ศาลฎีกายกฟ้อง"เรืองไกร" - "ธาริต" อดีตอธดีเอสไอ คดีแจ้งความเท็จ-หมิ่นประมาท “วัชระ” คดีร้อง กกต.กล่าวหาโจทก์เเทรกเเซงคดีชายชุดดำ
วันที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่ศาลแขวงดอนเมือง ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำ อ.812/2559 ที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ว. กับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานแจ้งความเท็จ ให้พนักงานจดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ และหมิ่นประมาท
กรณีสืบเนื่องจากนายเรืองไกร อดีต ส.ว. ได้ร้องเรียนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า นายวัชระในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สมคบกับนายศุภชัย ศรีหล้า ประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร จงใจใช้สถานะหรือตำแหน่ง ส.ส. เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการทำงานของนายธาริต โดยเรียกนายธาริต มาให้การเรื่องชายชุดดำเหตุการณ์ความไม่สงบเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ที่สภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีอำนาจและเป็นการเอื้อประโยชน์ให้พรรคประชาธิปัตย์ และไม่ได้มีมติของ กมธ. อันเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 266 (1) โดยนายเรืองไกรและนายธาริต ขณะเป็นอธิบดี ดีเอสไอ ก็ได้ไปให้การยืนยันข้อความดังกล่าวต่อเจ้าพนักงาน กกต.
คดีนี้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีสำหรับนายเรืองไกร มีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานและข้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้อง
ส่วนนายธาริต จำเลยที่ 2 คดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานและหมิ่นประมาทโจทก์ 133,267 เเละ326 ให้ประทับฟ้องส่วนฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและข้อหาหมิ่นประมาทโจทก์ตามฟ้อง และจำเลยที่ 2ข้อหาร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องไม่มีมูลให้ยกฟ้อง จำเลยทั้งสอง ให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา137 (เดิม), 267(เดิม), 326เป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1ปีทางนำสืบของจำเลยที่ 1เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้1ใน3คงจำคุก 8เดือนให้จำเลยที่ 1โฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเป็นเวลา 7 ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้อง
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1ด้วยนอกจากที่แก้ไขเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสอง
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่า สำหรับความผิดของจำเลยที่1 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จฯ และหมิ่นประมาท สำหรับจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกับจำเลยที่ 1กระทำความผิด นั้นศาลชั้นต้นยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยโจทก์ไม่อุทธรณ์จึงเป็นอันยุติ
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานฯและหมิ่นประมาทนั้น ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 สำหรับความผิดดังกล่าวนี้ด้วยกรณีจึงห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2494มาตรา 22
การที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2ในความผิดดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2มีเจตนาไม่สุจริตและมุ่งใส่ร้ายโจทก์โดยยืนยันข้อเท็จจริงที่เป็นความเท็จและเป็นการใส่ความโจทก์ให้ได้รับความ เสียหายพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2มีเจตนากระทำความผิดอันเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2กระทำการโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำจึงไม่มีความผิดดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามตามกฎหมายข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยมานั้นไม่ชอบและไม่ก่อให้เกิดสิทธิฎีกาแก่โจทก์ต่อมาแม้โจทก์จะได้รับอนุญาตให้ฎีกาก็ตามศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ว่าฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาของศาลอาญาหรือไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามสำเนาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนคดีถึงที่สุด เห็นว่าแม้หนังสือที่จำเลยที่ 1 และที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำผิดในคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงและรายละเอียดอันเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ แต่ศาลชั้นต้นในคดีนี้ได้ยกฟ้องในความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานกับหมิ่นประมาทตามฟ้องไปแล้ว ส่วนความผิดตามฟ้องที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยที่ 1 มานั้นเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 อีกส่วนหนึ่งในเวลาต่อมา โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จโดยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานและคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ของ กกต.อันเป็นการแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์และเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์
การกระทำของจำเลยที่ 1ดังกล่าวแม้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกับการที่จำเลยที่ 1ทำหนังสือถึงประธานกกต.เพื่อให้คณะกรรมการ กกต.ตรวจสอบและวินิจฉัยการกระทำของโจทก์ แต่ในครั้งนั้นจำเลยที่ 1ไม่ได้ยืนยันว่าโจทก์ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น สส.และในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชนสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 2
โดยมีหนังสือหรือคำสั่งเรียกให้จำเลยที่ 2ไปให้ถ้อยคำเกี่ยวกับข้อเท็จจริงว่ามีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชนในเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553ต่อคณะกรรมาธิการดังกล่าวเพื่อช่วยเหลือโจทก์ พรรคประชาธิปปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ถูกดำเนินคดีข้อหาก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งห็นผลให้พ้นข้อหาดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจหน้าที่และไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยคณะกรรมาธิการดังกล่าวไม่ได้มีมติให้เรียกจำเลยที่ 2มาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมาธิการ แต่อย่างใดและโจทก์พูดข่มขู่จะดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 2 ที่ปฏิเสธไม่ให้ถ้อยคำและข้อเท็จจริงดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจหน้าที่และไม่ชอบด้วยกฎหมายในคดีนี้ซึ่งถือเป็นการกระทำคนละส่วนกับคดีก่อนและเป็นการกระทำต่างกรรมกันการฟ้องคดีนี้ของโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานฯ และฐานหมิ่นประมาทตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่โดยไม่ย้อนสำนวนศาลฎีกาให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อนจากทางนำสืบของคู่ความทั้งสองฝ่ายได้ความว่าสาเหตุที่จำเลยที่ 1 ทำหนังสือถึงประธานกรรมกกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบโจทก์ว่ามีการใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสส.ไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่นหรือของพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 226(1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 หรือไม่ แล้วต่อมาจำเลยที่1 เข้าให้ถ้อยคำอาศัยข้อมูลจากข่าวในเว็บไซต์และหนังสือของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งโจทก์ก็มิได้นำสืบและปฏิเสธว่า เว็บไซต์และหนังสือดังกล่าวไม่ได้ลงข่าวหรือมีข้อความดังที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้าง จึงรับฟังได้ว่าเว็บไซต์และหนังสือดังกล่าวได้ลงข้อความและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกรณีที่คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองการสื่อสารมวลชน
และการมีส่วนร่วมของประชาชนสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือเชิญอธิบดีดีเอสไอ.มาชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชายชุดดำจากกรณีเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองช่วงปี53 ซึ่งเกิดข้อขัดแย้งในที่ประชุมกรรมาธิการและการตอบโต้กันไปมาในที่ประชุมและทางสื่อสารมวลชนระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยจำเลยที่ 2 เห็นว่าโจทก์กระทำเกินอำนาจและหน้าที่ของกรรมาธิการมีลักษณะเป็นการซักฟอกพยายามไต่สวนจำเลยที่ 2เกี่ยวกับการทำหน้าที่ในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ที่จำเลยให้ถ้อยคำก็เพียง แต่อ้างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริงตามที่ปรากฏในเว็บไซต์และหนังสือข้างต้นมิได้มีการบิดเบือนแต่งเติมหรือกล่าวข้อความอันเป็นเท็จซึ่งไม่มีอยู่จริงขึ้นใส่ร้ายโจทก์อย่างใดส่วนที่จำเลยที่ระบุว่าการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเองของผู้อื่นหรือของพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของจำเลยที่ 1 โดยอาศัยข้อมูลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและมีอยู่จริงซึ่งมีการออกข่าวเผยแพร่ต่อสาธารณชนอยู่ก่อนแล้ว โดยจำเลยที่ 1 มิได้นำข้อมูลอื่นมากล่าวอ้างเพื่อให้ร้ายโจทก์
กรณีจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานและหมิ่นประมาทตามฟ้องโจทก์ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล พิพากษายืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี