเกษตร มีการวางแผนจัดสรรน้ำช่วงฤดูแล้งปี 2562/2563 สนับสนุนพื้นที่เพาะปลูกพืชในช่วงฤดูแล้งได้ 6,845,842 ไร่
3.1.3 ประเด็นปฏิรูปที่ 2.4 ส่งเสริม Smart farmer และ Precision farming ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) เพื่อให้เกษตรกรทุกคนได้รับการพัฒนาเป็นเกษตรกรที่มีความพร้อมรับกับสถานการณ์ด้านการเกษตรที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการส่งสริม Smart Farmer และ Precision Farming และให้ความสำคัญกับการสนับสนุนเทคโนโลยีของภาคเอกชนต่อเกษตรกร โดยทำงานร่วมกับภาครัฐ
3.1.4 ประเด็นปฏิรูปที่ 2.5 การพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลและระบบเกษตรพันธสัญญา ได้ดำเนิการจัดทำกฎหมายลำดับรองแล้วเสร็จพร้อมทั้งประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้ว จัดทำทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจในระบบเกษตรพันธสัญญา โดยปัจจุบันได้รับแจ้งการประกอบธุรกิจแล้ว จำนวน 245 ราย
3.1.5 ประเด็นปฏิรูปที่ 2.6 การจัดตั้ง Centre of Excellence สำหรับภาคเกษตรโดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center: AIC) เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม รวมทั้ง เครื่องจักรกลเกษตร เป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร และสนับสนุน Smart Farmer รวมถึง Young Smart Farmer ในแต่ละจังหวัด
3.2 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) โดยพัฒนาการเกษตรให้ครอบคลุมทั้งในเรื่องระบบการผลิต การตลาด องค์กรการเกษตร จัดทำมาตรการพลิกโฉมการเกษตรไทยก้าวสู่แนวเศรษฐกิจใหม่ ยกระดับคุณค่าและมูลค่าสินค้าด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของการผลิตในท้องถิ่น รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาการเกษตรในแต่ละรูปแบบของเกษตรกร
3.3 กรอบมาตรการ/แผนงาน/โครงการที่สำคัญ โดยปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรโดยเฉพาะเรื่องแหล่งน้ำในระดับท้องถิ่นด้วยการจัดทำแผนบริหารจัดการแหล่งน้ำต้นทุนในระดับท้องถิ่นหรือระดับไร่นา ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และจัดตั้ง “กองทุนเพื่อการร่วมทุนภาคชนบท”เพื่อพัฒนาความเป็นผู้ประกอบการเกษตรอุตสาหกรรมอัจฉริยะและพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต ขยายผลโครงการประกันภัยพืชผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรทุกชนิดโดยพิจารณาออกกฎหมายเพื่อรองรับระบบการประกันภัยพืชผลเป็นการเฉพาะ สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงแหล่งตลาด รวมถึงมีแผนที่จะดำเนินการจัดตั้งตลาดกลางเพื่อกระจายสินค้าตามภูมิภาค ใน 2564 ยกระดับการจัดการโลจิสติกส์สินค้าเกษตรของสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรด้วยการกระจายสินค้าเกษตรคุณภาพจากแหล่งผลิตสู่ผู้บริโภค รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาให้มีการผลิต/แปรรูปสินค้าที่มีคุณภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน (Farm Outlet) จำนวน 70 แห่ง ใน 41 จังหวัด
15. เรื่อง ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณสำหรับรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้หน่วยรับงบประมาณ ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พศ. 2564 จำนวน 1,323 รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น 223,240.2 ล้านบาท สำหรับรายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 32 รายการ วงเงิน 55,160.9 ล้านบาท เมื่อทราบผลประกวดราคาแล้ว เห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณเสนอนายกรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่งก่อนดำเนินการต่อไป
2. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่จะต้องจ่ายในรูปของเงินตราต่างประเทศ เช่น รายการค่าเช่าบ้าน ค่าเช่าอาคารสำนักงาน และค่าเช่าทรัพย์สินในต่างประเทศ ฯลฯ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาอนุมัติวงเงินผูกพันที่เปลี่ยนแปลงไปจากที่ได้รับอนุมัติเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยน ในกรณีที่หน่วยรับงบประมาณสามารถปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบอีกครั้ง
3. เพื่อเป็นการเร่งรัดให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายหรือก่อหนี้ผูกพันสำหรับรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีที่เป็นรายจ่ายลงทุนรายการใหม่ ให้หน่วยรับงบประมาณจัดส่งรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะแบบรูปรายการสิ่งก่อสร้าง ราคากลาง และรายละเอียดประกอบที่เกี่ยวข้องให้สำนักงบประมาณพิจารณาความหมาะสมของราคาควบคู่ไปกับการดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และเมื่อได้ผลจัดซื้อจัดจ้างแล้ว หากไม่เกินวงเงินที่สำนักงบประมาณให้ความเห็นชอบ ให้แจ้งสำนักงบประมาณทราบและดำเนินการทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันต่อไปได้ รวมทั้งจัดทำรายงานสถานภาพการดำเนินงานรายจ่ายลงทุนรายการผูกพันใหม่ เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 1 ต่อสำนักงบประมาณด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงบประมาณเสนอว่า ตามที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 41 บัญญัติว่า รายการงบประมาณรายจ่ายตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ให้ผู้อำนวยการรวบรวมรายการงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องก่อหนี้ผูกพันและวงเงินที่คาดว่าจะต้องก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายในปีต่อ ๆ ไป รวมทั้งจำนวนเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายมีผลใช้บังคับ และเมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้ว ให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามระเบียบที่ผู้อำนวยการกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี นั้น
สำนักงบประมาณได้ดำเนินการตามนัยดังกล่าวแล้ว มีรายละเอียด ดังนี้
1. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สำนักงบประมาณได้พิจารณาความสอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยมีรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการใหม่ จำนวน 1,323 รายการ เป็นวงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น 223,240.2 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินงบประมาณ จำนวน 208,773.4 ล้านบาท เงินนอกงบประมาณ จำนวน 4,180.1 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน 10,286.7 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณรายจ่ายที่จัดสรรให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 42,238.4 ล้านบาท และเป็นภาระงบประมาณในปีงบประมาณ พศ. 2565 ถึงปีสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ จำนวน 166,535.0 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ซึ่งอาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (4) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ในข้อ (4) สัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายข้ามปีงบประมาณ ต้องไม่เกินร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยวงเงินภาระผูกพันงบประมาณทั้งสิ้น (เงินงบประมาณ และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด ไม่รวมเงินนอกงบประมาณ) จำนวน 219,060.1 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.67 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 3,285,962.5 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในสัดส่วนตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด (ไม่เกินร้อยละสิบ)
รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 วงเงินรวม 223,240.2 ล้านบาท ประกอบด้วย รายจ่ายประจำ เป็นวงเงินภาระผูกพันรวม 7219.1 ล้านบาท และรายจ่ายลงทุน เป็นวงเงินภาระผูกพันรวม 216,021.1 ล้านบาท และสามารถจำแนกตามวงเงินก่อหนี้ผูกพันได้ 3 ระดับ รายละเอียดปรากฏตามตาราง ดังนี้
ตารางแสดงการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ จำแนกตามวงเงิน
หน่วย : ล้านบาท
รายการ |
จำนวนรายการ |
งบประมาณ ปี 2564 |
วงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น |
1. รายการที่มีวงเงินรวมต่ำกว่า 500 ล้านบาท 2. รายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท 3. รายการที่มีวงเงินรวมตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป |
1,194 97
32 |
18,073.1 14,007.5
10,157.8 |
94,540.8 73,538.5
55,160.9 |
รวมทั้งสิ้น |
1,323 |
42,238.4 |
223,240.2 |
2. ภาระผูกพันงบประมาณรายการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้น 978,413.5 ล้านบาท จำแนกเป็นเงินงบประมาณ จำนวน 935,028.8 ล้านบาท เงินนอกงบประมาณ จำนวน 27,849.5 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน 15,535.2 ล้านบาท
3. รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการใหม่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามข้อ 1 และภาระผูกพันงบประมาณรายการเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้แล้วก่อนปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตามข้อ 2 มีวงเงินภาระผูกพัน รวมทั้งสิ้น 1,201,653.7 ล้านบาทจำแนกเป็นเงินงบประมาณ จำนวน 1,143,802.2 ล้านบาท เงินนอกงบประมาณ จำนวน 32,029.6 ล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด จำนวน 25,821.9 ล้านบาท รายละเอียดปรากฏตามตาราง ดังนี้
ตารางแสดงภาระผูกพันงบประมาณข้ามปี
รายการ (1) |
งบประมาณตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึง ปี 2563 (2) |
งบประมาณ ปี 2564 (3) |
ภาระผูกพัน ในปีงบประมาณ |
รวมภาระงบประมาณ ปี 2565 จนถึงที่สุด (7)=(4)+(5)+ (6) |
เงินนอกงบประมาณ (8) |
เงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด (9) |
วงเงินภาระผูกพันรวมทั้งสิ้น (10)=(2)+(3)+(7)+(8)+(9) |
||
2565 (4) |
2566 (5) |
2567 และในปีต่อ ๆ ไป (6) |
|||||||
1. รายการที่อนุมัติให้ผูกพันไว้แล้วก่อนปี 2564 |
338,669.3 |
186,930.4 |
229,052.2 |
62,420.3 |
67,956.6 |
359,429.1 |
27,849.5 |
15,535.2 |
978,413.5 |
1.1 ภาระผูกพันก่อนปี 2563 |
331,641.2 |
127,428.1 |
115,643.0 |
22,816.4 |
50,424.8 |
188,884.2 |
17,514.4 |
6,969.6 |
672,437.5 |
1.2 ภาระผูกพัน ปี 2563 |
57,028.1 |
59,502.3 |
113,409.2 |
39,603.9 |
17,531.8 |
170,544.9 |
10,335.1 |
8,565.6 |
305,976.0 |
2. รายการที่เสนอขอผูกพันใหม่ ปี 2564 |
- |
42,238.4 |
93,936.1 |
66,348.0 |
6,250.9 |
166,535.0 |
4,180.1 |
10,286.7 |
223,240.2 |
รวม |
388,669.3 |
229,168.8 |
322,988.3 |
128,768.3 |
74,207.5 |
525,964.1 |
32,029.6 |
25,821.9 |
1,201,653.7 |
16. เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งคำสั่งข้อกำหนด และประกาศที่เกี่ยวข้อง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษากับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา เรื่อง ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งคำสั่ง ข้อกำหนด และประกาศที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 เนื่องจากเป็นกรณีจำเป็นเพื่อการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศ หรือมีกรณีฉุกเฉิน และได้มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 ดังนี้
1. เห็นชอบประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563
2. รับทราบ
2.1 คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 36/2563 เรื่อง แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงานหัวหน้าผู้รับผิดชอบ และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563
2.2 ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563
2.3 ประกาศตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ลงวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2563
รวม 4 ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
3. เห็นชอบให้นายกรัฐมนตรีกำหนดให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงตามข้อ 1 มีระยะเวลาการใช้บังคับเป็นเวลา 30 วัน และให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติดำเนินการต่อไป
รวม 3 ข้อ นั้น
โดยที่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 8 วรรคสอง บัญญัติให้เมื่อมีการประชุมเป็นกรณีปกติให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
17. เรื่อง รายงานการเงินโอนงบประมาณรายจ่าย ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินโอนงบประมาณรายจ่าย ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
ตามที่พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 51 กำหนดให้ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณรายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายงบกลางระหว่างรายการที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายงบกลาง หรือการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการและงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อรายงานต่อรัฐสภาภายในสามสิบวันนับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ นั้น
สำนักงบประมาณได้ดำเนินการจัดทำรายงานการโอนงบประมาณรายจ่ายตามนัยมาตรา 51 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 - 30 กันยายน 2563 ดังนี้
1. การโอนงบประมาณรายจ่ายงบกลางระหว่างรายการ มีการโอนงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการสมทบงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการอื่น ๆ จำนวน 3 รายการ ดังนี้
1.1 สมทบงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายชดใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน วงเงิน 7,500 ล้านบาท
1.2 สมทบงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ วงเงิน 21,850 ล้านบาท
1.3 สมทบงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานของรัฐ วงเงิน 5,650 ล้านบาท
2. การโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการระหว่างหน่วยรับงบประมาณ
- ไม่มีการโอนงบประมาณ -
3. การโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ มีการโอนงบประมาณทั้งสิ้น จำนวน 21 กระทรวง 171 หน่วยงาน ดังนี้
3.1 รายการโอนออก จำนวน 18 กระทรวง 85 หน่วยงาน วงเงินทั้งสิ้น 4,511.1254 ล้านบาท จำแนกเป็น การโอนภายในกระทรวง จำนวน 16 กระทรวง 73 หน่วยงานวงเงิน 757.2674 ล้านบาท และการโอนต่างกระทรวง จำนวน 12 กระทรวง 24 หน่วยงาน วงเงิน 3,753.8580 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักของการโอนออกงบประมาณรายจ่ายบุคลากร จำแนกได้ ดังนี้
1) การโอนย้าย ตาย ลาออก ของอัตรากำลังระหว่างปีงบประมาณ
2) การบรรจุอัตราใหม่ระหว่างปีงบประมาณล่าช้าไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้
3) การสิ้นสุดตามวาระของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ และอยู่ระหว่างการสรรหา จึงเป็นผลทำให้ค่าตอบแทนที่ตั้งงบประมาณรองรับไว้หมดความจำเป็น
4) ค่าตอบแทนตามสิทธิคงเหลือเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคมของนายจ้างตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19)
3.2 รายการรับโอน จำนวน 19 กระทรวง 82 หน่วยงาน วงเงินทั้งสิ้น 4,457.9059 ล้านบาท จำแนกเป็น การโอนภายในกระทรวง จำนวน 16 กระทรวง 58 หน่วยงานวงเงิน 756.6665 ล้านบาท และการโอนต่างกระทรวง จำนวน 9 กระทรวง 30 หน่วยงาน วงเงิน 3,701.2394 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักของการรับโอนงบประมาณรายจ่ายบุคลากรจำแนกได้ ดังนี้
1) การบรรจุอัตราว่าง/อัตราใหม่ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มระหว่างปีงบประมาณ
2) เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของคณะกรรมการที่เกิดจากกฎหมาย/ประกาศที่เกี่ยวข้อง
3) ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเงินเดือนเต็มขั้นเพิ่มขึ้น เงินค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติราชการในต่างประเทศ เป็นต้น
4) การปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2561 และการจ่ายเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561
5) การรับโอนอัตรากำลังระหว่างปีงบประมาณของหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายการจัดตั้งหน่วยงานใหม่
ต่างประเทศ
18. เรื่อง การรับรองเอกสารผลการประชุมทางไกลรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 9 และการประชุมที่เกี่ยวข้องกับประเทศคู่เจรจา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ครั้งที่ 9 (Draft Joint Media Statement of the 9th AMCA) และเอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน (The Narrative of ASEAN Identity)
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมฯ รับรองร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 9 และเอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน
3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 24 ร่วมรับรองเอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน (The Narrative of ASEAN Identity) ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 24 (24th Meeting of the ASEAN Socio-Cultural Community (ASCC) Council) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563
4. หากมีการปรับเปลี่ยนถ้อยคำของเอกสารทั้งสองฉบับข้างต้นที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสาระสำคัญหรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ก่อนจะมีการรับรองหรือเห็นชอบเอกสารดังกล่าวให้กระทรวงวัฒนธรรมสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
สาระสำคัญของเรื่อง
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมจะปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุม AMCA ครั้งที่ 9 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ซึ่งจะมีวาระการพิจารณาและรับรองเอกสารผลการประชุมจำนวน 2 ฉบับ ได้แก่
1.1 ร่างแถลงข่าวร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ ครั้งที่ 9 (Draft Joint Media Statement of the 9th AMCA) (สถานะล่าสุด) มีสาระสำคัญในการแถลงผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 9 โดยเน้นย้ำการแสวงหาแนวทางในการดำเนินกิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมและศิลปะทั้งในช่วงระหว่างการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และการดำเนินการตามแถลงการณ์และแผนงานต่าง ๆ รวมถึงการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและศิลปะระหว่างอาเซียนและประเทศคู่เจรจา (จีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี) การประกาศให้จังหวัด เสียมราฐ เป็นเมืองวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN City of Culture) ระหว่างปี 2563 - 2565 โดยมุ่งหวังในการสนับสนุนวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ และความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรม รวมทั้งการผลักดันเอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียนให้เป็นที่รับรู้อย่างแพร่หลาย รวมทั้งคาดหวังว่าเอกสารดังกล่าว จะได้รับการรับรองในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 ตามลำดับต่อไป
1.2 เอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน (The Narrative of ASEAN Identity) มีสาระสำคัญในการให้คำจำกัดความของ “อัตลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity)” อันปรากฏตามเอกสารผลลัพธ์และกิจกรรมโครงการต่าง ๆ ของอาเซียน โดยเน้นย้ำถึงความร่วมมือบนพื้นฐานของค่านิยมและเป้าหมายร่วมของประเทศสมาชิกอาเซียน โดยอัตลักษณ์อาเซียนจะทำให้ความเป็นสังคมอาเซียน (ASEAN Society) พัฒนาไปสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ซึ่งร่างเอกสารฯ ได้กำหนดว่า อัตลักษณ์อาเซียนประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่ (1) ค่านิยมที่สืบทอดกันมา (inherited values) อาทิ ความเป็นเอกภาพ ความเป็นเครือญาติ ความเชื่อในลัทธิภูติผี ความอดทนอดกลั้น ระบบการจัดองค์กร เอกภาพบนความหลากหลาย (2) ค่านิยมที่สร้างขึ้น (constructed values) อาทิ เพลงประจำอาเซียน กฎบัตรอาเซียน วิสัยทัศน์อาเซียน 2020 แผนการดำเนินงานปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรม หรือ Bangkok Declaration (ค.ศ. 1967)
หลังจากที่ประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กำกับดูแลงานด้านวัฒนธรรมและศิลปะ (AMCA) ครั้งที่ 9 รับรองเอกสารทั้ง 2 ฉบับเรียบร้อยแล้ว จะมีการเสนอเอกสารว่าด้วยอัตลักษณ์อาเซียน (The Narrative of ASEAN Identity) ดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนให้การรับรอง ซึ่งกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2563 จากนั้นจึงนำเสนอให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 37 รับรองตามลำดับต่อไป
2. โดยที่เอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าว เป็นเอกสารผลการประชุม AMCA ครั้งที่ 9 ซึ่งไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดผลผูกพันภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560
19. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการต่อไปโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีก รวมทั้งอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเข้าร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินงานเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค และความมุ่งมั่นในการดำเนินมาตรการที่เป็นประโยชน์และมีประสิทธิผลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยไม่มีการลงนามในร่างแถลงการณ์ฯ ดังกล่าว และไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย (non-legal binding) ทั้งนี้ เอเปคเป็นเวทีการประชุมที่เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสมาชิก ซึ่งสมาชิกสามารถพิจารณาให้ความร่วมมือตามสมัครใจ อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ หากสมาชิกได้ตกลงร่วมกันในเรื่องสำคัญ ๆ เอเปคก็มีกลไกในการติดตามผล และที่ผ่านมาไทยได้ให้การสนับสนุนและดำเนินความร่วมมือในกรอบเอเปคมาโดยตลอด
2. สาระสำคัญของแถลงการณ์ ประกอบด้วย (1) แสดงความเสียใจต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความมั่นคงทางอาหาร และการเกษตร รวมถึงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมทั่วโลก (2) เน้นย้ำความสำคัญของการทำงานร่วมกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ ตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (3) ระลึกถึงแถลงการณ์ของรัฐมนตรีการค้าเอเปค ที่ยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการอำนวยความสะดวกในการไหลเวียนของสินค้าและบริการที่มีความจำเป็น รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตรข้ามพรมแดน (4) การดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการค้าจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานอาหาร (5) เรียกร้องให้สมาชิกเขตเศรษฐกิจต่าง ๆ ดำเนินมาตรการและโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จำเป็นในระดับประเทศ โดยคำนึงถึงการสร้างความยืดหยุ่นของระบบอาหาร เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเปราะบางภายในเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปค (6) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างสมาชิกเอเปค เพื่อให้แน่ใจว่ามีอาหารเพียงพอ ปลอดภัย ราคาไม่แพง และมีคุณค่าทางโภชนาการ และประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างทันท่วงที รวมทั้งสอดคล้องกับข้อกำหนดภายในประเทศ (7) รับทราบบทบาทที่สำคัญของภาคเอกชนในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ (8) รับทราบถึงข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษธุรกิจเอเปค สำหรับแนวทางการผลิตอาหารทั้งระบบ โครงสร้างพื้นฐาน ช่องทางการจัดจำหน่าย การค้า และกฎระเบียบ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการผลิตและอุปทานที่มั่นคง และการค้าอาหารดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง (9) ความสำคัญของเทคโนโลยีดิจิทัลในการเสริมสร้างความมั่นคงอาหาร โดยจับคู่ผู้ผลิตโดยตรงกับผู้บริโภคมากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และช่องทางการจัดจำหน่าย และลดการสูญเสียอาหารและของเสีย (10) ยินดีกับผลของการทบทวนแผนงานความมั่นคงด้านอาหารปี 2020 ที่ดำเนินการโดยมาเลเซีย (11) ชื่นชมหน่วยสนับสนุนนโยบายเอเปคสำหรับการพัฒนาบทสรุปของนโยบาย/มาตรการด้านความมั่นคงอาหารของสมาชิกเอเปคเพื่อรับมือต่อโรคโควิด 19 (12) ยินดีกับผลสำเร็จของการประชุมคณะทำงานต่าง ๆ รวมถึงคณะทำงานความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตร (ATCWG) การหารือระดับสูงด้านเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร (HLPDAB) หุ้นส่วนเชิงนโยบายด้านความมั่นคงด้านอาหาร (PPFS) และคณะทำงานด้านมหาสมุทรและการประมง (OFWG) รวมถึงการประชุมเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงด้านอาหารอย่างต่อเนื่อง (13) ขอบคุณรัฐบาลมาเลเซียสำหรับการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคผ่านระบบการประชุมทางไกล
20. เรื่อง ขออนุมัติท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 และการปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบท่าทีไทย (ตามข้อ 1) เพื่อใช้เป็นกรอบในการหารือสำหรับการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 โดยหากในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ดังกล่าว มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากข้อ 1 อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่าย โดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ พร้อมทั้งเห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย (ตามข้อ 2) ทั้งนี้หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ข้างต้นในส่วนมิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1. ท่าทีไทยที่จะหยิบยกในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-สหพันธรัฐรัสเซีย ครั้งที่ 4 กระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมเตรียมการกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2563 เพื่อทราบท่าทีฝ่ายไทยที่ประสงค์จะผลักดันในการประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ครั้งที่ 4 ซึ่งที่ประชุมเห็นควรให้ไทยมีท่าทีในประเด็น ดังนี้ (1) สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างไทยและสหพันธรัฐรัสเซีย (2) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน (3) การขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีและภูมิภาค (4) การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชน
2. การปรับปรุงแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยและกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจของสหพันธรัฐรัสเซีย
1) กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้หารือกับกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจสหพันธรัฐรัสเซียเพื่อปรับปรุงบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับ พ.ศ. 2559 ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับปรับปรุง เป็นระยะ เพื่อนำเสนอร่างบันทึกฯ ที่สองฝ่ายได้ข้อสรุปร่วมกันต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการฯ ครั้งที่ 4 ในวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ให้การรับรองต่อไป
2) ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับปรับปรุงนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นการขยายความร่วมมือในระดับพหุภาคีและภูมิภาคภายใต้กรอบต่าง ๆ และส่งเสริมกลไกการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ทั้งนี้ สาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
(1) วัตถุประสงค์ เน้นการกระชับความสัมพันธ์ และขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนทั้งในระดับพหุภาคีและภูมิภาค ซึ่งรวมถึง ASEAN และ EAEU เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
(2) ขอบเขตการดำเนินการ เน้นส่งเสริมกิจกรรมทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าในสาขาที่มีศักยภาพ การลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน การอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเศรษฐกิจ (เช่น กฎหมาย กฎและระเบียบ มาตรการที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ การประกวดและการเสนอราคาในการจัดซื้อสินค้า) การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางการค้าที่เป็นประโยชน์ระหว่างกัน การส่งเสริมการเยือนของภาคธุรกิจ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้า การสนับสนุน SME การส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ การพัฒนาสถาบันด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การเสริมสร้างโอกาสความร่วมมือด้านนวัตกรรม และปัญญาประดิษฐ์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น
(3) ผลใช้บังคับและระยะเวลาดำเนินการ จะมีผลใช้บังคับนับแต่วันที่ซึ่งฝ่ายสุดท้ายลงนาม โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจยกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ฉบับนี้ได้ด้วยการส่งหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่ออีกฝ่าย
(4) สถานะทางกฎหมาย เป็นเอกสารเพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่จะดำเนินความร่วมมือระหว่างกัน โดยระบุชัดเจนว่า เอกสารไม่มีสถานะเป็นสนธิสัญญาหรือก่อให้เกิดพันธกรณีระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ
แต่งตั้ง
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นางอัญชลี ศรีอำไพ ผู้อำนวยการกองบัญชีภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบบัญชี (นักบัญชีทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้ง นายประมณฑ์ สถาพรนานนท์ ผู้เชี่ยวชาญวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและออกแบบ) (วิศวกรโยธาเชี่ยวชาญ) กรมทางหลวง ให้ดำรงตำแหน่ง วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านสำรวจและออกแบบ) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายมนัสวี ศรีโสดาพล เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา
2. นายชัยณรงค์ กีรติยุตวงศ์ เอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
24. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน รวมจำนวน 4 ราย ดังนี้
1. แต่งตั้ง นางสาวอังคณา ใจกิจสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
2. แต่งตั้ง นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหาร) กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
3. แต่งตั้ง นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง (นักบริหาร) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
4. แต่งตั้ง นางจินตนา จันทร์บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดี (นักบริหาร) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นางสาวเอมอร เสียงใหญ่ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นางจิรภา สินธุนาวา ผู้ช่วยปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายนิยม สองแก้ว ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการคลัง)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้ง นายอารักษ์ โพธิทัต เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
28. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า จำนวน 12 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมจะดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีในวันที่ 21 ตุลาคม 2563 ดังนี้
1. พลตำรวจตรี รัฐวิทย์ แสนทวีสุข ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
2. นายจักกพงศ์ ณ บางช้าง ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
3. นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
4. นายศุทธา ปริยวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
5. นายสมศักดิ์ พณิชยกุล ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
6. นางภานุมาศ สิทธิเวคิน ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ)
7. นางสาวอรพรรณ พนัสพัฒนา ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ)
8. นายพิเศษ จียาศักดิ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
9. นายชัยปิติ ม่วงกูล ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
10. นายวัชระ เปียแก้ว ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
11. นายชัยณรงค์ โชไชย ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน)
12. นายพินัย ณ นคร ผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคราชการ)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการแต่งตั้ง นายธนวัชร นิติกาญจนา ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี