สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563

สรุปมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประจำวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563

วันอังคาร ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563, 17.58 น.

วันนี้ (17 พฤศจิกายน 2563) เวลา 09.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้

กฎหมาย


1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง

                1. ให้ยกเลิก

                        1.1 กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง พ.ศ. 2558

                        1.2 กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา พ.ศ. 2561

                2. กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ทางแยกเข้าพัทยา และตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (บ้านอำเภอ) เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกำหนดค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง ตามประเภทของยานยนตร์

                คค. เสนอว่า

                1. โดยที่ได้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สรุปได้ดังนี้

                        1.1 ได้จัดเก็บค่าธรรมเนียมในระบบเปิดในอัตราเหมาจ่ายขั้นต่ำสำหรับการใช้ยานยนตร์แต่ละประเภทตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 19 (พ.ศ. 2540) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497

                        1.2 ต่อมาได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 21 (พ.ศ. 2555) ออกตามความในพระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ. 2497 (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงตามข้อ 1.1) เพิ่มทางเลือกในการชำระค่าธรรมเนียมด้วยวิธีบัตรอัตโนมัติ

                        1.3 กรมทางหลวงแจ้งว่า ได้ก่อสร้างและปรับปรุงระบบเก็บค่าธรรมเนียมบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงทพมหานคร - เมืองพัทยา แล้วเสร็จ จึงได้ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา พ.ศ. 2558 เพื่อปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) ทางแยกเข้าชลบุรี ทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังและทางแยกเข้าพัทยา จากเดิมจัดเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราเหมาจ่ายขั้นต่ำสำหรับการใช้ยานยนตร์แต่ละประเภท เป็นจัดเก็บค่าธรรมเนียมในระบบปิดโดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ผู้ใช้ยานยนตร์แต่ละรายที่มีการควบคุมช่องทางเข้าออกได้ใช้ทางจริง เพื่อให้สอดคล้องกับระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมที่เปลี่ยนแปลงดังกล่าว และให้ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับเดิม (ฉบับที่ 19 พ.ศ. 2540 และฉบับที่ 21 พ.ศ. 2555)

                        1.4 ต่อมาได้ทำการก่อสร้างด่านขาเข้าและด่านขาออกเพิ่มเติมเพื่อให้ระบบครบถ้วนสมบูรณ์ และได้ยกเลิกด่านพานทองที่เป็นด่านขวาง จึงได้ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยนยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา พ.ศ. 2561 เพื่อยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา พ.ศ. 2558 และยังคงมีผลใช้บังคับจนถึงปัจจุบัน

                2. สำหรับโครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา – มาบตาพุด คค. ได้ดำเนินการโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายพัทยา – มาบตาพุด โดยมีจุดเริ่มต้นของโครงการแยกจากทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายชลบุรี – พัทยา ที่ทางแยกมาบประชัน ผ่านพื้นที่อำเภอบางละมุง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ไปสิ้นสุดที่อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ระยะทางประมาณ 32 กิโลเมตร ค่าก่อสร้างและควบคุมงานได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้ใช้งบประมาณจากเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางวงเงิน 14,200 ล้านบาท จึงได้ออกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง พ.ศ. 2558 กำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง ตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง เป็นทางที่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพื่อให้สามารถนำเงินค่าธรรมเนียมจากบัญชีทุนหมุนเวียนค่าธรรมเนียมผ่านทางของกรมทางหลวงไปชำระค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน ทั้งนี้ การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 สายพัทยา - มาบตาพุด ได้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางในระบบปิดบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพมหานคร - ชลบุรี และช่วงชลบุรี - พัทยา (1.00 บาท ต่อ 1 กิโลเมตร สำหรับรถ 4 ล้อ 1.60 บาท ต่อ 1 กิโลเมตร สำหรับรถเกิน 6 ล้อขึ้นไป โดยคำนวณจากขาเข้ากรุงเทพมหานคร เริ่มต้นที่อู่ตะเภา – เขาชีโอน - ห้วยใหญ่ สิ้นสุดที่มาบประชัน ขาออกกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นที่มาบประชัน - ห้วยใหญ่ - เขาชีโอน สิ้นสุดที่อู่ตะเภา)

                3. เนื่องจาก คค. ได้ดำเนินการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด (ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงบ้านหนองปรือถึงบ้านฉาง และทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 บ้านอำเภอ) แล้วเสร็จ และได้เปิดให้บริการเป็นทางสาธารณะแล้ว โดยมีแผนจะจัดเก็บค่าธรรมเนียมภายในเดือนตุลาคม 2563 กรมทางหลวงได้ออกแบบให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด เชื่อมโยงเป็นโครงข่ายเดียวกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา ซึ่งเปิดให้บริการอยู่เดิม และได้กำหนดให้มาบประชันเป็นจุดเชื่อมต่อโครงการ โดยไม่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมตั้งอยู่ที่มาบประชัน เนื่องจากลักษณะทางกายภาพไม่เหมาะสมเป็นจุดเข้าออก ผู้ใช้ทางสามารถเข้าออกเพื่อใช้โครงข่ายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ได้ที่ด่านพัทยาและด่านโป่ง ซึ่งมีระยะห่างจากจุดเข้าออกมาบประชัน เพียง 2 - 3 กิโลเมตร

                ส่วนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง มีจุดเริ่มต้นที่ทางแยกต่างระดับศรีนครินทร์ ผ่านพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง รวมระยะทางประมาณ 149 กิโลเมตร เป็นทางหลวงพิเศษขนาด 2 - 4 ช่องจราจร และเป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยจัดเก็บค่าธรรมเนียมในระบบปิด มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมตั้งอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งหมดรวม 12 ด่าน ช่วงกรุงเทพฯ – ชลบุรี (ด่านลาดกระบัง บริเวณ กม. 25+400 ด่านบางบ่อ บริเวณ กม. 40+000 ด่านบางปะกง บริเวณ กม. 46+700 ด่านพนัสนิคม บริเวณ กม. 65+328) ช่วงชลบุรี - พัทยา (ด่านบ้านบึงบริเวณ กม. 72+582 ด่านบางพระ บริเวณ กม. 78+800 ด่านหนองขาม บริเวณ กม. 100+075 ด่านโป่ง บริเวณ กม. 117+075 ด่านพัทยา บริเวณ กม. 119+075) ช่วงพัทยา – มาบตาพุด (ด่านห้วยใหญ่ บริเวณ กม. 132+100 ด่านเขาชีโอน บริเวณ กม. 143+100 ด่านอู่ตะเภา บริเวณ กม. 147+050)

                4. โดยที่กฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนบ้านหนองปรือ - บ้านฉาง พ.ศ. 2558 (ช่วงพัทยา - มาบตาพุด) ได้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมโดยมีจุดเริ่มต้นขาเข้ากรุงเทพมหานครที่ด่านอู่ตะเภา จุดสิ้นสุดที่ด่านมาบประชัน ขาออกจุดเริ่มต้นที่ด่านมาบประชัน จุดสิ้นสุดที่ด่านอู่ตะเภา แต่ต่อมากรมทางหลวงได้ออกแบบทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงพัทยา - มาบตาพุด ให้เชื่อมโยงเป็นโครงข่ายเดียวกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ช่วงกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา (กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 ตอนกรุงเทพมหานคร - เมืองพัทยา พ.ศ. 2561) แต่โดยที่ด่านมาบประชันซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อโครงการไม่มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมตั้งอยู่ จึงสมควรให้ยกเลิกด่านมาบประชัน และรวมกฎกระทรวงทั้งสองฉบับเป็นฉบับเดียวกัน พร้อมทั้งปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวง โดยรวมเป็นบัญชีเดียว ทั้งนี้ การคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางยังคงเป็นไปตามหลักเกณฑ์เดิมที่ใช้ในการคำนวณอัตราค่าธรรมเนียมตามกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2558 และกฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2561 ดังนี้

ประเภทยานยนตร์

อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์

หมายเหตุ

ค่าธรรมเนียมแรกเข้า

ค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง

- ถ้ามีเศษของค่าธรรมเนียม ไม่เกิน 5 บาท ให้ปัดเศษออก แต่เกิน 5 บาท ไม่ถึง 10 บาท ให้เรียกเก็บเศษนั้นเพียง 5 บาท

รถ 4 ล้อ

10

1.00 บาท/1 กม.

รถ 6 ล้อ

15

1.60 บาท/1 กม.

รถเกิน 6 ล้อ ขึ้นไป

20

2.30 บาท/1 กม.

ทั้งนี้  กรณีระยะทางน้อยกว่า 10 กิโลเมตร เก็บเฉพาะค่าใช้ทาง (รถ 4 ล้อ เก็บ 10 บาท/รถ 6 ล้อ เก็บ 15 บาท/รถเกิน 6 ล้อขึ้นไป เก็บ 20 บาท)

                5. คค. ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้แล้ว

จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง พ.ศ. .... มาเพื่อดำเนินการ

 

บัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7

สายกรุงเทพมหานคร – บ้านฉาง พ.ศ. ....

ขาเข้ากรุงเทพมหานคร

 

 

เข้าจากด่าน

 

 

ออกจากด่าน

อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์สำหรับรถยนต์

ไม่เกิน 4 ล้อ

อัตราค่าธรรมเนียม

การใช้ยานยนตร์

สำหรับรถยนต์

เกิน 4 ล้อ

แต่ไม่เกิน 6 ล้อ

อัตราค่าธรรมเนียม

การใช้ยานยนตร์

สำหรับรถยนต์

เกิน 6 ล้อขึ้นไป

ด่านอู่ตะเภา

ด่านเขาชีโอน

ด่านห้วยใหญ่

ด่านพัทยา

ด่านโป่ง

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

15 บาท

30 บาท

30 บาท

45 บาท

70 บาท

75 บาท

80 บาท

100 บาท

110 บาท

130 บาท

15 บาท

25 บาท

50 บาท

45 บาท

75 บาท

110 บาท

120 บาท

130 บาท

160 บาท

180 บาท

210 บาท

20 บาท

35 บาท

75 บาท

65 บาท

110 บาท

160 บาท

175 บาท

190 บาท

235 บาท

260 บาท

305 บาท

ด่านเขาชีโอน

ด่านห้วยใหญ่

ด่านพัทยา

ด่านโป่ง

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

25 บาท

20 บาท

40 บาท

60 บาท

70 บาท

75 บาท

95 บาท

105 บาท

125 บาท

20 บาท

40 บาท

35 บาท

65 บาท

100 บาท

110 บาท

120 บาท

150 บาท

170 บาท

200 บาท

25 บาท

60 บาท

55 บาท

100 บาท

145 บาท

160 บาท

175 บาท

220 บาท

245 บาท

290 บาท

ด่านห้วยใหญ่

ด่านพัทยา

ด่านโป่ง

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

15 บาท

10 บาท

30 บาท

50 บาท

55 บาท

65 บาท

85 บาท

95 บาท

115 บาท

20 บาท

20 บาท

50 บาท

85 บาท

95 บาท

105 บาท

135 บาท

150 บาท

185 บาท

35 บาท

30 บาท

70 บาท

120 บาท

135 บาท

150 บาท

195 บาท

220 บาท

265 บาท

ด่านพัทยา

ด่านโป่ง

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

20 บาท

40 บาท

45 บาท

55 บาท

75 บาท

85 บาท

105 บาท

15 บาท

35 บาท

65 บาท

75 บาท

90 บาท

120 บาท

135 บาท

170 บาท

20 บาท

50 บาท

100 บาท

110 บาท

130 บาท

170 บาท

195 บาท

245 บาท

ด่านโป่ง

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

15 บาท

40 บาท

45 บาท

50 บาท

70 บาท

80 บาท

100 บาท

30 บาท

60 บาท

70 บาท

85 บาท

115 บาท

130 บาท

160 บาท

40 บาท

90 บาท

105 บาท

120 บาท

165 บาท

190 บาท

235 บาท

ด่านหนองขาม

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

20 บาท

25 บาท

30 บาท

50 บาท

60 บาท

80 บาท

30 บาท

40 บาท

50 บาท

80 บาท

100 บาท

130 บาท

45 บาท

60 บาท

75 บาท

120 บาท

145 บาท

190 บาท

ด่านบางพระ

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

10 บาท

30 บาท

40 บาท

60 บาท

15 บาท

20 บาท

50 บาท

65 บาท

100 บาท

20 บาท

30 บาท

70 บาท

95 บาท

140 บาท

ด่านบ้านบึง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

25 บาท

35 บาท

55 บาท

15 บาท

40 บาท

55 บาท

90 บาท

20 บาท

55 บาท

80 บาท

130 บาท

ด่านพนัสนิคม

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

15 บาท

25 บาท

45 บาท

25 บาท

45 บาท

75 บาท

40 บาท

65 บาท

110 บาท

ด่านบางปะกง

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

10 บาท

30 บาท

15 บาท

45 บาท

20 บาท

70 บาท

ด่านบางบ่อ

ด่านลาดกระบัง

25 บาท

45 บาท

60 บาท

 

ขาออกกรุงเทพมหานคร

 

 

เข้าจากด่าน

 

 

ออกจากด่าน

อัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์สำหรับรถยนต์

ไม่เกิน 4 ล้อ

อัตราค่าธรรมเนียม

การใช้ยานยนตร์

สำหรับรถยนต์

เกิน 4 ล้อ

แต่ไม่เกิน 6 ล้อ

อัตราค่าธรรมเนียม

การใช้ยานยนตร์

สำหรับรถยนต์

เกิน 6 ล้อขึ้นไป

ด่านลาดกระบัง

ด่านบางบ่อ

ด่านบางปะกง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบ้านบึง

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

25 บาท

30 บาท

45 บาท

55 บาท

60 บาท

80 บาท

100 บาท

105 บาท

115 บาท

125 บาท

130 บาท

45 บาท

45 บาท

75 บาท

90 บาท

100 บาท

130 บาท

160 บาท

170 บาท

185 บาท

200 บาท

210 บาท

60 บาท

70 บาท

110 บาท

130 บาท

140 บาท

190 บาท

235 บาท

245 บาท

265 บาท

290 บาท

305 บาท

ด่านบางบ่อ

ด่านบางปะกง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบ้านบึง

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

25 บาท

35 บาท

40 บาท

60 บาท

80 บาท

85 บาท

95 บาท

105 บาท

110 บาท

15 บาท

45 บาท

55 บาท

65 บาท

100 บาท

130 บาท

135 บาท

150 บาท

170 บาท

180 บาท

20 บาท

65 บาท

80 บาท

95 บาท

145 บาท

190 บาท

195 บาท

220 บาท

245 บาท

260 บาท

ด่านบางปะกง

ด่านพนัสนิคม

ด่านบ้านบึง

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

15 บาท

25 บาท

30 บาท

50 บาท

70 บาท

75 บาท

85 บาท

95 บาท

100 บาท

25 บาท

40 บาท

50 บาท

80 บาท

115 บาท

120 บาท

135 บาท

150 บาท

160 บาท

40 บาท

55 บาท

70 บาท

120 บาท

165 บาท

170 บาท

195 บาท

220 บาท

235 บาท

ด่านพนัสนิคม

ด่านบ้านบึง

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

10 บาท

30 บาท

50 บาท

55 บาท

65 บาท

75 บาท

80 บาท

15 บาท

20 บาท

50 บาท

85 บาท

90 บาท

105 บาท

120 บาท

130 บาท

20 บาท

30 บาท

75 บาท

120 บาท

130 บาท

150 บาท

175 บาท

190 บาท

ด่านบ้านบึง

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

25 บาท

45 บาท

45 บาท

55 บาท

70 บาท

75 บาท

15 บาท

40 บาท

70 บาท

75 บาท

95 บาท

110 บาท

120 บาท

20 บาท

60 บาท

105 บาท

110 บาท

135 บาท

160 บาท

175 บาท

ด่านบางพระ

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

20 บาท

40 บาท

40 บาท

50 บาท

60 บาท

70 บาท

30 บาท

60 บาท

65 บาท

85 บาท

100 บาท

110 บาท

45 บาท

90 บาท

100 บาท

120 บาท

145 บาท

160 บาท

ด่านหนองขาม

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

15 บาท

20 บาท

30 บาท

40 บาท

45 บาท

30 บาท

35 บาท

50 บาท

65 บาท

75 บาท

40 บาท

50 บาท

70 บาท

100 บาท

110 บาท

ด่านโป่ง

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

10 บาท

20 บาท

30 บาท

15 บาท

20 บาท

35 บาท

45 บาท

20 บาท

30 บาท

55 บาท

65 บาท

ด่านพัทยา

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

15 บาท

25 บาท

30 บาท

20 บาท

40 บาท

50 บาท

35 บาท

60 บาท

75 บาท

ด่านห้วยใหญ่

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

15 บาท

20 บาท

25 บาท

25 บาท

35 บาท

ด่านเขาชีโอน

ด่านอู่ตะเภา

10 บาท

15 บาท

20 บาท

 

2. เรื่อง การแก้ไขปรับปรุงบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 301 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ [ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ความผิดฐานทำให้แท้งลูก)

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ความผิดฐานทำให้แท้งลูก) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

                ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ความผิดฐานทำให้แท้งลูก) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาโดยคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงกฎหมายอาญาตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 4/2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563 โดยศาลรัฐธรรมนูญได้ให้ข้อเสนอแนะควรมีการปรับปรุงแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทำแท้งเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายดังกล่าว ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 มีนาคม 2563 

                สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับความผิดฐานทำให้แท้งลูก โดยกำหนดอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์เป็นองค์ประกอบความผิดเพิ่มเติม ซึ่งมีผลทำให้หญิงสามารถทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยินยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูกได้ในขณะมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์โดยไม่มีความผิด เพื่อคุ้มครองสิทธิของทารกในครรภ์และสิทธิของหญิงตั้งครรภ์ให้เกิดความสมดุลกัน รวมทั้งเพิ่มเหตุและเงื่อนไขสำหรับยกเว้นความผิดฐานทำให้แท้งลูก ให้ครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็น โดยต้องเป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาเพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์ ดังนี้

ประมวลกฎหมายอาญา

ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..)   พ.ศ. ….

เหตุผลในการแก้ไขเพิ่มเติม

 

 

 

 

 

   มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนเองแท้งลูก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

 

 

 

 

 

 มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในมาตรา 301 และมาตรา 302 นั้น เป็นการกระทำของนายแพทย์ และ

   (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากสุขภาพของหญิงนั้น

หรือ

   (2) หญิงมีครรภ์เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 276 มาตรา 277 มาตรา 282 มาตรา 283 หรือมาตรา 284 ผู้กระทำไม่มีความผิด

   มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 301 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

   “มาตรา 301 หญิงใดทำให้ตนเองแท้งลูก หรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูกขณะมีอายุครรภ์เกินสิบสองสัปดาห์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

 

  

 

มาตรา 4 ให้ยกเลิกความในมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

   “มาตรา 305 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 301 หรือมาตรา 302 เป็นการกระทำของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมและตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ในกรณีดังต่อไปนี้ ผู้กระทำไม่มีความผิด

   (1) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากหญิงตั้งครรภ์ต่อไปจะเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายต่อสุขภาพทางกายหรือจิตใจของหญิงนั้น

  

   (2) จำเป็นต้องกระทำเนื่องจากหากทารกคลอดออกมาจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติทางกายหรือจิตใจถึงขนาดทุพพลภาพอย่างร้ายแรง

   (3) หญิงมีครรภ์เนื่องจากมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศ

   (4) หญิงซึ่งมีอายุครรภ์ไม่เกินสิบสองสัปดาห์ยืนยันที่จะยุติการตั้งครรภ์”

 

 

 

 

 

   กำหนดอายุครรภ์สำหรับความผิดฐานหญิงทำให้ตนเองแท้งลูกหรือยอมให้ผู้อื่นทำให้ตนแท้งลูก เพื่อคุ้มครองสิทธิของทารกในครรภ์และสิทธิของหญิงตั้งครรภ์ให้เกิดความสมดุลกัน ตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2563 ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2563

 

  

 

   เพิ่มเหตุยกเว้นความผิดฐานทำให้แท้งลูก ให้ครอบคลุมกรณีต่าง ๆ ที่จำเป็นและสมควรต้องทำแท้งหรือยุติการตั้งครรภ์ให้กับหญิง และกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องทำตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภาเพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์ 

 

3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการในกองบัญชาการตำรวจนครบาล สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ดังนี้ 

                1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..)       พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 

                2. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับเกลี่ยตำแหน่งและกำลังพลภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งจำนวนและระดับตำแหน่งที่มีอยู่เดิมให้สอดคล้องกับภารกิจและปริมาณงานที่จะต้องปฏิบัติ สำหรับอัตรากำลังที่จะปฏิบัติภารกิจในศูนย์ฝึกอบรมตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. 

                3. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                โดยร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ เป็นการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล และกำหนดอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการดังกล่าว เพื่อรองรับภารกิจการฝึกอบรมเพื่อผลิตและพัฒนาข้าราชการตำรวจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับภารกิจและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไปอันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น

                สาระสำคัญของร่างกฎหมาย 

                1. ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีหน้าที่และอำนาจเพิ่มเติม ดังนี้  

                        1.1 ดำเนินการเกี่ยวกับการสรรหาบุคคลเพื่อเข้ารับราชการตำรวจ  

                        1.2 ดำเนินการวิเคราะห์ค้นหาความจำเป็นในการฝึกอบรม การสร้างและพัฒนาหลักสูตร ระบบการเรียนการสอน จัดฝึกอบรมก่อนเข้ารับราชการตำรวจ และจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพของข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ และลูกจ้างในสังกัด  

                        1.3 ดำเนินการเกี่ยวกับการฝึกอบรมให้กับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การรักษาความสงบเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัยในกิจการของตำรวจ 

                2. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. เป็นการกำหนดให้ตั้งศูนย์ฝึกอบรมในกองบัญชาการตำรวจนครบาล โดยแบ่งโครงสร้างหลักออกเป็น ฝ่ายอำนวยการ ฝ่ายบริการการศึกษา ฝ่ายปกครองและการฝึก และกลุ่มงานอาจารย์ โดยให้มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้  

                        2.1 บริหารและพัฒนาการศึกษาตามระเบียบแบบแผนและหลักสูตร ตลอดจนปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรและระบบการเรียนการสอน 

                        2.2 ผลิตข้าราชการตำรวจชั้นประทวนตามความต้องการของกองบัญชาการตำรวจนครบาล

                        2.3 ฝึกอบรมเพิ่มพูนความรู้ และทักษะในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการ และลูกจ้างของกองบัญชาการตำรวจนครบาล 

                        2.4 ติดต่อและประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษาหรือองค์กรอื่น เพื่อส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและการฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย การอำนวยความยุติธรรม และการรักษาความปลอดภัยของประชาชน ตามความเหมาะสม และความต้องการของแต่ละพื้นที่ 

                        2.5 ดำเนินการเกี่ยวกับงานสรรหาบุคคลเพื่อเข้าสู่ตำแหน่งและการสอบเพื่อบรรจุบุคคลเข้ารับราชการ 

                        2.6 ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย

 

4. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ

                ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่ กษ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 เพื่อให้การควบคุมกำกับดูแลในเรื่องของการนำเข้าและส่งออกสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรการสุขอนามัยพืช [International Standards for Phytosanitary Measures (ISPM)] ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการอารักขาพืชระหว่างประเทศ [International Plant Protection Convention (IPPC)] ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอนุสัญญาและได้ให้สัตยาบันแล้ว และเพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกักพืชตามกฎหมายเป็นไปอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม รวมทั้งทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติกักพืชสามารถดำเนินการควบคุมและกำกับดูแลการนำเข้าและส่งออกสินค้าพืชได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

                1. กำหนดให้ “พืช” หมายความว่า พันธุ์พืชทุกชนิดทั้งพืชบก พืชน้ำ และพืชประเภทอื่น รวมทั้งส่วนหนึ่งส่วนใดของพืช เช่น ต้น ตา ตอ แขนง หน่อ กิ่ง ใบ ราก เหง้า หัว ดอก ผล เมล็ด ไม่ว่าที่ยังทำพันธุ์ได้หรือตายแล้ว  

                2. กำหนดให้ “สิ่งควบคุม” หมายความว่า พืช สิ่งมีชีวิตอื่นใด และพาหะ ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้เป็นสิ่งควบคุม 

                3. กำหนดให้ “ศัตรูพืชควบคุม” หมายความว่า ศัตรูพืชที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้เป็นศัตรูพืชควบคุม  

                4. กำหนดให้ “ด่านตรวจพืช” หมายความว่า ด่านที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาให้เป็นด่านตรวจพืช เพื่อตรวจพืช เชื้อพันธุ์พืช สิ่งควบคุม ศัตรูพืช และศัตรูพืชควบคุมที่นำเข้าหรือนำผ่าน 

                5. กำหนดให้ “สถานกักพืช” หมายความว่า สถานที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา ให้เป็นสถานกักพืช เพื่อกักพืช เชื้อพันธุ์พืช สิ่งควบคุม ศัตรูพืช และศัตรูพืชควบคุม เพื่อสังเกต ตรวจสอบ หรือวิจัย  

                6. แก้ไขนิยามคำว่า “ใบรับรองสุขอนามัยพืช” “ใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับการส่งต่อ” และ “ใบรับรองสุขอนามัย” ให้รองรับหนังสือสำคัญที่ออกเป็นอิเล็กทรอนิกส์ ตราประทับ เครื่องหมาย หรืออื่น ๆ 

                7. แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการกักพืช โดยเพิ่มอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และเลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ รวมทั้งแก้ไขจาก ผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็น ผู้แทนบริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด และจาก ผู้อำนวยการกองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร เป็น ผู้อำนวยการสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร และเพิ่มผู้แทนกระทรวงคมนาคมเป็นกรรมการอีกตำแหน่งหนึ่ง

 

5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบคำขออนุญาต ใบอนุญาต ใบรับรอง คำสั่ง และแบบหนังสือตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต การออกใบรับรอง และการออกใบแทน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบคำขออนุญาต ใบอนุญาต ใบรับรอง คำสั่ง และแบบหนังสือตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต การออกใบรับรอง และการออกใบแทน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง รวม 2 ฉบับ 

                1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบบคำขออนุญาต ใบอนุญาต ใบรับรอง คำสั่ง และแบบหนังสือตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. 

                กำหนดแบบคำขออนุญาต แบบคำขอต่ออายุใบอนุญาต แบบคำขอรับใบแทนใบอนุญาตหรือใบแทนใบรับรอง แบบคำขอโอนใบอนุญาต แบบใบอนุญาต และแบบใบรับรองตามแบบท้ายกฎกระทรวงนี้ ดังต่อไปนี้ 

                        (1) แบบคำขออนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ใช้แบบ ข. 1  

                        (2) แบบคำขออนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้ใช้แบบ ข. 2  

                        (3) แบบคำขออนุญาตดัดแปลงหรือใช้ที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออกของรถเพื่อการอื่น ให้ใช้แบบ ข. 3

                        (4) แบบคำขอต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ใช้แบบ ข. 4 

                        (5) แบบคำขอรับใบแทนใบอนุญาตหรือใบแทนใบรับรอง ให้ใช้แบบ ข. 5     

                        (6) แบบคำขออนุญาตแก้ไขเปลี่ยนแปลงผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบแบบแปลน ให้ผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต ให้ใช้แบบ ข. 6 

                        (7) แบบคำขอโอนใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย หรือเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้ใช้แบบ ข. 7 

                        (8) แบบใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ใช้แบบ อ. 1 

                        (9) แบบใบอนุญาตเคลื่อนย้ายอาคาร สำหรับการเคลื่อนย้ายอาคารไปยังท้องที่ที่อยู่ในเขตอำนาจของเจ้าพนักงานท้องถิ่นอื่น ให้ใช้แบบ อ. 2  

                        (10) แบบใบอนุญาตดัดแปลงหรือใช้ที่จอดรถ ที่กลับรถ และทางเข้าออกของรถเพื่อการอื่น ให้ใช้แบบ อ. 3

                        (11) แบบใบอนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคาร ให้ใช้แบบ อ. 4

                        (12) แบบใบรับรองการก่อสร้าง การดัดแปลง หรือการเคลื่อนย้ายอาคารประเภทควบคุมการใช้ ให้ใช้แบบ อ. 5 

                        (13) แบบใบอนุญาตให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผังบริเวณ แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนที่ได้รับอนุญาต ให้ใช้แบบ อ. 6 

                2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การโอนใบอนุญาต การออกใบรับรอง และการออกใบแทน ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. …. 

                        2.1 กำหนดให้ผู้ใดประสงค์จะขอรับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบ ข. 1 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 1

                        2.2 กำหนดให้เมื่อได้รับคำขอ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ในการรับคำขอตรวจสอบคำขอ รวมทั้งข้อมูล เอกสารและหลักฐานว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ถ้าถูกต้องและครบถ้วน ให้ออกใบรับคำขอให้แก่ผู้ขอรับใบอนุญาต และส่งคำขอให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นดำเนินการต่อไป แต่หากคำขอไม่ถูกต้องหรือยังขาดข้อมูล เอกสารหรือหลักฐานใดให้แจ้งให้ผู้ขอรับใบอนุญาตทราบทันที ในกรณีที่การยื่นคำขอมิได้กระทำโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ในการรับคำขอและผู้ขอรับใบอนุญาตลงนามไว้ในบันทึกนั้นด้วย  

                        2.3 กำหนดให้เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้รับคำขอแล้ว ให้ตรวจพิจารณาแผนผังบริเวณ แบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายการคำนวณ (ถ้ามี) เมื่อปรากฏว่าแผนผังบริเวณ แบบแปลน รายการประกอบแบบแปลน และรายการคำนวณถูกต้องและเป็นไปตามกฎกระทรวง ข้อบัญญัติท้องถิ่น หรือประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แล้ว ให้พนักงานท้องถิ่นออกใบอนุญาตตามแบบ อ. 1

                        2.4 กำหนดให้เมื่อผู้ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้าย อาคารประเภทควบคุมการใช้ (ได้แก่ อาคารสำหรับใช้เป็นคลังสินค้า โรงแรม อาคารชุด หรือสถานพยาบาล และอาคารสำหรับใช้เพื่อกิจการพาณิชยกรรม อุตสาหกรรม การศึกษา การสาธารณสุข หรือกิจการอื่น) ได้ทำการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารดังกล่าวเสร็จแล้ว ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารยื่นหนังสือขอใบรับรองการก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารประเภทควบคุมการใช้ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้รับหนังสือและตรวจสอบแล้วเห็นว่า การก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเคลื่อนย้ายอาคารนั้นเป็นไปโดยถูกต้องตามที่ได้รับใบอนุญาต ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นออกใบรับรองตามแบบ อ. 5 นอกจากนี้ หากประสงค์จะเปลี่ยนการใช้อาคารไปใช้เป็นอาคารสำหรับอีกกิจการหนึ่ง ให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารยื่นคำขออนุญาตเปลี่ยนการใช้อาคารตามแบบ ข. 2 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 2 

                        2.5  กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน หรือเคลื่อนย้ายอาคาร ให้ยื่นคำขอต่ออายุใบอนุญาตตามแบบ ข. 4 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 4 ก่อนใบอนุญาตสิ้นอายุ  

                        2.6 กำหนดให้ในกรณีที่ใบอนุญาตหรือใบรับรองสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุดในสาระสำคัญ ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตหรือใบรับรองยื่นคำขอรับใบแทนใบอนุญาต หรือใบแทนใบรับรองตามแบบ ข. 5 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 5 ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ทราบถึงการสูญหาย ถูกทำลาย หรือชำรุด

                        2.7 กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงแผนผังบริเวณ แบบแปลน และรายการประกอบแบบแปลน ให้ผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบ ข. 6 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 6 

                        2.8 กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะโอนใบอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย หรือเปลี่ยนการใช้อาคารให้แก่บุคคลอื่น ให้ยื่นคำขออนุญาตตามแบบ ข. 7 ต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น พร้อมด้วยเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบ ข. 7

                        2.9 กำหนดให้การยื่นคำขอและเอกสารตามที่ระบุไว้ในแบบคำขอตามกฎกระทรวงนี้ ให้ดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก ในระหว่างที่ยังไม่สามารถดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ ให้ยื่นต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น   

 

6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้

                ทั้งนี้ วธ. เสนอว่า 

                1. โดยที่พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอต่อศาล เพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน ประกอบกับมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 

                2. ดังนั้น เพื่อให้การบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินของหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของ วธ. ได้แก่ ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สมควรกำหนดให้หน่วยงานดังกล่าวเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 63/15 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งสามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีทางปกครองได้ฯ

จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 

                กำหนดให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) และสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับตามคำสั่งทางปกครองโดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครองแทนได้ ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง 

 

7. เรื่อง ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ รวม 3 ฉบับ

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ 

                1. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง ยกเลิกประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร 

                2. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน 

                3. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร

รวม 3 ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                สาระสำคัญของร่างประกาศ

                1. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง ยกเลิกประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร เป็นการยกเลิกประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร 

                2. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน  

                        2.1 กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายและการเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงานให้แก่ลูกจ้าง และคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง โดยลูกจ้างจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นจากประกาศเดิม เช่น เพิ่มสิทธิในการได้รับค่าใช้จ่ายเพื่อการสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค และค่าใช้จ่ายเพื่อการตรวจสุขภาพ ปรับอัตราสิทธิในการได้รับค่ารักษาพยาบาลในสถานพยาบาลของเอกชนประเภทผู้ป่วยในให้สูงขึ้น รวมทั้งกำหนดให้ลูกจ้างสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลโดยใช้ระบบการเบิกจ่ายตรงได้ด้วย เป็นต้น

                        2.2 กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายและการเบิกค่ารักษาพยาบาลกรณีเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตอันมิใช่เนื่องจากการทำงานให้แก่ลูกจ้าง และคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการกำหนดเพิ่มขึ้นจากประกาศเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 มีนาคม 2560 ซึ่งจะทำให้ลูกจ้าง และคู่สมรสหรือบุตรของลูกจ้าง สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในกรณีที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในร่างประกาศฉบับนี้ 

                        2.3 กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราจ่ายค่าทำศพ และลำดับของผู้มีสิทธิได้รับค่าทำศพ โดยปรับอัตราการจ่ายค่าทำศพจากประกาศเดิมให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน  

                3. ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร 

                        3.1 กำหนดอัตราและหลักเกณฑ์การใช้สิทธิเบิกค่าช่วยเหลือบุตรของลูกจ้าง และจำนวนบุตรที่มีสิทธิได้รับการช่วยเหลือบุตร โดยปรับอัตราค่าช่วยเหลือบุตรจากเดือนละ 50 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน เป็นเดือนละ 200 บาท ต่อบุตรหนึ่งคน 

                        3.2 กำหนดอัตราและหลักเกณฑ์การใช้สิทธิเบิกค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตรลูกจ้าง และจำนวนบุตรที่มีสิทธิได้รับค่าช่วยเหลือการศึกษา โดยเพิ่มสิทธิการเบิกค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตรให้รวมถึงการศึกษาในระดับปริญญาตรีด้วย 

                ทั้งนี้ รง. เสนอว่า  

                1. คณะรัฐมนตรีได้มีมติวันที่ 4 ธันวาคม 2561 รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างงานในรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีที่อยู่ในขอบเขตของพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ รวม 3 ฉบับตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 4 ตุลาคม 2559 ไม่ใช่กรณีที่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 มีนาคม 2560 ซึ่งไม่ต้องนำเสนอคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) พิจารณา โดยให้ รง. ดำเนินการเกี่ยวกับการเร่งปรับปรุงมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 มีนาคม 2560 

                2. รง. จึงได้ยกร่างประกาศ รวม 3 ฉบับ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 13 (1) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ประกอบกับข้อ 53 ของประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 ที่กำหนดให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีอำนาจกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง ฯลฯ โดยร่างประกาศทั้ง 3 ฉบับดังกล่าวเป็นการยกเลิกประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายค่ารักษาพยาบาลกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ค่าทำศพกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ค่าช่วยเหลือบุตร และค่าช่วยเหลือการศึกษาของบุตร โดยปรับปรุงประกาศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ ขึ้นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 28 มีนาคม 2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และในคราวประชุมคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ครั้งที่ 3/2563 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2563 ได้มีมติเห็นชอบร่างประกาศ รวม 3 ฉบับดังกล่าวแล้ว 

                โดยร่างประกาศในเรื่องนี้ รวม 3 ฉบับ จะส่งผลให้พนักงานรัฐวิสาหกิจ รวม 306,887 คน ได้รับการคุ้มครองในเรื่องของการดำเนินการกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต เพื่อรองรับการจ่ายเงินคืนแก่สถานพยาบาลตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยวิกฤตตามมติคณะรัฐมนตรีได้โดยเร็ว ซึ่งระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึง 2563 มีพนักงานรัฐวิสาหกิจใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต รวม 1,119 คน คิดเป็นเงินค่ารักษาพยาบาลที่ค้างจ่ายต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และโรงพยาบาลเอกชน จำนวน 32,966,400 บาท หากร่างประกาศดังกล่าว รวม 3 ฉบับมีผลใช้บังคับ จะสามารถดำเนินการจ่ายค่ารักษาพยาบาลดังกล่าวให้แก่ สปสช. และโรงพยาบาลเอกชนได้โดยเร็ว

จึงได้เสนอร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ รวม 3 ฉบับ มาเพื่อดำเนินการ

 

8. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลสันปูเลย ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด ตำบลสันกลาง ตำบลต้นเปา ตำบลแม่ปูคา ตำบลสันกำแพง ตำบลร้องวัวแดง และตำบลทรายมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ....     

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้

                1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลสันปูเลย ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด ตำบลสันกลาง ตำบลต้นเปา ตำบลแม่ปูคา ตำบลสันกำแพง ตำบลร้องวัวแดง และตำบลทรายมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้    

                2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                3. ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนน และการขยายถนนต้องสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีผลเป็นการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติเพียงเท่าที่จำเป็น และต้องสร้างระบบการระบายน้ำที่เพียงพอต่อการขยายตัวของชุมชนหรือเมืองในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอีก 10 – 15 ปี ข้างหน้าไปพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาถนนกีดขวางทางน้ำและทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย

                ทั้งนี้ ร่างพระราชกฤษฎีกาที่กระทรวงคมนาคมเสนอ เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท ชม. 3029 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1006 เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของประชากรในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และการเจริญเติบโตของเมือง ทำให้เกิดปัญหาทางด้านการจราจร ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งยกระดับความปลอดภัยในการคมนาคมและการขนส่งสินค้า รองรับการเจริญเติบโต และการขยายตัวของชุมชนในอนาคต อันจะทำให้การจราจรและการขนส่งมีความสะดวกยิ่งขึ้น ตลอดจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน

                สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

                กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลหนองป่าครั่ง อำเภอเมืองเชียงใหม่ตำบลสันปูเลย ตำบลแม่คือ อำเภอดอยสะเก็ด ตำบลสันกลาง ตำบลต้นเปา ตำบลแม่ปูคา ตำบลสันกำแพง ตำบลร้องวัวแดง และตำบลทรายมูล อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท ชม. 3029 กับทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 1006

                คค. เสนอว่า

                1. โดยที่เป็นการสมควรดำเนินโครงการก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบทสายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท ชม. 3029 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1006 เนื่องจากมีการเพิ่มขึ้นของประชากรในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และการเจริญเติบโตของเมือง ทำให้เกิดปัญหาทางด้านการจราจร ซึ่งโครงการดังกล่าวจะทำให้การเดินทางของประชาชนมีความสะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งยกระดับความปลอดภัยในการคมนาคม และการขนส่งสินค้า และรองรับการเจริญเติบโตและการขยายตัวของชุมชนในอนาคต อันจะทำให้การจราจรและการขนส่งมีความสะดวกยิ่งขึ้น

                2. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท ชม. 3029 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1006 แล้ว โดยลักษณะของโครงการ เป็นการก่อสร้างและขยายถนนขนาด 4 - 6 ช่องจราจร ชนิดผิวจราจรเป็นแอสฟัลต์คอนกรีต ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างช่องละ 2.50 เมตร ทางเท้าและทางจักรยานกว้างข้างละ 4.00 เมตร เกาะกลางกว้าง 4.20 – 18.00 เมตร เขตทางกว้าง 40.00 – 65.00 เมตร ระยะทางยาวประมาณ 16.324 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 425 ไร่ มีอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 129 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 4,266.6000 ล้านบาท (ค่าจ้างที่ปรึกษาสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 13.3000 ล้านบาท       ค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 453.0500 ล้านบาท และค่าก่อสร้างประมาณ 3,800.2500 ล้านบาท)

                3. การวิเคราะห์โครงการ สรุปผลดังนี้

                ความเหมาะสมในการดำเนินโครงการ พบว่ามูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) อยู่ที่ 4,125.57 ล้านบาท อัตราส่วนมูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) มีค่า 2.47 และอัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจของโครงการ (EIRR)  มีค่า 24.86 % ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ

                4. สำนักงบประมาณเห็นว่า กรมทางหลวงชนบทจะดำเนินโครงการก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างทางหลวงชนบท ชม. 3029 กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1006 ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางประมาณ 16.324 กิโลเมตร ประมาณการค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำนวน 453.0500 ล้านบาท โดยกรมทางหลวงชนบทมีแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและแผนการเบิกจ่ายค่าทดแทนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 – พ.ศ. 2566 ดังนั้น กรมทางหลวงชนบทควรจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ซึ่งสำนักงบประมาณจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับแล้ว

                5. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบทสายดังกล่าวแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว

 

9. เรื่อง  ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวัดป่า และตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติดังนี้

                1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวัดป่า และตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

                2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

                3. ให้กระทรวงคมนาคมถือปฏิบัติเกี่ยวกับการก่อสร้างถนน และการขยายถนนต้องสอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีผลเป็นการกีดขวางการไหลของน้ำตามธรรมชาติเพียงเท่าที่จำเป็น และต้องสร้างระบบการระบายน้ำที่เพียงพอต่อการขยายตัวของชุมชนหรือเมืองในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอีก 10 - 15 ปี ข้างหน้าไปพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาถนนกีดขวางทางน้ำและทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมอันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไปด้วย

                สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

                กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนดคืน ในท้องที่ตำบลวัดป่า และตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อสร้างทางหลวงชนบทถนนสาย ค ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่ง อันเป็นกิจการสาธารณูปโภค

                ทั้งนี้ คค. เสนอว่า

                1. โดยที่กรมทางหลวงชนบทมีความจำเป็นต้องสร้างทางหลวงชนบทถนนสาย ค ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ในท้องที่ตำบลวัดป่าและตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค สมควรกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ดังกล่าว เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด

                2. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการสำรวจข้อมูลและออกแบบรายละเอียดโครงการ ประมาณราคาค่าก่อสร้าง ค่าเวนคืนและสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการพัฒนาเมือง ระบบคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะอำนวยต่อการพัฒนาเมืองและรองรับการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในอนาคตต่อไป

                3. กรมทางหลวงชนบทได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 164.22 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) มีค่า 19.26 % อัตราผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) มีค่า 1.61 ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ และหากพิจารณาถึงผลประโยชน์ทางอ้อมจากการพัฒนาพื้นที่ในอนาคตโครงการจะมีความเหมาะสมมากขึ้น

                4. ลักษณะของโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบท ถนนสาย ค ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มีจุดเริ่มต้นโครงการที่แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 203 และสิ้นสุดโครงการที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 21 เป็นถนนกำหนดให้ก่อสร้างใหม่ขนาด 4 และ 8 ช่องจราจร พร้อมเกาะกลางชนิดผิวจราจรเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.50 เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.50 เมตร เขตทางกว้าง 40.00 – 80.00 เมตร มีระยะทางประมาณ 5.130 กิโลเมตร มีพื้นที่ที่ถูกเวนคืนประมาณ 125 ไร่ (110 แปลง) มีอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 2 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 364.8700 ล้านบาท (ใช้งบประมาณในการสำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ 4.1400 ล้านบาท ค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 112.0000 ล้านบาท และค่าก่อสร้างประมาณ 248.7300 ล้านบาท)

                5. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างทางหลวงชนบทสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมต่อโครงการมีผู้เห็นด้วยกับโครงการประมาณร้อยละ 86.21

                6. สำนักงบประมาณ (สงป.) พิจารณาแล้วเห็นควรที่กรมทางหลวงชนบทจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลวัดป่า และตำบลหนองไขว่ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบทตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับแล้ว

 

10. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสุไหงโก - ลก อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. ....

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบล    สุไหงโก - ลก อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

              สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา

              เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสุไหงโก - ลก อำเภอสุไหงโก -ลก จังหวัดนราธิวาสเพื่อสร้างทางหลวงชนบทสาย ค 2 สายเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 และทางหลวงชนบท สาย นธ.4031 ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก - ลกจังหวัดนราธิวาส เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัดและจะเป็นการอำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่นอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค

                ทั้งนี้ คค. เสนอว่า

                1. เนื่องจากมีความจำเป็นต้องสร้างทางหลวงชทบท ถนนสาย ค 2 สายเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 และทางหลวงชนบท สาย นธ.4031 ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส เพื่อให้การสร้างทางหลวงชนบทตามโครงการดังกล่าวเป็นไปตามแผนการที่กำหนดไว้ รวมทั้งเพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งทางบกอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค

                2. กรมทางหลวงชนบทได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมทางด้านเศรษฐกิจในการดำเนินโครงการ ซึ่งจากผลการวิเคราะห์พบว่า มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) มีค่า 65.02 ล้านบาท อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C Ratio) มีค่ 1.73 และอัตราผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจของโครงการ (EIRR) มีค่า 20.05 % ซึ่งถือได้ว่าโครงการดังกล่าวนี้มีความเหมาะสมในการดำเนินการ

                3. การคาดการณ์ปริมาณการจราจรในอนาคต กรณีที่มีโครงการฯ กับกรณีที่ไม่มีโครงการฯ บนถนนโครงข่าย ผลการคาดการณ์พบว่า กรณีมีโครงการจะทำให้จำนวนของยานพาหนะ (Passenger Car Unit: PCU) ลดน้อยลง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรที่ติดขัดในตัวเมือง ทำให้การเดินทางมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น

                4. ลักษณะของโครงการ เป็นถนนที่กำหนดให้ก่อสร้างใหม่ขนาด 4 ช่องจราจรมีจุดเริ่มต้นโครงการที่ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 (กม.0+000) สิ้นสุดโครงการที่ทางหลวงชนบท นธ.4031 (กม.1+121) ชนิดผิวจราจรเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ช่องจราจรกว้างช่องละ 3.25/3.50เมตร ไหล่ทางกว้างข้างละ 2.00 เมตร ทางเท้ากว้างข้างละ 3.75 เมตร เกาะกลางกว้าง 3.00 เมตร เขตทางกว้าง 28.00 เมตร ระยะทางยาวประมาณ 1.121 กิโลเมตร มีที่ดินที่ถูกเวนคืนประมาณ 22 ไร่ (22 แปลง) มีอาคาร สิ่งปลูกสร้างที่ถูกเวนคืนประมาณ 19 รายการ ใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการประมาณ 126.2330 ล้านบาท (ค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ประมาณ 48.9500 ล้านบาท และค่าก่อสร้างประมาณ 77.2830 ล้านบาท)

                5. สำนักงบประมาณ (สงป.) เห็นว่า กรมทางหลวงชนบทจะดำเนินโครงการก่อสร้างถนนสาย ค 2 สายเชื่อมต่อระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4057 และทางหลวงชนบท สาย นธ.4031 ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส โดยกรมทางหลวงชนบทมีแผนการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและแผนการเบิกจ่ายค่าทดแทนในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดังนั้น เพื่อรองรับการพัฒนาและขยายตัวของอำเภอสุไหงโก – ลก จังหวัดนราธิวาส และเพื่อเชื่อมโยงระบบโครงข่ายคมนาคมในเขตเมืองและนอกเมืองให้มีความสมบูรณ์ ควรที่กรมทางหลวงจะเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลสุไหงโก - ลก อำเภอสุไหงโก - ลก จังหวัดนราธิวาส พ.ศ. .... ต่อคณะรัฐมนตรี และ สงป. จะพิจารณาจัดสรรงบประมาณให้กรมทางหลวงชนบทตามความจำเป็นและเหมาะสม ตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณเมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับแล้ว

                6. กรมทางหลวงชนบทได้ดำเนินการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้ที่ได้รับผลกระทบกับโครงการก่อสร้างทางหลวงสายดังกล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน พ.ศ. 2548 แล้ว ซึ่งผลการรับฟังความคิดเห็นโดยรวมต่อโครงการมีผู้เห็นด้วยกับโครงการประมาณร้อยละ 91.43

 

11. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา (สว.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ 

                สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง 

                กำหนดให้ สว. เป็นหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการทางปกครองแทนได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง

                ทั้งนี้ สว. เสนอว่า 

                1. พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 มาตรา 63/15 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ในกรณีที่มีการบังคับให้ชำระเงินและคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินเป็นที่สุดแล้ว หากหน่วยงานของรัฐที่ออกคำสั่งให้ชำระเงินประสงค์ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดีดำเนินการบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าว ให้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาล เพื่อให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้เป็นไปตามคำสั่งทางปกครองนั้น โดยระบุจำนวนเงินที่ผู้อยู่ในบังคับของมาตรการบังคับทางปกครองยังมิได้ชำระตามคำสั่งทางปกครอง ทั้งนี้ ไม่ว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่ได้บังคับทางปกครองหรือได้ดำเนินการบังคับทางปกครองแล้ว แต่ยังไม่ได้รับชำระเงินหรือได้รับชำระเงินไม่ครบถ้วน และมาตรา 63/15 วรรคหก บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐตามมาตรานี้ หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวง 

                2. โดยที่ สว. มีฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นนิติบุคคลและมีอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2554 มิได้มีฐานะเป็นกระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในกฎกระทรวงตามนัยบทบัญญัติมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ประกอบกับขณะนี้ สว. ยังไม่สามารถดำเนินการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานบังคับทางปกครองเพื่อบังคับคดีตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินตามมาตรา 63/7 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ยังขาดความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในการสืบทรัพย์ ยึดหรืออายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สิน  

                3. ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการบังคับตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงินของ สว. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้ สว. เป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา 63/15 วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562

จึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มาเพื่อดำเนินการ

 

เศรษฐกิจ - สังคม

12. เรื่อง การเสนอความเห็นการดำเนินการสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (คณะกรรมการฯ) เสนอผลการพิจารณาการดำเนินการสำหรับทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน จำนวน 3 ทุน ประกอบด้วย กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน และกองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ไปดำเนินการต่อไป

                สำหรับเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ให้คณะกรรมการฯ รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้ง

                สาระสำคัญของเรื่อง

                คณะกรรมการฯ รายงานว่า

                1. ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และการรายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2559 ข้อ 9 วรรคสอง กำหนดให้กรมบัญชีกลางรายงานผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนด (มีคะแนนผลการประเมินในภาพรวมเฉลี่ยต่ำกว่า 3 คะแนน จาก 5 คะแนน เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน) พร้อมความเห็นเสนอคณะกรรมการฯ พิจารณาเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ยุบเลิก

                2. ผลการประเมินผลการดำเนินงานของทุนหมุนเวียนประจำปีบัญชี 2559 - 2561 พบว่า มีทุนหมุนเวียนที่มีผลการประเมินผลการดำเนินงานต่ำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนดเป็นเวลา 3 ปี ติดต่อกัน จำนวน 3 ทุน ประกอบด้วย (1) กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา [กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.)] (2) เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม [กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)] และ (3) กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย สังกัดสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย [กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.)] โดยมีค่าระดับคะแนนตามเกณฑ์การประเมินผล ดังนี้

                                                                                                                                 หน่วย : คะแนน

ทุนหมุนเวียน

คะแนนในภาพรวม (คะแนนเต็ม 5 คะแนน)

ปี 2559

ปี 2560

ปี 2561

กองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

1.1060

1.2318

2.7345

เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

2.3673

2.1659

1.9205

กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย

1.8273

1.6596

1.7476

หมายเหตุ : เกณฑ์การประเมินผลประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านการเงิน (2) ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (3) ด้านปฏิบัติการ และ (4) ด้านการบริหารพัฒนาทุนหมุนเวียน

                3. คณะกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 ได้พิจารณาผลการประเมินผลการดำเนินงาน (ตามข้อ 2) ความเห็นของคณะอนุกรรมการประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน (ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน) และความเห็นของหน่วยงานเจ้าสังกัดของทั้ง 3 ทุนหมุนเวียนแล้วมีมติ ดังนี้

                    3.1 ให้ กก. เร่งดำเนินการจัดทำระบบงานกองทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยที่จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2562 ตามพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 เพื่อรองรับงานของกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและดำเนินการยุบกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 ทั้งนี้ ในการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน หนี้สิน ภาระผูกพัน สิทธิ หน้าที่ และพนักงานของกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ให้เนินการตามประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง แนวปฏิบัติการรวมหรือยุบเลิกทุนหมุนเวียน และการจัดการเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ของผู้บริหารทุนหมุนเวียน พนักงาน และลูกจ้างของทุนหมุนเวียนที่รวมหรือยุบเลิก ลงวันที่ 30 ตุลาคม 2560 (ประกาศกระทรวงการคลังฯ) ต่อไป

                    3.2 ยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนโดยเร็ว และดำเนินการตามประกาศกระทรวงการคลังฯ ต่อไป ทั้งนี้ สำหรับกรณีการขยายวัตถุประสงค์ของเงินทุน โดยยกร่างพระราชบัญญัติเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน เพื่อจัดตั้งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามวัตถุประสงค์ใหม่ ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 63 ประกอบพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนวียน พศ. 2558 มาตรา 14 และมาตรา 15

                    3.3 ให้กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยดำเนินการต่อไป (คณะกรรมการฯ แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมว่า กองทุนส่งเสริมศิลปะร่วมสมัยยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อไป เนื่องจากมีความสำคัญในการส่งเสริมการเผยแพร่ผลงานด้านศิลปะร่วมสมัยไปสู่ระดับนานาชาติ ประกอบกับในปีงบประมาณ 2562 กองทุนดังกล่าวมีผลการประเมินผลการดำเนินงาน อยู่ในระดับ 4.1388 คะแนน ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่ดีกว่าเป้าหมาย) แต่หากผลการประเมินของกองทุน ประจำปีบัญชี 2564 ตำกว่าเกณฑ์การประเมินผลที่กำหนด ให้สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย พ.ศ. 2551 เพื่อยุบเลิกกองทุนต่อไป

 

13. เรื่อง  การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน          (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ 2564  จำนวน 2,400  ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ เนื่องจากจำนวนเงินดังกล่าวมีความเหมาะสมกับกระแสเงินสดรับ - จ่ายของกองทุนฯ และจะทำให้กองทุนฯ มีเงินสดคงเหลือเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการและภาระชดเชยที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3,420 ล้านบาท อย่างไรก็ดี หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

                กค. รายงานว่า

                กองทุนฯ ได้ทบทวนประมาณการกระแสเงินสดรับ – จ่ายแล้ว คาดว่าในปีงบประมาณ 2564 กองทุนฯ จะมีสภาพคล่องคงเหลือภายหลังสำรองค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่สามารถชำระหนี้ FIDF 1 และ FIDF 3 ได้จำนวน 2,400 ล้านบาท และมีเงินสดคงเหลือเพื่อสำรองเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินการและภาระชดเชยที่อยู่ระหว่างดำเนินการในปีงบประมาณ 2565 จำนวน 3,420 ล้านบาท คณะกรรมการจัดการกองทุนในการประชุมเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 จึงได้มีมติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้นำส่งเงินของกองทุนฯ เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 ในปีงบประมาณ 2564 จำนวนทั้งสิ้น 2,400 ล้านบาท โดยทยอยโอนเงินของกองทุนฯ เข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ

 

14. เรื่อง  การเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 และปีบัญชี 2563

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน (คณะกรรมการฯ) เสนอเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ปีบัญชี 2562 และ ปีบัญชี 2563 รวมจำนวน 14 ทุนหมุนเวียน โดยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,112.85 ล้านบาท ดังนี้

ปีบัญชี

จำนวนทุนหมุนเวียน

จำนวนเงิน (ล้านบาท)

2562

10

1,950.11

2563

6

1,162.74

โดยให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินโดยเร็ว

                ทั้งนี้ สำหรับเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ และกองทุนสิ่งแวดล้อม ให้คณะกรรมการฯ รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาอีกครั้ง

              สาระสำคัญของเรื่อง

                คณะกรรมการฯ รายงานว่า

                กรมบัญชีกลาง [กระทรวงการคลัง (กค.)] ได้เสนอคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามนัยมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด  และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน  พ.ศ. 2561 ซึ่งในคราวประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2563 คณะกรรมการฯ ได้มีมติให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเรียกให้ทุนหมุนเวียนนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน  ปีบัญชี 2562 (จำนวน 10 ทุนหมุนเวียน) จำนวน 1,950.11 ล้านบาท และปีบัญชี 2563 (จำนวน 6 ทุนหมุนเวียน) จำนวน 1,162.74 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  จำนวน 3,112.85 ล้านบาท  ภายในเดือนกันยายน 2563 ตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ ดังนี้

             

ทุนหมุนเวียน

ทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน* (ล้านบาท)

ปีบัญชี 2562

ปีบัญชี 2563

1. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อผลิตรูปถ่ายทางอากาศ

11.73

9.75

2. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู

590.67

-

3. เงินทุนหมุนเวียนยางพารา

2.84

-

4. กองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

277.55

-

5. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาเอกชน

155.06

136.19

6. กองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย

35.64

-

7. กองทุนพัฒนาน้ำบาดาล

798.29

-

8. กองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ

35.22

-

9. กองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์

14.63

-

10. กองทุนพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา

28.48

-

11. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย

-

1.71

12. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อจัดทำแผ่นป้ายทะเบียนรถ

-

606.00

13. กองทุนสิ่งแวดล้อม

-

81.41

14. กองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน

-

327.68

รวม

1,950.11

1,162.74

             

*หมายเหตุ  :      1. ทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน

= เงินคงเหลือ ณ วันต้นปีบัญชี - จำนวนเงินสะสมสูงสุดที่คำนวณได้

              2. ทุนหมุนเวียนข้างต้นได้ตรวจสอบข้อมูลการคำนวณจำนวนเงินสะสมสูงสุด  ทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนที่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน  และความเพียงพอของจำนวนเงินสะสมสูงสุดที่ทุนหมุนเวียนพึงมีไว้ใช้จ่ายในการดำเนินงานตามนัยมาตรา 6 และ 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาการกำหนดจำนวนเงินสะสมสูงสุด  และการนำทุนหรือผลกำไรส่วนเกินของทุนหมุนเวียนส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน พ.ศ. 2561 และได้แจ้งยืนยันผลการคำนวณดังกล่าวต่อกรมบัญชีกลางเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ด้วยแล้ว

 

15. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนกันยายน 2563

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนกันยายน 2563 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้

              สาระสำคัญ และข้อเท็จจริง

  1. สรุปสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนกันยายน ปี 2563

                        ภาพรวมส่งออกของไทย มีการฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อโลก (Global Manufacturing PMI) ที่ปรับตัวดีขึ้นเหนือระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และการคาดการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลกของ IMF มีมุมมองบวกมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกของไทยเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ 19,621.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.86 ขณะที่การส่งออก 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน) หดตัวร้อยละ 7.33

                        สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ยังคงเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1) สินค้าอาหาร เช่น ข้าวกล้อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง สุกรสดแช่เย็นแช่แข็ง เครื่องดื่ม สิ่งปรุงรสอาหาร และอาหารสัตว์เลี้ยง 2) สินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานที่บ้าน (Work from Home) และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เช่น คอมพิวเตอร์ เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตู้เย็นและตู้แช่แข็ง เครื่องซักผ้า และโซลาร์เซลล์ 3) สินค้าเกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อและลดการแพร่ระบาด เช่น ถุงมือยาง โดยเฉพาะในประเทศที่มีการแพร่ระบาดสูงอย่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ขณะที่ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงสำหรับประเทศที่มีการระบาดรุนแรงในฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะเมียนมา

                        ด้านตลาดส่งออก ตลาดสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่หลายตลาดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะจีน ออสเตรเลีย เวียดนาม มาเลเซีย และเกาหลีใต้

        มูลค่าการค้าในรูปของเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนกันยายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 19,621.32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.86 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) การนำเข้า มีมูลค่า 17,391.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 9.08 การค้าเกินดุล 2,230.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 172,996.10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 7.33 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 152,372.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ 14.64 ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 20,623.68 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

                        มูลค่าการค้าในรูปของเงินบาท เดือนกันยายน 2563 การส่งออก มีมูลค่า 609,838.49 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 2.24 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า548,019.22 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 7.59 การค้าเกินดุล 61,819.27 ล้านบาท ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2563 การส่งออก มีมูลค่า 5,387,040.22 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 7.69 ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า4,805,888.12 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 15.14 ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2563 การค้าเกินดุล 581,152.10 ล้านบาท

                        มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร กลับมาขยายตัวร้อยละ 3.1 (YoY) หลังจากหดตัว 3 เดือนติดต่อกัน สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ น้ำมันปาล์ม ขยายตัวร้อยละ 435.3 (ขยายตัวในอินเดีย มาเลเซีย เมียนมา จีน และกัมพูชา) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ ที่ร้อยละ 50.3 (ขยายตัวในจีน สหรัฐฯ เวียดนาม ฮ่องกง มาเลเซีย และเกาหลีใต้) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 29.5 (ขยายตัวในจีน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และบังกลาเทศ) สิ่งปรุงรสอาหาร ขยายตัวร้อยละ 17.7 (ขยายตัวในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ กัมพูชา และเยอรมนี) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัวร้อยละ 16.7 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ น้ำตาลทราย หดตัวร้อยละ 59.9 (หดตัวในเกือบทุกตลาด อาทิ อินโดนีเซีย กัมพูชา ลาว เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม) ข้าว หดตัวร้อยละ 22.7 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ แคเมอรูน ฮ่องกง และจีน) ยางพารา หดตัวที่ร้อยละ 12.2 (หดตัวในเกือบทุกตลาด อาทิ จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ตุรกี และบราซิล) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป หดตัวร้อยละ 3.8 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี) ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 3.8

                        มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 3.9 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 5 เดือน แต่มีทิศทางการหดตัวน้อยกว่าเดือนที่ผ่านมา สินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 34.1 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ เวียดนาม ฮ่องกง บราซิล ญี่ปุ่น และจีน) ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 29.7 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เวียดนาม และมาเลเซีย) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 27.2 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฮ่องกง เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 26.3 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เวียดนาม และมาเลเซีย) เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ขยายตัวร้อยละ 25.2 (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เวียดนาม มาเลเซีย อาร์เจนติน่า และเกาหลีใต้) ผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัวร้อยละ 21.2 (ขยายตัวหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสหราชอาณาจักร) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ กลับมาขยายตัวในเดือนนี้ ที่ร้อยละ 14.6 (ขยายตัวในหลายตลาด อาทิ สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ฯลฯ) ถุงมือยาง ขยายตัวร้อยละ 154.9 (ขยายตัวทุกตลาด อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน ญี่ปุ่น และเยอรมนี) สินค้าที่หดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 58.9 เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 23.7 (หดตัวในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย เม็กซิโก และเนเธอร์แลนด์) รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 15.3 (หดตัวในหลายตลาด อาทิ เวียดนาม จีน แม็กซิโก ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ซาอุดิอาระเบีย และแอฟริกาใต้) สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 13.6 (หดตัวแทบทุกตลาด อาทิ จีน เวียดนาม มาเลเซีย กัมพูชา และอินโดนีเซีย) ทองคำ กลับมาหดตัวในเดือนนี้ที่ร้อยละ 9.2 (หดตัวในออสเตรเลีย ฮ่องกง และอิตาลี) ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2563 สินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 7.3

                        ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่างๆ มีดังนี้ 1) การส่งออกไปตลาดหลักขยายตัวร้อยละ 6.3 โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 19.7 ขณะที่ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (15) ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนมาก โดยหดตัวร้อยละ 1.9 และร้อยละ 4.4 ตามลำดับ 2) การส่งออกไปตลาดศักยภาพสูง หดตัวร้อยละ 8.1 จากการส่งออกไปอาเซียน(5) CLMV และเอเชียใต้ หดตัวร้อยละ 15.6 4.8 และ 6.3 ตามลำดับ ขณะที่ตลาดจีนกลับมาขยายตัวร้อยละ 6.9 และ 3) การส่งออกไปตลาดศักยภาพระดับรอง หดตัวร้อยละ 10.1 ตามการส่งออกไปตะวันออกกลาง (15) หดตัวร้อยละ 26.1 ลาตินอเมริกา หดตัวร้อยละ 14.5 รัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัวร้อยละ 31.5 และทวีปแอฟริกา หดตัวร้อยละ 15.3 ขณะที่การส่งออกไปทวีปออสเตรเลีย (25) กลับมาขยายตัวในรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 2.1

                   2. แนวโน้มและมาตรการส่งเสริมการส่งออกปี 2563

       การส่งออกไทยส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง การส่งออกไปตลาดสำคัญหลายตลาดกลับมาขยายตัวอีกครั้ง รวมถึงตลาดอื่นๆ ที่แม้จะยังหดตัว แต่มีการหดตัวลดลงซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี และเมื่อพิจารณารวมกับการกลับมาขยายตัวต่อเนื่องของสินค้าอุตสาหกรรมหลายรายการ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้เห็นแนวโน้มที่ดีของการส่งออกไทยที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี

                        มาตรการส่งเสริมการส่งออก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้เร่งผลักดันสินค้าไทยผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน และจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ โดยใช้การเจรจาออนไลน์เพื่อหาออเดอร์ส่งออก ปรับรูปแบบการอบรมสัมมนาโดยผ่าน Facebook Live Webinar และ Zoom เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าถึงองค์ความรู้ได้เร็ว ลดการเดินทาง และสอดรับกับวิถีชีวิตยุคใหม่ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรมอาหาร ตามมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกระบวนการผลิตอาหารส่งออก (COVID-19 Prevention Best Practice) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้นำเข้าสินค้าอาหาร และเป็นการรับรองว่าสินค้าไทยปราศจากเชื้อในกระบวนการผลิต ซึ่งจะทำให้สินค้าอาหารของไทยสามารถขยายการส่งออกและเจาะกลุ่มตลาดใหม่ๆ ได้ในอนาคตอีกด้วย

 

16. เรื่อง โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca)

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอดังนี้

                1. เห็นชอบโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับ ประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) และการจัดซื้อวัคซีนกับบริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด ในวงเงิน 6,049,723,117.- บาท โดยให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติจัดทำสัญญาการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า (Advance Market Commitment; AMC) ภายใต้เงื่อนไขว่ามีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนหรือไม่ได้รับวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่น ๆ ในวงเงิน 2,379,430,600 บาท และให้กรมควบคุมโรคจัดทำสัญญาในการจัดซื้อและบริหารจัดการวัคซีนที่ได้จากการจองล่วงหน้านั้น เมื่อคู่สัญญาสามารถจัดหาวัคซีนได้สำเร็จ (Purchase Agree For Supply of AZD1222 in Thailand; PA)) ในวงเงิน 3,670,292,517.- บาท โดยให้ดำเนินการจัดทำสัญญาทั้ง 2 ฉบับ เป็นสัญญาในโครงการที่เกี่ยวข้องแบบสัญญาเป็นชุด ตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ระบุในร่างสัญญา โดยให้จัดทำในคราวเดียวกัน โดยสัญญาจัดซื้อวัคซีนมีผลผูกพันเมื่อได้รับงบประมาณเรียบร้อยแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ ให้กรมควบคุมโรคจัดทำคำของบประมาณสำหรับการจัดซื้อวัคซีนตามสัญญาดังกล่าวต่อไป

                2. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อจัดหาวัคซีนโควิด 19 โดยการจองล่วงหน้า ในวงเงิน 2,379,430,600 บาท ให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อดำเนินการจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า (Advance Market Commitment; AMC) จากบริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด ภายใต้เงื่อนไขว่า มีโอกาสที่จะได้รับวัคซีน หรือไม่ได้รับวัคซีนดังกล่าว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลการวิจัยพัฒนาหรือเหตุอื่น ๆ

                สาระสำคัญ

                1. โครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVD-19) สำหรับ ประชาชนไทยโดยการจองล่วงหน้า (AstraZeneca) มีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยการจองล่วงหน้า สำหรับให้บริการแก่ประชาชนไทยได้ในเวลาที่ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ผ่านความร่วมมือแบบทวิภาคีกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 ภายใต้กรอบวงเงิน 6,049,723,117.- บาท ประกอบด้วย

                        1) เงินจัดหาวัคซีนโดยการจองล่วงหน้า วงเงิน 2,379,430,600 บาทรับผิดชอบโดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ซึ่งหนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร 0723/3471 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 แจ้งว่าได้นำเรื่องนี้กราบเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแล้วนายกรัฐมนตรีมีบัญชาอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ดำเนินโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับประชาชนไทย โดยการจองล่วงหน้าแบบทวิภาคี กับผู้ผลิตวัคซีนบริษัท AstraZeneca จำกัด ตามนัยพระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีนแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มาตรา 18 มาตรา 21 และมาตรา 22 โดยมีสาระสำคัญในการทำความตกลงและร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศในกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยี่ยวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 งบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนทั่วไป ภายในวงเงิน 2,379,430,600 บาท

                        2) เงินจัดซื้อวัคซีน ที่ได้จากการจองล่วงหน้า มื่อคู่สัญญาสามารถจัดหาวัคซีนให้ได้สำเร็จ วงเงิน 1,586,287,067.- บาท รับผิดชอบโดยกรมควบคุมโรค

                        3) เงินบริหารจัดการวัคซีน วงเงิน 2,084,005,450.- บาท รับผิดชอบโดยกรมควบคุมโรค

                2. ระยะเวลาดำเนินการ

                    เดือนพฤศจิกายน 2563 ถึง ธันวาคม 2564

                3. เป้าหมาย

                    จำนวนวัคซีนที่จะดำเนินการจัดหา โดยการจองล่วงหน้าผ่านความร่วมมือแบบทวิภาคีกับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่กำลังทดสอบวัคซีนในคนระยะที่ 3 ได้แก่ บริษัท AstraZeneca (Thailand) จำกัด และบริษัท AstraZeneca UK จำกัด จำนวน 26 ล้านโด๊ส

                4. ประโยชน์ที่ได้รับ

                    ประเทศไทยสามารถจัดหาวัคซีนได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และจะทำให้ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว ลดการสูญเสียเชิงเศรษฐกิจได้เป็นมูลค่ากว่าสี่แสนล้านบาท

                5. ผลผลิต

                    จำนวนวัคซีน 26 ล้านโด๊ส สำหรับประชากรกลุ่มเป้าหมายตามคำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จำนวน 13 ล้านคน

                6. ผลลัพธ์

                    ประชากรกลุ่มเป้าหมายตามคำแนะนำของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค

                7. ผลกระทบ

                    ลดอัตราการป่วย การเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายภาครัฐในการดูแลผู้ป่วยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคมให้กลับสู่สภาวะปกติได้โดยเร็ว

                8. หน่วยงานรับผิดชอบ

                    กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติ และกรมควบคุมโรค

 

17.  การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคมกำหนดอัตราค่าผ่านทางพิเศษในวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษและเลื่อนวันหยุดชดเชตในเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม พ.ศ. 2563 ตามมติคณะรัฐมนตรี

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเรื่องการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บาพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถีเป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษกาญจนภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) และทางพิเศษสายเชื่อม

ระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรม กับทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี – สุขสวัสดิ์) เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ  ดังนี้ 

                กระทรวงคมนาคมเสนอว่า  เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนในการเดินทางและสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางพิเศษบูรพาวิถี และทางพิเศษกาญจนาภิเษก(บางพลี –สุขสวัสดิ์) ในช่วงวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษและเลื่อนวันหยุดชดเชยในช่วงเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ตามมติคณะรัฐนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2563 รวมถึงให้สอดคล้องกับการยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษของกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคมจะดำเนินการออกประกาศกระทรวงคมนาคมรวม 4 ฉบับ โดยจะให้มีผลใช้บังคับในช่วงระยะเวลาวันหยุดต่อเนื่องพิเศษและการเลื่อนวันหยุดชดเชยตั้งแต่วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563 เวลา 24.00  นาฬิกา และตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2563 เวลา 00.01 นาฬิกา ถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2563 เวลา 24.00 นาฬิกา ของทั้งสองเส้นทางดังกล่าวต่อไป

                การทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้จัดทำผลการวิเคราะห์ปริมาณจราจรที่ใช้ทางพิเศษและรายได้ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยไม่ได้เรียกเก็บและผลประโยชน์ที่ได้รับในการยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษดังกล่าว ดังนี้

                1. กรณีวันหยุดราชการต่อเนื่องระหว่างวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2563

                        (1) ทางพิเศษบูรพาวิถี

ผลการวิเคราะห์

เฉลี่ย/วัน

หาก การทางพิเศษฯ ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 6 วัน

ปริมาณจราจร

165,131 คัน/วัน

990,786 คัน

รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ

6,603,589 บาท/วัน

39,621,534 บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับ

-VOC Saving

- VOT Saving

 

2,940,876 บาท/วัน

5,497,905 บาท/วัน

 

17,645,256 บาท

32,987,430 บาท

รวม

8,438,781 บาท/วัน

50,632,686 บาท

 

 

                     (2) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์)

ผลการวิเคราะห์

เฉลี่ย/วัน

หาก การทางพิเศษฯ ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 6 วัน

ปริมาณจราจร

236,455 คัน/วัน

1,418,730 คัน

รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ

9,824,705 บาท/วัน

58,948,230 บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับ

-VOC Saving

- VOT Saving

 

4,389,259 บาท/วัน

6,232,096 บาท/วัน

 

26,335,554 บาท

37,392,576 บาท

รวม

10,621,355 บาท/วัน

63,728,130 บาท

 

                2. กรณีวันหยุดราชการต่อเนื่องระหว่างวันที่ 9 ธันวาคม 2563 ถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2563

                     (1) ทางพิเศษบูรพาวิถี

ผลการวิเคราะห์

เฉลี่ย/วัน

หาก การทางพิเศษฯ ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 6 วัน

ปริมาณจราจร

165,131 คัน/วัน

990,786 คัน

รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ

6,603,589 บาท/วัน

39,621,534 บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับ

-VOC Saving

- VOT Saving

 

2,940,876 บาท/วัน

5,497,905 บาท/วัน

 

17,645,256 บาท

32,987,430 บาท

รวม

8,438,781 บาท/วัน

50,632,686 บาท

 

 

                     (2) ทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์)

ผลการวิเคราะห์

เฉลี่ย/วัน

หาก การทางพิเศษฯ ยกเว้นค่าผ่านทาง รวม 6 วัน

ปริมาณจราจร

236,455 คัน/วัน

1,418,730 คัน

รายได้ที่ไม่ได้เรียกเก็บ

9,824,705 บาท/วัน

58,948,230 บาท

ผลประโยชน์ที่ได้รับ

-VOC Saving

- VOT Saving

 

4,389,259 บาท/วัน

6,232,096 บาท/วัน

 

26,335,554 บาท

37,392,576 บาท

รวม

10,621,355 บาท/วัน

63,728,130 บาท

 

18. ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2563

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2563 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง ภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2563 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดังนี้

              1. ความเคลื่อนไหวทางสังคมไตรมาสสาม ปี 2563

1.1 อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง และชั่วโมงการทำงานยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ และความเป็นอยู่ของครัวเรือนในด้านต่างๆ อีกทั้งแรงงานจบใหม่ แรงงานอายุน้อย และมีการศึกษาสูงยังมีปัญหาการว่างงานเป็นจำนวนมาก

อัตราการว่างงาน ไตรมาสสาม มีผู้ว่างงานทั้งสิ้น 7.4 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานเท่ากับ 1.90 ใกล้เคียงกับร้อยละ 1.95 จากไตรมาสที่แล้วซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รุนแรง แรงงานอายุน้อยและการศึกษาสูงมีปัญหาการว่างงานมากกว่าคนกลุ่มอื่น เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษา พบว่าผู้จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษามีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อยละ 3.15 สูงสุดตั้งแต่ปี 2554 รองลงมาเป็นระดับ ปวช. และ ปวส. ร้อยละ 2.79 และ 2.73 ตามลำดับ ขณะเดียวกันแรงงานที่มีอายุระหว่าง 15-19 ปี และ 20-24 ปี มีอัตราการว่างงานสูงขึ้นในไตรมาสนี้เช่นกันที่ร้อยละ 9.4 และ 7.9 ตามลำดับ ชี้ว่าแรงงานที่มีการศึกษาสูงและอายุน้อยเป็นกลุ่มที่ต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง แรงงานในระบบมีการว่างงานเพิ่มขึ้น จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคม พบว่า ผู้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานมีจำนวน 4.88 แสนคน คิดเป็นอัตราผู้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานต่อผู้ประกันตนภาคบังคับที่ร้อยละ 4.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 3.5 ทั้งนี้ การว่างงานในระบบที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว ขณะที่การว่างงานในภาพรวมค่อนข้างทรงตัว ชี้ให้เห็นว่าแรงงานในระบบเมื่อตกงานจะเคลื่อนย้ายไปทำงานนอกระบบเพิ่มขึ้น อาทิ ประกอบอาชีพอิสระ หรือทำเกษตรกรรม ซึ่งจะมีผลต่อผลิตภาพแรงงาน การว่างงานชั่วคราวปรับตัวลดลง ขณะที่ข้อมูลจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานมีสถานประกอบการขอใช้มาตรา 75 จำนวน 1,387 แห่ง ครอบคลุมแรงงาน 3.3 แสนคน ลดลงจากไตรมาสก่อนที่มีจำนวน 7.9 แสนคน

การจ้างงานในไตรมาสสาม ปี 2563 เพิ่มขึ้น โดยผู้มีงานทำมีจำนวน 37.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2562 เป็นการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่ร้อยละ 1.8 ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีการเปิดเป็นปกติมากขึ้น ประกอบกับฐานการจ้างงานนอกภาคเกษตรในช่วงเดียวกันปีที่แล้วลดต่ำลงมากจากผลกระทบการส่งออกที่หดตัวและมีการใช้กำลังการผลิตลดลง ทั้งนี้ สาขาที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นได้แก่ สาขาก่อสร้าง การขายส่งและขายปลีก การขนส่ง/เก็บสินค้า ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 4.6 และ 3.3 ตามลำดับ แต่สาขาการผลิตยังคงหดตัวร้อยละ 1.4 ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ซึ่งนอกจากคำสั่งซื้อที่ลดลงแล้ว อุตสาหกรรมเหล่านี้ยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และการแข่งขันกับต่างประเทศ สำหรับภาคเกษตรกรรมแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกแต่เนื่องจากในหลายพื้นที่ของประเทศยังคงประสบปัญหาภัยแล้ง ทำให้การจ้างงานภาคเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 0.1 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

แม้แรงงานจะมีงานทำแต่ไม่ได้เป็นการทำงานอย่างเต็มที่ ดังจะเห็นได้จากชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วจากจาก 43.5 ชั่วโมง/สัปดาห์ เป็น 41.6 ชั่วโมง/สัปดาห์ และจำนวนผู้ที่ทำงานล่วงเวลาหรือผู้ที่ทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ลดลงร้อยละ 19.7 ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณผลผลิตและรายได้ของแรงงานที่อาจจะลดลงตามชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเนื่องไปถึงกำลังซื้อของครัวเรือน

ประเด็นที่ต้องติดตามด้านแรงงาน จากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่กระทบต่อตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสก่อน แม้จะมีสัญญาณการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น
ในไตรมาสสามนี้ แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามในระยะต่อไป ดังนี้ (1) ความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดระลอกที่สอง ปัจจุบันรัฐบาลได้ดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้สามารถเดินทางมายังประเทศไทยได้ ภายใต้ข้อกำหนดทางสาธารณสุข แม้มาตรการดังกล่าวจะมีข้อดีต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่ต้องมีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดทุกขั้นตอนในการคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าประเทศ เพื่อมิให้เกิดการแพร่ระบาดรอบสองซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และการจ้างงานที่รุนแรงยิ่งขึ้น (2) การเข้าร่วมมาตรการจ้างงานของรัฐ ปัจจุบันรัฐบาลมีมาตรการที่ส่งเสริมการจ้างงานกับกลุ่มผู้ตกงานและกลับต่างจังหวัด และกลุ่มเด็กจบใหม่ที่มีปัญหาการว่างงานสูง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการและแรงงานยังเข้าใช้มาตรการดังกล่าวน้อย โดยเฉพาะโครงการให้เงินอุดหนุนกับผู้ประกอบการที่มีการจ้างงานเด็กจบใหม่ มีสถานประกอบการแจ้งความจำนงใช้มาตรการนี้แล้วจำนวน 88,564 ตำแหน่ง แต่มีแรงงานลงทะเบียนจำนวน 57,096 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำข้อตกลงโครงการฯ 4,114 ฉบับ (ข้อมูล ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2563) (3) ผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อการจ้างงานภาคเกษตรกรรม โดยปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563) สถานการณ์อุทกภัยได้สร้างความเสียหายต่อครัวเรือนและพื้นที่การเกษตรอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาสสี่ ปัจจุบันมี 35 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่การเกษตรเสียหายแล้วกว่า 1.99 แสนไร่ และ (4) คุณภาพชีวิตของแรงงาน การว่างงานและการลดชั่วโมงการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรงงานได้รับรายได้ลดลง และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงคุณภาพชีวิตของแรงงาน ความสามารถในการชำระหนี้ และปัญหาความยากจน

จากสถานการณ์และประเด็นข้างต้น การส่งเสริมให้ตลาดแรงงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อาจช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น และช่วยให้แรงงานปรับตัวได้มากขึ้น ซึ่งสามารถดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อบรรเทาผลกระทบได้ ดังนี้ (1) การส่งเสริมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระมีเงินทุนและมีสถานที่ค้าขาย อาทิ การส่งเสริมให้มีตลาดนัด หรือ Street Food ในแต่ละพื้นที่และชุมชน ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางในการทำอาชีพ และสร้างรายได้ให้แรงงานโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกระบบได้มากขึ้น (2) การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการภายใต้ พ.ร.ก. เงินกู้ฯ ที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว จำนวน 202 โครงการ เพื่อให้เกิดการสร้างงาน จ้างงาน และสร้างรายได้ ตามแนวทางที่ได้กำหนดไว้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานเป็นระยะเวลา 3-12 เดือน จำนวน 3.4 แสนตำแหน่ง และ (3) การส่งเสริมการพัฒนาทักษะทั้งผู้จบการศึกษาใหม่เพื่อให้พร้อมที่จะทำงาน และผู้ที่เคยทำงานมาแล้วหรือมีงานทำให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหรือมีทักษะใหม่ที่จะทำให้สามารถปรับเปลี่ยนงานได้ กลุ่มผู้จบการศึกษาใหม่ที่เข้าสู่ตลาดแรงงานแต่ยังไม่สามารถหางานได้ ควรได้รับการพัฒนาให้มีทักษะที่จำเป็นในการทำงาน อาทิ ทักษะด้านภาษา ทักษะด้านเทคโนโลยี ทักษะการเจรจาต่อรอง สำหรับผู้ที่เคยทำงานมาแล้วหรือทำงานอยู่ ต้องพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมเวทีเศรษฐกิจโลกปี 2020 (World Economic Forum 2020) ระบุทักษะที่จำเป็นต่อการทำงาน อาทิ ทักษะการใช้เทคโนโลยีในการคิดวิเคราะห์ ทักษะในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ทักษะในการให้บริการหรือการมีจิตใจในการให้บริการที่ดี ทักษะการบริหารจัดการทางการเงินและทรัพยากร ทักษะความเป็นผู้นำและการมีอิทธิพลทางสังคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

1.2 หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว ขณะที่คุณภาพสินเชื่อยังต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

สถานการณ์หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสองปี 2563 มีมูลค่า 13.59 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ชะลอลงจากร้อยละ 4.1 ในไตรมาสก่อน และคิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 83.8 เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง รวมถึงมูลค่าหนี้ครัวเรือนที่ยังคงเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางทางการเงินของครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหรือมีความเสี่ยงทางรายได้และการมีงานทําจากวิกฤตทางเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้น ขณะที่ภาพรวมคุณภาพสินเชื่อยังมีความเสี่ยงและต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด โดยจากข้อมูลยอดคงค้างหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นไตรมาสสองปี 2563 มีมูลค่า 152,501 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 19.7 และมีสัดส่วนร้อยละ 3.12 ต่อสินเชื่อรวม ลดลงจากสัดส่วนร้อยละ 3.23 ในไตรมาสก่อน โดยเป็นผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้ที่ทำให้ภาพรวมคุณภาพหนี้มีสถานการณ์ดีขึ้น

แนวโน้มหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสาม ปี 2563 คาดว่า ความต้องการสินเชื่อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการระบาดและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้น เช่นเดียวกับสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP รวมถึงยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) ที่มีแนวโน้มปรับสูงขึ้นได้ตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวและสัญญาณการฟื้นตัวที่ยังไม่ชัดเจน

ผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อหนี้ครัวเรือนไทยถือเป็นวิกฤตที่สะท้อนและตอกย้ำถึงความเปราะบางทางการเงินและปัญหาเชิงโครงสร้างของครัวเรือนไทย จากการขาดหลักประกันและภูมิคุ้มกันในการรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐและสถาบันทางการเงินได้มีมาตรการในการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทั้งในกลุ่มลูกหนี้รายย่อยและกลุ่มธุรกิจ ซึ่งในระยะต่อไปหากระยะเวลาของมาตรการช่วยเหลือสิ้นสุดลง และสถานการณ์ทางเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว จะเสี่ยงเกิดหนี้เสียเป็นจำนวนมาก และครัวเรือนอาจมีการก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น โดยเฉพาะการก่อหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายของทั้งภาครัฐและสถาบันการเงินในการออกแบบนโยบายการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในสภาวะของความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น

1.3 การเจ็บป่วยโดยรวมลดลง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังโรคที่มีแนวโน้มจะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในช่วงฤดูหนาว การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลงร้อยละ 68.1 เป็นการลดลงในเกือบทุกโรค โดยโรคเฝ้าระวังในช่วงฤดูฝน อาทิ ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ลดลงร้อยละ 93.4 ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบลดลงร้อยละ 44.9 และผู้ป่วยด้วยโรคไข้เลือดออกลดลงร้อยละ 34.4 สาเหตุเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ทำให้ประชาชนเฝ้าระวังและดูแลตัวเองมากขึ้น รวมทั้งการกักตัวเองอยู่บ้าน และการเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างไรก็ตาม ยังคงมีประเด็นติดตามและเฝ้าระวังสุขภาพและโรคที่มีแนวโน้มจะพบผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป จากการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว อาทิ โรคปอดอักเสบ โรคไข้หวัดใหญ่ และภัยสุขภาพ อาทิ การเสียชีวิตจากอากาศหนาว ปัญหาฝุ่น PM 2.5 รวมถึงโรคที่มีผู้ป่วยสูงขึ้น อาทิ โรค RSV และวัณโรค

1.4 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลง ไตรมาสสาม ปี 2563 การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ลดลงร้อยละ 5.5 โดยการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงร้อยละ 7.5 และการบริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ 2.5 การดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นมาตรการในระดับประเทศ ทั้งการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ การจำกัดการเข้าถึง การควบคุมการตลาด และมาตรการด้านภาษีและราคา ยังขาดการให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกการจัดการปัญหาระดับชุมชนท้องถิ่นที่อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้โดยตรง เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับประชาชนและผู้บริโภค เข้าใจบริบททางด้านสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และชุมชนท้องถิ่น ร่วมกันเรียนรู้เพื่อแก้ไขปัญหาของพื้นที่อย่างจริงจังจนเกิดเป็นข้อตกลงร่วมของคนในชุมชน ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

1.5 คดีอาญารวมลดลง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังกลุ่มเด็กและเยาวชนเข้าสู่วงจร
การพนันได้ง่ายจากการโฆษณาผ่านช่องทางต่างๆ สถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับ “Tier 2” ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม ไตรมาสสาม ปี 2563 คดีอาญารวมลดลงร้อยละ 25.3 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2562 โดยคดียาเสพติดลดลงร้อยละ 27.4 คดีชีวิตร่างกายและเพศลดลงร้อยละ 10.1 คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ลดลงร้อยละ 13.6 แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังกลุ่มเด็กและเยาวชนเข้าสู่วงจรการพนันได้ง่าย โดยเฉพาะการพนันออนไลน์ที่มีความรุนแรงกว่าการพนันชนิดอื่นถึงสามเท่า ปัจจุบันมีหลายเว็บการพนันออนไลน์เปิดให้บริการเล่นการพนันต่างๆ ตลอดทั้งวัน โดยเข้าใช้งานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เล่นผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ กลุ่มวัยรุ่นเป็นกลุ่มที่เข้าสู่วงจรการพนันสูงที่สุดจากการพบเห็นโฆษณาที่มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เชิญชวน ในส่วนของสถานการณ์การค้ามนุษย์ของประเทศไทยปี 2563 จากรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ (TIP Report) ปี 2020 ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดอันดับให้ประเทศไทยยังคงอยู่ในกลุ่ม “Tier 2” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยยังคงเพิ่มความพยายามอย่างสำคัญในการป้องกันแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยรวมต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญต่อการดำเนินงานของประเทศไทย

1.6 การเกิดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตลดลง แต่ยังต้องเฝ้าระวังการเกิดอุบัติเหตุจากจักรยานยนต์ที่ยังสูงเป็นลำดับแรก ไตรมาสสาม ปี 2563 สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกและผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ 2.7 และ 12.4 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจากบุคคลสูงสุดคือ ขับรถตัดหน้ากระชั้นชิดร้อยละ 36 รองลงมาได้แก่ ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดร้อยละ 35.6 สถิติการเกิดอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ยังสูงเป็นลำดับแรก และกระแสความนิยมการขับขี่รถจักรยานยนต์ที่มีกำลังขับสูง เช่น รถบิ๊กไบค์มีมากขึ้นทั้งยังพบการเกิดอุบัติเหตุบนถนนบ่อยครั้ง เพื่อลดอุบัติเหตุบนท้องถนน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เห็นความสำคัญกับการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ประเภทบิ๊กไบค์ด้วยการสร้างมาตรฐานสำหรับความปลอดภัยให้ผู้ขับขี่ รวมถึงการลดความเสี่ยงต่อการเกิดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน

1.7 การร้องเรียนผ่าน สคบ. และกสทช. เพิ่มขึ้น ไตรมาสสาม ปี 2563 สคบ. ได้รับการร้องเรียนสินค้าและบริการเพิ่มจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนร้อยละ 7.5 โดยการร้องเรียนด้านขายตรงและตลาดแบบตรงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35.2 เนื่องจากมีการรวมตัวร้องเรียนบริษัทธุรกิจขายตรงที่ฉวยโอกาสจากวิกฤต COVID-19 หลอกให้ร่วมลงทุน ขณะที่การร้องเรียนผ่าน กสทช. เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 จากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องมาตรฐานและคุณภาพการให้บริการ นอกจากนี้ ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการซื้อขายออนไลน์ข้ามประเทศ (Cross-Border E-Commerce : CBEC) ที่กำลังเติบโตไปตามการพัฒนาของนวัตกรรม การปรับตัวทางธุรกิจ และวิถีชีวิตของผู้คน ซึ่งส่งผลให้ห่วงโซ่การค้ามีความซับซ้อนมากขึ้น และเกิดช่องทางในการเอาเปรียบผู้บริโภค เนื่องจากสินค้าที่นำเข้ามาในช่องทาง CBEC นั้นอาจมีปัญหาด้านคุณภาพ เพราะไม่ได้ผ่านการขออนุญาตจาก อย. หรือผ่านการตรวจสอบคุณภาพจาก มอก. ทำให้อาจมีการผลิตสินค้าปลอม/เลียนแบบ สินค้าไม่ได้มาตรฐาน/ใช้งานไม่ได้จริง โดยอาศัยการทำการตลาดด้านราคาเพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค ซึ่งการดำเนินการเมื่อเกิดปัญหาจะมีความยากลำบาก เนื่องจากมีอุปสรรคทางด้านภาษา ระยะทาง หรือข้อจำกัดอื่นๆ ดังนั้น ควรมีมาตรการมากำกับดูแลเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอย่างจริงจัง

2.  สถานการณ์ทางสังคมที่สำคัญ

2.1 ความพร้อมของระบบสาธารณสุขไทยกับการรับมือการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การเปิดรับนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ หรือ STV (Special Tourist Visa) เป็นมาตรการที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันได้มีการวางมาตรการและแนวทางด้านสาธารณสุขสำหรับชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้ามาอย่างเคร่งครัด และได้เตรียมความพร้อมทางด้านทรัพยากรทางการแพทย์ในด้านต่างๆ อาทิ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) ซึ่งเป็นยาสำคัญตัวหนึ่งที่ใช้ในการรักษา หน้ากาก N95 ชุด PPE รวมถึงสถานที่กักกันมากกว่าหนึ่งพันแห่ง ที่จำแนกเป็น State Quarantine (SQ) Alternative State Quarantine (ASQ) Local Quarantine (LQ) และ Organization Quarantine (OQ) ซึ่งกระจายอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และสามารถรองรับผู้ที่ต้องเข้ารับกักตัวได้มากกว่า 46,000 คน นอกจากนี้ ยังมีเตียงจากห้อง Isolation room และห้อง AIIR-CU ในการรองรับกรณีที่ต้องเข้ารับการรักษาอีก 6,700 เตียง (ข้อมูล ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2563) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเตรียมความพร้อมของทรัพยากรสาธารณสุขในด้านต่างๆ แต่การรณรงค์ให้คนไทยดูแลป้องกันตนเอง เน้นย้ำแนวทางปฏิบัติในการควบคุมโรคต่อเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน เพื่อไม่ให้เกิดการตื่นตระหนก และไม่ยึดติดกับการปลอดผู้ติดเชื้อในประเทศ อีกทั้งควรให้ความสำคัญกับมาตรการตรวจคัดกรอง แยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกต TTI (Testing-Tracing-Isolation) ซึ่งเป็นจุดคานงัดสำคัญในการรับมือและควบคุมเมื่อเกิดกรณีมีการแพร่ระบาด

2.2 สถานการณ์ปัญหาแม่วัยรุ่นในประเทศไทย สถานการณ์อัตราการมีบุตรของวัยรุ่น (อายุ 15–19 ปี) ในประเทศไทยในภาพรวมลดลงจาก 51 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2558 เหลือ 23 คนต่อประชากร 1,000 คนในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ยังพบอัตราการมีบุตรของแม่วัยรุ่นมากในภาคเหนือและภาคใต้ โดยภาคเหนืออัตราการมีบุตร 42 คนต่อประชากร 1,000 คน ภาคใต้อัตราการมีบุตร 35 คนต่อประชากร 1,000 คน และอัตราการมีบุตรของแม่วัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 15 ปี (แม่วัยใส) มากที่สุดคือ ร้อยละ 0.8 โดยแม่วัยรุ่นส่วนมากมีการศึกษาน้อยคือ จบการศึกษาระดับประถมศึกษามากที่สุด 130 คนต่อประชากร 1,000 คน และจะลดลงเรื่อยๆ ตามระดับการศึกษาของผู้หญิงที่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าการรักษา การคงอยู่ในระบบการศึกษาของวัยรุ่นจะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาดังกล่าว รวมทั้งครัวเรือนยากจนจะมีปัญหาแม่วัยรุ่นสูงกว่าครัวเรือนรายได้สูง ซึ่งมีปัญหาการมีบุตรของแม่วัยรุ่นส่งผลกระทบต่อสุขภาพ อาทิ ภาวะเลือดจางในหญิงตั้งครรภ์ ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะซึมเศร้าหลังการคลอดบุตร เด็กมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากภาวะครรภ์เป็นพิษ มีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม มารดาวัยรุ่นจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา ส่งผลให้รายได้ที่น้อยตามระดับการศึกษาที่น้อย รายได้ไม่เพียงพอให้เลี้ยงดูบุตรได้เหมาะสม เกิดความเครียด การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาการส่งต่อโอกาสในการเรียนต่อในระดับสูงของเด็ก จนก่อเป็นวัฏจักรความจน (เพิ่มโอกาสเป็นแม่วัยรุ่นและการส่งต่อความยากจน) แนวทางการแก้ปัญหาแม่วัยรุ่นที่สำคัญคือ การเพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวังและติดตามเด็กและเยาวชนในกลุ่มครัวเรือนที่มีความเปราะบาง กลุ่มเด็กที่มีพฤติกรรมเสี่ยง โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างครอบครัวและโรงเรียน การสร้างค่านิยมเรื่องเพศสัมพันธ์ที่มีสุขภาวะและการป้องกันการท้องไม่พร้อม การสอดแทรกการสอนเรื่องทักษะชีวิตและผลที่ตามมาของการท้องไม่พร้อมให้เด็กได้รับรู้ และการรักษา การคงอยู่ในระบบการศึกษาของวัยรุ่นซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการช่วยลดปัญหาดังกล่าว

  1. COVID-19 ต่อความยากจน”

สถานการณ์ความยากจนของประเทศไทยก่อนการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2531-2562 มีทิศทางที่ดีขึ้น โดยสัดส่วนคนยากจนมีแนวโน้มลดลงมาก จากร้อยละ 65.17 เมื่อปี 2531 เหลือร้อยละ 6.24 ในปี 2562 คิดเป็นจำนวน 4.3 ล้านคน หากพิจารณาเป็นระดับครัวเรือน ในปี 2562 มีครัวเรือนยากจนทั้งสิ้น 1.31 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 5.04 ของครัวเรือนทั้งหมด ลดลงเมื่อเทียบกับ 1.85 ล้านครัวเรือน หรือร้อยละ 7.64 ในปี 2561 เมื่อพิจารณาลักษณะทางประชากรและทางเศรษฐกิจของคนยากจน จะพบว่า (1) คนจนมีอัตราการพึ่งพิง (จำนวนเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีและผู้สูงอายุต่อวัยแรงงาน) สูงกว่าครัวเรือนไม่ยากจนอย่างชัดเจน (2) เด็กและเยาวชนมีปัญหาความยากจนมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุและวัยแรงงาน และ (3) ประเภทครัวเรือนที่มีปัญหาความยากจนมาก ได้แก่ ครัวเรือนขนาดใหญ่ ครัวเรือนแหว่งกลาง (ผู้สูงอายุอาศัยอยู่กับเด็ก) ครัวเรือนไม่มีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ

ผลกระทบการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง ส่งผลกระทบต่อรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชน จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างในช่วงการระบาด พบว่า ร้อยละ 54 มีรายได้ลดลง รวมทั้งมีการก่อหนี้ทั้งในและนอกระบบเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าอัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย จากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่เดิมยากจนอยู่แล้ว และครัวเรือนกลุ่มที่อ่อนไหวต่อปัจจัยกระทบและอาจตกเป็นครัวเรือนยากจน ได้แก่

(1)  กลุ่มครัวเรือนยากจนจะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะคนยากจนเมืองที่มีภาระค่าครองชีพที่สูง และมีภาระค่าใช้จ่ายการดูแลตนเองเพื่อไม่ให้ติด COVID-19 ด้วย

(2)  กลุ่มครัวเรือนเปราะบาง ซึ่งเสี่ยงต่อการตกเป็นครัวเรือนยากจน มีประมาณ 1.14 ล้านครัวเรือน ประกอบด้วย 1) กลุ่มครัวเรือนที่พึ่งพิงรายได้จากเงินช่วยเหลือจากบุคคลอื่นภายนอกครัวเรือน มีประมาณ 6.37 แสนครัวเรือน ซึ่งประกอบด้วย ครัวเรือนไม่มีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจ ครัวเรือนสูงอายุ และครัวเรือนแหว่งกลาง 2) กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้จากการทำงานลดลงมาก มีประมาณ 4.67 แสนครัวเรือน ได้แก่ ครัวเรือนที่ทำงานในสาขาที่เสี่ยงต่อการถูกเลิกจ้าง เช่น ทำงานในภาคการท่องเที่ยว หรือประกอบอาชีพอิสระ และ 3) กลุ่มครัวเรือนเกษตรที่ไม่มีที่ดินทำกิน หรือมีที่ดินทำกินน้อย มีประมาณ 0.49 แสนครัวเรือน แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยตรง แต่มีโอกาสทำให้ผลผลิตและรายได้ลดลง

รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ดังนี้ (1) ระยะสั้น ได้แก่ การให้เงินช่วยเหลือชดเชยการขาดสำหรับแรงงานอิสระและเกษตรกร จำนวน 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน การช่วยเหลือเยียวยากลุ่มเปราะบาง 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค การลดราคาสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ และ (2) ระยะปานกลาง จัดทำพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยมีแผนงานรองรับเพื่อให้เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ โดยเน้นกิจกรรมการสร้างงานและสร้างอาชีพสามารถรองรับแรงงานส่วนเกินที่อพยพกลับท้องถิ่นและชุมชน ตลอดจนสร้างระบบการเรียนรู้ในการพัฒนา/ปรับเปลี่ยนทักษะให้สอดรับกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต

ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหาความยากจน จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้อีกระลอก จึงต้องมีมาตรการรับมือ และเร่งรัดในการแก้ไขปัญหา ได้แก่ (1) การใช้กลไกท้องถิ่นในการเข้าไปค้นหากลุ่มเป้าหมาย/ดูแลกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต COVID-19 อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ควรเข้ามามีส่วนร่วมในการสำรวจตรวจสอบกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้ข้อมูลการช่วยเหลือ/เยียวยากลุ่มคนจน มีความทั่วถึงและทันท่วงที (2) การเร่งรัดการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้ครัวเรือนมีรายได้ และสามารถรักษาระดับการบริโภค และคุณภาพชีวิตไว้ได้ และ (3) การอำนวยความสะดวกในการสร้างงาน/สร้างอาชีพ โดยการหาตำแหน่งงานว่าง การฝึกอาชีพ และการให้ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงแหล่งทุน/สินเชื่อที่เหมาะสม รวมทั้งการตลาดและสถานที่ค้าขาย ขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนเชิงโครงสร้าง เพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ได้แก่ (1) การแก้ปัญหาด้านการเกษตรทั้งระบบ โดยเฉพาะในเรื่องเงินทุน องค์ความรู้ด้านการตลาด และแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและการบริโภค และ (2) การวางแนวทางแก้ปัญหาความยากจนในระยะยาวโดยการสร้างหลักประกันสังคม อาทิ การเร่งขยายความคุ้มครองของการประกันตนตามมาตรา 40 การส่งเสริมการออม การบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึง ตลอดจนการมีระบบข้อมูลเพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายที่เน้นการพัฒนาข้อมูลที่ครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ โดยเฉพาะประชากรที่ยากจน กลุ่มเปราะบางต่างๆ

 

19.  ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 – 2564

                   คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเรื่อง  ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2563 และแนวโน้มปี

2563 – 2564 ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ 

              1. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2563

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.4 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับการลดลงร้อยละ 12.1 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี 2563 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สองของปี 2563 (%QoQ_SA) ร้อยละ 6.5 รวม 9 เดือนแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.7

  1.                             ด้านการใช้จ่าย การใช้จ่ายของรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้น การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และการส่งออกสินค้าปรับตัวลดลงในอัตราที่น้อยกว่าการลดลงในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกบริการลดลงต่อเนื่อง การบริโภคภาคเอกชน ลดลงร้อยละ 0.6 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 6.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการปิดสถานที่และยกเลิกการจำกัดการเดินทางในประเทศ และการดำเนินมาตรการช่วยเหลือ เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายภายในประเทศกลับมาฟื้นตัวตามลำดับ การใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวร้อยละ 2.7 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 1.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้ออาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ขยายตัวร้อยละ 2.9 การใช้จ่ายในหมวดบริการขยายตัวร้อยละ 3.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 7.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายกลุ่มการเช่าที่อยู่อาศัย กลุ่มการใช้น้ำประปา ไฟฟ้าและพลังงาน การบริการสุขภาพ และกลุ่มการบริการด้านการศึกษาขยายตัวร้อยละ 3.7 ร้อยละ 4.3 และร้อยละ 0.7 ตามลำดับ การใช้จ่ายในหมวดสินค้ากึ่งคงทนลดลงร้อยละ 14.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 15.7 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้ออุปกรณ์ตกแต่งที่อยู่อาศัยและการใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าและรองเท้าลดลงร้อยละ 5.2 และร้อยละ 20.4 ตามลำดับ และการใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลงร้อยละ 19.3 เทียบกับการลดลงร้อยละ 30.4 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการซื้อยานพาหนะลดลงร้อยละ 17.6 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลขยายตัวร้อยละ 3.4 เร่งขึ้นจากร้อยละ 1.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของหมวดการโอนเพื่อสวัสดิการทางสังคมที่ไม่เป็นตัวเงินสำหรับสินค้าและบริการในระบบตลาดซึ่งขยายตัวร้อยละ 8.0 อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 21.6 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 21.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) การลงทุนรวม ลดลงร้อยละ 2.4 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 8.0 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 10.7 เทียบกับการลดลงร้อยละ 15.0 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ลดลงร้อยละ 14.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 18.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนในสิ่งก่อสร้างกลับมาขยายตัวร้อยละ 0.3 ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 18.5 เป็นผลจากการลงทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.5 ในขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 30.8 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.2 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 21.6 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
  2. ด้านภาคต่างประเทศ
  3. ,990 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 8.2 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 17.8 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และการขยายตัวของการส่งออกสินค้าบางรายการที่ได้ประโยชน์จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 7.6 และราคาส่งออกลดลงร้อยละ 0.7 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น มันสำปะหลัง (ร้อยละ 27.9) ปลากระป๋องและปลาแปรรูป (ร้อยละ 10.1) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 34.1) เตาอบ (ร้อยละ 71.8) ตู้เย็น (ร้อยละ 21.9) เป็นต้น กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลงแต่เป็นการลดลงในอัตราที่ช้าลงจากไตรมาสก่อนหน้า เช่น ยางพารา (ลดลงร้อยละ 35.5) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (ลดลงร้อยละ 1.8) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ 22.9) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 29.5) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 16.0) เคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 6.7) เป็นต้น

1.2.2 การนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 45,294 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 17.8 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 23.4 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า โดยปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 16.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 19.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงในทุกหมวดสินค้า ส่วนราคานำเข้าปรับตัวลดลงร้อยละ 1.5 เทียบกับการลดลงร้อยละ 5.1 ในไตรมาสก่อนหน้า

การขยายตัวของเศรษฐกิจ และมูลค่าการส่งออกของประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ

ประเทศ

GDP (%YoY)

มูลค่าการส่งออกสินค้า (%YoY)

2561

2562

2563

2561

2562

2563

ทั้งปี

ทั้งปี

Q1

Q2

Q3

ทั้งปี

ทั้งปี

Q1

Q2

Q3

สหรัฐฯ

3.0

2.2

0.6

-9.0

-2.8

7.9

-1.5

-3.1

-30.1

-13.4

ยูโรโซน

1.9

1.3

-3.3

-14.8

-4.4

8.7

-2.6

-4.5

-25.0

-3.9

สหราชอาณาจักร

1.3

1.3

-2.1

-21.5

-9.6

10.2

-3.5

-10.4

-25.8

-

ออสเตรเลีย

2.8

1.8

1.5

-6.4

-

11.3

5.3

-6.8

-14.7

-13.0

ญี่ปุ่น

0.3

0.7

-1.8

-9.9

-

5.7

-4.4

-4.4

-23.7

-12.0

จีน

6.7

6.1

-6.8

3.2

4.9

9.7

-0.1

-13.3

0.1

8.9

อินเดีย

6.8

4.9

3.1

-23.9

-

8.8

-0.1

-12.7

-36.5

-5.5

เกาหลีใต้

2.9

2.0

1.4

-2.7

-1.3

5.4

-10.4

-1.8

-20.3

-3.4

ไต้หวัน

2.7

2.7

2.2

-0.6

3.3

5.9

-1.5

3.7

-2.4

6.0

ฮ่องกง

2.8

-1.2

-9.1

-9.0

-3.5

6.8

-4.1

-8.8

-3.2

2.3

สิงคโปร์

3.4

0.7

-0.3

-13.3

-7.0

10.3

-5.2

-3.7

-17.0

-4.9

อินโดนีเซีย

5.2

5.0

3.0

-5.3

-3.5

6.6

-6.8

1.2

-12.5

-6.5

มาเลเซีย

4.8

4.3

0.7

-17.1

-2.7

14.2

-3.4

-2.5

-18.4

3.5

ฟิลิปปินส์

6.3

6.0

-0.7

-16.9

-11.5

0.9

2.3

-5.1

-29.2

-6.7

เวียดนาม

7.1

7.0

3.7

0.4

2.6

13.3

8.4

7.8

-6.9

10.6

ที่มา: CEIC รวบรวมโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

1.3    ด้านการผลิต สาขาก่อสร้างขยายตัวเร่งขึ้น ขณะที่สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมฯ และสาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ ปรับตัวลดลงในอัตราที่น้อยกว่าการลดลงในไตรมาสก่อนหน้า สาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 0.9 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 3.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตพืชเกษตรสำคัญ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาสภาพอากาศที่แห้งแล้งและฝนทิ้งช่วง ส่งผลให้ปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลงในอัตราที่ชะลอลง ได้แก่ ข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 4.2) และยางพารา (ลดลงร้อยละ 2.3) ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลงต่อเนื่อง อาทิ ปาล์มน้ำมัน (ลดลงร้อยละ 5.6) และมันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 0.8) ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.7) ไก่เนื้อ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.7) กลุ่มไม้ผล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5) ตามลำดับ ด้านหมวดประมงลดลงร้อยละ 1.9 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 2.7 ราคาสินค้าเกษตรโดยรวมกลับมาขยายตัวร้อยละ 6.4 โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4) ราคาปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.2) ราคากลุ่มไม้ผล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางรายการปรับตัวลดลง เช่น ราคาไก่เนื้อ (ลดลงร้อยละ 6.2) และราคาไข่ไก่ (ลดลงร้อยละ 0.4) เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมกลับมาเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 ไตรมาสที่ร้อยละ 6.2 สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 5.3 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 14.6 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วงร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 23.9 และ
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60)
ลดลงร้อยละ 6.0 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 1.6 เทียบกับการลดลงร้อยละ 7.7 ในไตรมาสก่อน อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 60.5 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 52.9 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 64.8 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 30.2) การผลิตน้ำตาล (ลดลงร้อยละ 65.2) และการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 7.5) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน (ขยายตัวร้อยละ 25.6) การผลิตปุ๋ยเคมี (ขยายตัวร้อยละ 30.7) และการผลิตเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค (ขยายตัวร้อยละ 15.5) เป็นต้น สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 39.6 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 50.2 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นการลดลงไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน ตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นสำคัญ โดยในไตรมาสนี้ไม่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงร้อยละ 100.0 ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงมีการระบาดในทุกภูมิภาคของโลก ส่งผลให้ในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว (เป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยทั้งหมด) 0.116 ล้านล้านบาท ลดลงร้อยละ 84.3 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยลดลงร้อยละ 55.9 อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 26.76 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 6.51 ในไตรมาสก่อนหน้า แต่ต่ำกว่าร้อยละ 64.03 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 23.6 น้อยกว่าการลดลงร้อยละ 38.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 71.9 บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 17.2 และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 0.6 บริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 22.7 ในขณะที่บริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 5.0 สอดคล้องกับรายรับของผู้ประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

  1. GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ 251.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 7,848,155.9 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 49.4 ของ GDP

                2.  แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563

  เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะลดลงร้อยละ 6.0 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าปรับตัวลดลงร้อยละ 7.5 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 0.9 และร้อยละ 3.2 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ -0.9 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.8 ของ GDP

                3. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564

  เศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 3.5 – 4.5 โดย
มีแรงสนับสนุนจาก (1) การปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ (2) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (3) แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐจากการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณและมาตรการทางเศรษฐกิจและ (4) ฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 2.4 และร้อยละ 6.6 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ช่วงร้อยละ 0.7 - 1.7 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.6 ของ GDP รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2564 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้

3.1 การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค (1) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.4 เร่งขึ้นจากการลดลงร้อยละ 0.9 ในปี 2563 ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 การดำเนินมาตรการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นของความเชื่อมั่นผู้บริโภคตามความสามารถในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ รวมทั้งแนวโน้มการฟื้นตัวของฐานรายได้จากภาคการส่งออก และ (2) การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.7 เร่งขึ้นจากร้อยละ 3.6 ในปี 2563 สอดคล้องกับสมมติฐานอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ร้อยละ 98.0 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 97.4 จากปีงบประมาณ 2563 รวมถึงการเบิกจ่ายภายใต้พระราชกำหนดเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าจะมีเม็ดเงินเบิกจ่ายเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปี 2564 รวม 403,249 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ร้อยละ 34.8

  1.  
  2. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 7.5 ในปี 2563 โดยคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงร้อยละ 6.6 ในปี 2563 ตามสมมติฐานแนวโน้มการขยายตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในปี 2564 ส่วนราคาสินค้าส่งออกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 0.9 ในปี 2563 สอดคล้องกับราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ในขณะที่การส่งออกบริการยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศที่แม้จะผ่อนคลายมากขึ้น แต่ยังไม่สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ และส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย ทั้งนี้ ในกรณีฐานคาดว่ารายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ 4.9 แสนล้านบาท เทียบกับ 4.6 แสนล้านบาท ในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.0 ดังนั้น โดยรวมคาดว่าปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการ ในปี 2564 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เทียบกับการลดลงร้อยละ 19.5 ในปี 2563

4. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2563 และปี 2564

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2563 และปี 2564 ควรให้ความสำคัญกับ

(1) การป้องกันการกลับมาระบาดระลอกที่สองของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศ (2) การดูแลภาคเศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมหรือปรับเปลี่ยนให้ตอบสนองสาขาและพื้นที่เศรษฐกิจที่มีข้อจำกัดในการฟื้นตัว (ii) การช่วยเหลือและดูแลแรงงาน (iii) การรณรงค์ให้คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้น (iv) การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติภายใต้มาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคอย่างรัดกุม และ (v) การดำเนินการด้านวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (3) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐ (i) การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 94.4 (ii) งบลงทุนรัฐวิสาหกิจให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 (iii) งบเหลื่อมปีให้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 85 และ (iv) การเบิกจ่ายโครงการ
ตามพระราชกำหนดเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 (4) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการระบาดของโรคโควิด-19 (ii) การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า (iii) การให้ความสำคัญกับข้อตกลงระหว่างประเทศที่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับการดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้า (iv) การลดต้นทุนการผลิตสินค้าที่สำคัญ ๆ (v) การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนและการแข็งค่าของเงินบาท และ (vi) การส่งเสริมการตลาดเชิงรุกผ่านช่องทางออนไลน์ (5) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน (i) เร่งรัดให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนในช่วงปี 2561 - 2563 ให้เกิดการลงทุนจริง (ii) การขับเคลื่อนการส่งออกเพื่อเพิ่มการใช้กำลังการผลิต (iii) การแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนและการประกอบธุรกิจ (iv) การประชาสัมพันธ์จุดแข็งของประเทศไทย และ (v) การขับเคลื่อนมาตรการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างต่อเนื่อง (6) การดูแลราคาสินค้าเกษตรในบางพื้นที่ในช่วงผลผลิตออกสู่ตลาด และการเตรียมการรองรับปัญหาภัยแล้ง (7) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองในประเทศ และ (8) การเตรียมการรองรับความเสี่ยงจากความผันผวน ทางเศรษฐกิจโลกและการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

 

ต่างประเทศ

20. รายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2563 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

              คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2563 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ในรูปแบบการประชุมทางไกลระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคม 2563 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              1. การประชุมประจำปีสภาผู้ว่าการธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี 2563 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ได้มีการกล่าวถ้อยแถลงของผู้แทนองค์กรต่าง ๆ ดังนี้

1.1 นาย Ernest Kwamina Yedu Addison ผู้ว่าการธนาคารกลางสาธารณรัฐกานา

- กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่พึ่งพาปัจจัยภายนอกสูง

                                - การส่งออกสินค้าและรายได้จากการท่องเที่ยวลดลง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคแรงงาน

                                - การหยุดการเรียนการสอนของโรงเรียนอาจนำไปสู่การสูญเสียโอกาสในการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว

                                ข้อเสนอแนะ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญของนโยบายที่สนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีคนเป็นศูนย์กลางอย่างยั่งยืนและเป็นธรรม

                        1.2 นาง Kristalina Georgieva กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF)

                                - สภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2563 มีแนวโน้มจะหดตัวร้อยละ 4.4

                                - IMF พร้อมสนับสนุนโครงการพักชำระหนี้ในระดับทวิภาคี เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะยาว

                                ข้อเสนอแนะ ประเทศสมาชิกควรดำเนินนโยบายเศรษฐกิจอย่างเหมาะสมเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์ไปยังการสร้างงานและการยกระดับคุณภาพชีวิต การปฏิรูปนโยบายการเงินการคลัง และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อส่งเสริมการค้าและสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ

                        1.3 นาย David Malpass ประธานธนาคารโลก

                                - สถานการณ์ COVID-19 จะเพิ่มจำนวนคนที่ยากจนที่สุด (รายได้ต่ำกว่า 1.9 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน) ประมาณ 110-150 ล้านคนทั่วโลก ในปี 2564 และส่งผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ เด็กและสตรีมากที่สุด

                                - ธนาคารโลกได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศยากจนไปแล้วกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะคงให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกเพื่อขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์ในระยะยาว

                                ข้อเสนอแนะ ประเทศกลุ่ม G20 ควรขยายเวลาของโครงการพักชำระหนี้ออกไปเพื่อลดภาระหนี้ของประเทศยากจน

                ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะผู้ว่าการธนาคารโลกของประเทศไทย ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของไทยเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยการใช้นโยบายการเงินและการคลังในการขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะสั้น ทั้งนี้ ในระยะกลางและระยะยาวจะมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต รวมทั้งเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีให้มีความโปร่งใสและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                2. การประชุมคณะกรรมการพัฒนาการของธนาคารโลก ครั้งที่ 102 เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2563 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถ้อยแถลงในที่ประชุมในฐานะผู้แทนกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประเด็นหลัก เช่น การสนับสนุนความช่วยเหลือทางการเงินของกลุ่มธนาคารโลกเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจแก่ประเทศสมาชิกจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 การสนับสนุนการทบทวนสัดส่วนผู้ถือหุ้นและอำนาจออกเสียงของประเทศสมาชิกในกลุ่มธนาคารโลกให้มีความสมดุลและเหมาะสม

                3. การรายงานภาพรวมเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกกับ Asia and Pacific Department (APD) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ในหัวข้อ “Navigating the Pandemic: Multi-Speed Recovery” APD ได้คาดการณ์สถานการณ์เศรษฐกิจ สรุปได้ดังนี้

                        3.1 เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกในปี 2563 จะหดตัวลง ร้อยละ 2.2 จากผลกระทบของ COVID-19 ซึ่งเป็นการปรับประมาณการลงจากเดือนเมษายนที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในสาธารณรัฐอินเดียได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยจะหดตัวร้อยละ 7.1 และจะมีการฟื้นตัวในปี 2564 ที่ร้อยละ 4.0

                        3.2 ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในภูมิภาคในอนาคต ได้แก่ มาตรการการเงินที่ผ่อนคลาย นโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน รวมทั้งได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสำหรับการดำเนินการในอนาคต เช่น การให้ความสำคัญกับมาตรการควบคุมโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินนโยบายการคลังที่กำหนดเป้าหมายชัดเจนและใช้ในเวลาที่เหมาะสม การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อเนื่อง และการดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจ

 

21. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 24 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 24 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่
2 ตุลาคม 2563 โดยมีที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้แทนกระทรวงการคลังเข้าร่วมประชุม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

                สาระสำคัญ

  1. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 24
  • รับทราบประเด็นสำคัญได้แก่ (1) สรุปสถานการณ์เศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียนและการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐาน (2) วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน การเงินสีเขียวและเศรษฐกิจดิจิทัล และ (3) การสนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในอาเซียน ทั้งนี้ ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศได้เน้นถึงการสร้างเศรษฐกิจที่มีภูมิต้านทานให้เป็นเป้าหมายหลักของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อเตรียมรับสภาวะความปกติใหม่หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) คลี่คลายลง
  • รับทราบความคืบหน้าที่สำคัญของความร่วมมือด้านการคลังในอาเซียน ได้แก่
    (1) ด้านศุลกากร สามารถเชื่อมข้อมูลใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าอาเซียนแบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างกันได้ครบทั้ง 10 ประเทศ ผ่านระบบศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวและปัจจุบันได้เริ่มกระบวนการทดสอบการเชื่อมโยงข้อมูลใบรับรองด้านอื่น ๆ เพิ่มเติมแล้ว และ (2) ด้านภาษีอากร ได้สรุปข้อเสนอแนะจากผลการศึกษาเรื่องภาษีหัก ณ ที่จ่ายของอาเซียนเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป รวมทั้งการพัฒนามาตรฐานของหนังสือรับรองการมีถิ่นที่อยู่เพื่อการรัษฎากรที่เป็นที่ยอมรับร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมทั้งการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางออนไลน์เพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนใช้เผยแพร่ข้อมูลต่าง ๆ
  • ผู้แทนกระทรวงการคลังได้แจ้งให้ที่ประชุมราบถึงการออกพันธบัตรเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พันธบัตรเพื่อสังคม และพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน วงเงินรวมไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งพันธบัตรดังกล่าวมีความสอดคล้องกับมาตรฐานพันธบัตรของอาเซียนตามแนวทางของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุนอาเซียน
  1. การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 6
  • รับทราบประเด็นหลักเพื่อเป็นกรอบการดำเนินการ ปี 2563 ในด้านความร่วมมือด้านการเงินการคลัง ได้แก่ (1) การส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน และ (2) การส่งเสริมความเชื่อมโยงของระบบการชำระเงินในภูมิภาค
  • รับทราบประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น รายงานเกี่ยวกับความเสี่ยงและนโยบายที่จำเป็นในการรับมือกับโควิด-19 ในอาเซียน และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งนี้ องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ยังได้เน้นย้ำในเรื่องการดำเนินมาตรการด้านการคลังอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการใช้สกุลเงินท้องถิ่น และการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตาข่ายความมั่นคงทางการเงิน เป็นต้น
  • รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตาม Roadmap for Monetary and Financial Integration for ASEAN ของคณะทำงานด้านต่าง ๆ ได้แก่ (1) การพัฒนาตลาดทุน (2) การเจรจาเปิดเสรีบริการทางการเงิน (3) การประกันภัยอาเซียน (4) การรวมตัวภาคการธนาคารอาเซียน (5) การเปิดเสรีบัญชีทุนเคลื่อนย้าย (6) การเข้าถึงบริการทางการเงิน และ (7) ระบบการชำระเงินและธุรกรรมทางการเงิน รวมทั้งให้การรับรองรายงานของคณะทำงานเพื่อพัฒนาตลาดทุน เรื่อง การเงินที่ยั่งยืนในอาเซียน ซึ่งเป็นรายงานเพิ่มส่งเสริมการระดมทุนอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน และเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายจากรายงานดังกล่าวไปปรับใช้ได้
  • ผู้แทนกระทรวงการคลังได้เน้นย้ำความสำคัญของการดำเนินความร่วมมือด้านการเงินการคลังในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในด้านการเปิดเสรีบริการทางการเงิน การพัฒนาตลาดทุน และการเข้าถึงการบริการทางการเงินเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถก้าวผ่านความยากลำบากจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันร่วมกัน
  • บรูไนดารุสซาลามในฐานะประธานอาเซียนและเจ้าภาพจัดการประชุมในปี 2564 แจ้งว่า มีกำหนดจะจัดการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 25 การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 7 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในระหว่างวันที่ 26 – 30 มีนาคม 2564 ณ บรูไนดารุสซาลาม
  1. การประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • สภาธุรกิจอาเซียน – สหภาพยุโรปเห็นว่าประเด็นด้านการเงินการคลังที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ (1) การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน และ (2) การลงทุนด้านสาธารณสุขอย่างยั่งยืน
  • สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา – อาเซียน เห็นว่าการเข้าถึงบริการทางการเงินและกระบวนการในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภาคการประกันภัยและภาคการธนาคารในยุคโควิด-19
  • สภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนได้จัดทำแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจของอาเซียนที่ชัดเจน ครอบคลุม และสามารถใช้ได้จริง เช่น การใช้นโยบายทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถดำเนินต่อได้ การป้องกันความเสี่ยงด้านเครดิตในภาคการเงิน และการสนับสนุนโลจิสติกส์
     

22. เรื่อง  การขอความเห็นชอบต่อร่างข้อริเริ่มว่าด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างอาเซียน – จีน ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (Initiative on Building ASEAN – China Partnership on Digital Economy)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างข้อริเริ่มว่าด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างอาเซียน – จีน ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล (Initiative on Building ASEAN – China Partnership on Digital Economy) ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2563 และหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารข้อริเริ่มดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือที่ไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัลของไทย หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้ความเห็นชอบต่อร่างข้อริเริ่มว่าด้วยการสร้างความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือระหว่างอาเซียน – จีน ด้านเศรษฐกิจดิจิทัล แบบเวียน (Ad-referendum) โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะประสานงานสำนักเลขาธิการอาเซียน  เพื่อแจ้งยืนยันการให้ความเห็นชอบต่อร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ ของไทยต่อไป ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ

                   สาระสำคัญของร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ เป็นเอกสารที่แสดงถึงความมุ่งมั่นและความพยายามร่วมกันระหว่างอาเซียน – จีน ในการผลักดันการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในสาขาต่าง ๆ  รวมทั้งส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวปฏิบัติที่ดีในการแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูและลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 เพื่อนำไปสู่การเจริญเติบโตของภูมิภาคที่มีความครอบคลุม ทั่วถึง มั่นคงปลอดภัย และยั่งยืน โดยร่างเอกสารข้อริเริ่มฯ ได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัล บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน การเคารพซึ่งกัน การมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีแก่ทั้งสองฝ่าย ประกอบด้วย ขอบเขตความร่วมมือบนพื้นฐานของความสมัครใจ จำนวน 6 ประเด็น ดังนั้น (1) การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการป้องกันและควบคุมโรคโควิด – 19 (2) การเสริมสร้างความร่วมมือด้านโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศ (3) การสนับสนุนทักษะความรู้ด้านดิจิทัล และการส่งเสริมความเป็น ผู้ประกอบการ การพัฒนานวัตกรรม และการปฏิรูปอุตสาหกรรมดิจิทัล (4) การอำนวยความสะดวกด้านนวัตกรรมและการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (5) การส่งเสริมความร่วมมือบนโลกอินเทอร์เน็ต และ (6) การยกระดับความร่วมมือเชิงปฏิบัติการด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไวเบอร์

 

23.  เรื่อง  ร่างปฏิญญาของประธานของการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 (The 6th GHSA Ministerial Meeting)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างปฏิญญาของประธานของการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก ครั้งที่ 6 (The 6th GHSA Ministerial Meeting) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญของร่างปฏิญญาดังกล่าว ให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างปฏิญญาดังกล่าวตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ

                   สาระสำคัญของร่างปฏิญญาฯ ประกอบด้วย การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบความเสียหายที่เกิดจากภัยคุกคามทางด้านสุขภาพโลก ทบทวนถึงมติที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติที่ 74/270 (พ.ศ. 2563) ว่าด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั่วโลกเพื่อต่อสู้กับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และมติสมัชชาอนามัยโลกวาระที่ 73.1 ว่าด้วยการรับมือโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และอื่น ๆ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้แน่ใจว่าทั่วโลกสามารถเข้าถึงยา วัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย อีกทั้งเรียกร้องให้มีการรับมือและตอบโต้โรคด้วยการบูรณาการนโยบายและการดำเนินงานของทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคสังคมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ โดยตระหนักถึงบทบาทสำคัญของกลไกวาระความมั่นคงด้านสุขภาพโลก (Global Health Security Agenda : GHSA) ในการจัดการกับปัญหาความมั่นคงด้านสุขภาพโลกผ่านความร่วมมือและการสนับสนุน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกฎอนามัยระหว่างประเทศ ปี ค.ศ. 2005

 

24. เรื่อง ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ว่าด้วยการตอบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมตรีเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น สมัยพิเศษ ว่าด้วยการตอบบสนองต่อสถานการณ์โควิด-19 ผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2563 และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการการส่งเสริมการลงทุน เพื่อพิจารณาดำเนินการตามแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไปตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ

                สาระสำคัญของเรื่อง

              ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 ในอาเซียนและประเทศญี่ปุ่น รวมถึงกำหนดทิศทางการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจกัน ทั้งนี้ ประเทศไทยแจ้งว่า ในการรับมือโควิด-19 ไทยมุ่งมั่นการรักษาความสมดุลระหว่างการสาธารณสุขและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงัก รวมถึงเน้นย้ำบทบาทสำคัญของญี่ปุ่นในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพและความรุ่งเรืองของภูมิภาค

                ที่ประชุมได้ร่วมรับรองแผนปฏิบัติการด้านความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจอาเซียน – ญี่ปุ่น เพื่อแสดงความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันแก้ปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 โดยได้เน้นย้ำประเด็นสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ (1) รักษาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างกัน (2) บรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และ (3) เสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจผ่านกิจกรรมจต่าง ๆ ประมาณ 50 โครงการ เช่น การเร่งส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยานยนต์และเคมีภัณฑ์ การยกระดับทักษะฝีมือแรงงานในภาคอุตสาหกรรมให้รับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การผลักดันการใช้เทคโนโลยีในการเสริมสร้างประสิทธิภาพและศักยภาพของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย นอกจากนี้ อาเซียนและญี่ปุ่นยังมุ่งมั่นให้มีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ภายในปี 2563

                ทั้งนี้ ร่างแผนปฏิบัติการฯ ได้มีการปรับปรุงไปจากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 โดยญี่ปุ่นขอเสนอเพิ่มเติมการดำเนินโครงการทางเศรษฐกิจ จำนวน 7 โครงการ ดังนี้
                1. การส่งเสริมความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยกระดับระบบทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยี โดยตั้งเป้าหมายจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิบัตรระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ในปีงบประมาณ 2563 ของญี่ปุ่น (1 เมษายน 2563-31 มีนาคม 2564)

                2. การดำเนินโครงการประกันสินเชื่อโดยองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance: NEXI) จัดตั้งโครงการประกันสินเชื่อวงเงิน 1.5 ล้านล้านเยน (ประมาณ 443,000 ล้านบาท) เพื่อรองรับการให้วงเงินกู้หมุนเวียนแก่บริษัทในเครือของผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศรวมทั้งอาเซียน ซึ่งให้ความคุ้มครองในกรณีการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ซื้อในต่างประเทศ ความเสียหายที่เกิดจากความเสี่ยงทางการเมือง และความเสียหายที่เกิดจากเหตุสุดวิสัยรวมถึงโควิด-19

                3. ความร่วมมือด้านการรับประกันต่อระหว่าง NEXI กับองค์กรสินเชื่อเพื่อการส่งออก (Export Credit Agency: ECA) ของอาเซียน สนับสนุน ECA ของอาเซียนให้สามารถรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจรับประกันได้มากขึ้นเพื่อรองรับธุรกิจในอาเซียน

                4. ความร่วมมือด้านการส่งเสริมเมืองอัจฉริยะระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น ให้ Japan Association for Smart Cities in ASEAN (JASCA) สนับสนุนเครือข่ายเมืองอัจฉริยะอาเซียน (ASEAN Smart Cities) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเมืองอิจฉริยะในอาเซียน

                5. การจัดตั้งเครือข่ายนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ จัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพในประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งสร้างเครือข่ายและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านนวัตกรรมการดูแลสุขภาพระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น

                6. โครงการเสริมสร้างศักยภาพการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีพลังงานทดแทน ดำเนินโครงการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สำหรับเจ้าหน้าที่ภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องของอาเซียน โดยการส่งผู้เชี่ยวชาญของญี่ปุ่นมายังอาเซียนและการเชิญผู้ฝึกงานของอาเซียนไปยังญี่ปุ่น เพื่อพิจารณาและส่งเสริมให้เกิดการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                7. โครงการสาธิตเกี่ยวกับประสิทธิภาพการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในประเทศสมาชิกอาเซียน ให้องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (New Energy and Industrial Technology Development Organization: NEDO) ดำเนินโครงการสาธิตการใช้พลังงานและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนในอาเซียน ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอความร่วมมือระหว่างบริษัทญี่ปุ่นและอาเซียน

                ทั้งนี้ การปรับปรุงแผนปฏิบัติการฯ โดยเพิ่มเติมข้อเสนอของญี่ปุ่นดังกล่าวข้างต้นเป็นการปรับปรุงส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ อีกทั้งยังเป็นการขยายความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐและเอกชนระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น อันจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อไทยในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการญี่ปุ่นซึ่งเป็นนักลุงทุนรายใหญ่ของไทยในการขยายการค้าและการลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเสริมสร้างความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค

 

25. เรื่อง การบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุนพัฒนาเอเชีย 13 (Asian Development Fund 13: ADF 13)

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 13 ของประเทศไทย จำนวน 71.22 ล้านบาท โดยแบ่งชำระออกเป็น 4 งวด ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2567 และมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

                   สาระสำคัญของเรื่อง

                   แนวทางการดำเนินงานของกองทุน ADF 13 เป็นไปตามยุทธศาสตร์ 2030 ของ Asian Development Bank (ADB) โดยมุ่งเน้น 6 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ (1) สนับสนุนให้ความช่วยเหลือสถานการณ์ที่เปราะบางและมีความขัดแย้ง (Fragile and Conflict-Affected Situations: FCAS) และรัฐหมู่เกาะขนาดเล็ก (Small Island Developing States: SIDS) (2) บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 5 โดยผลักดันความเท่าเทียมกันทางเพศให้มีความก้าวหน้า (Sustainable Development Goal 5’s Gender Equality) (3) สนับสนุนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) การรับมือกับภัยพิบัติ (4) ส่งเสริมความร่วมมือและการบูรณาการในภูมิภาค รวมถึงสินค้าสาธารณะระดับภูมิภาค (Regional Public Goods: RPG) (5) สนับสนุนภาคเอกชนในการค้าชายแดน และ (6) เสริมสร้างความยั่งยืนหนี้สาธารณะ (Debt Sustainability) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ

                   ในส่วนของประเทศไทยนั้น การบริจาคเงินเพิ่มกองทุนในกองทุน ADF 13 จะเป็นไปตามขนาดสัดส่วนเดิมที่เคยบริจาคเงินในกองทุน ADF 12 ซึ่งประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ร้อยละ 0.08 ของยอดเงินบริจาคจากประเทศสมาชิกทั้งหมด คิดเป็นจำนวนเงินที่ประเทศไทยจะต้องบริจาคเงินเพิ่มทุนในกองทุน ADF 13 จำนวน 71.22 ล้านบาท หรือประมาณ 2.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

                   การชำระเงินบริจาคในกองทุน ADF 13 ของประเทศไทย แบ่งชำระเงินบริจาคเป็นเวลา 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 - 2567 โดยแบ่งชำระปีละ 17.8 ล้านบาท และขอรับสิทธิประโยชน์ในรูปแบบเครดิต (Credit) ที่อัตราร้อยละ 2.76 ของยอดเงินบริจาค คิดเป็นเงิน จำนวน 1,965,653 บาท ซึ่งจะทำให้มูลค่าเงินบริจาคหลังบวกเครดิตเท่ากับ 73,184,973 บาท และทำให้มีสัดส่วนการบริจาคที่ร้อยละ 0.0858 ของยอดเงินบริจาคจากประเทศสมาชิกทั้งหมด

 

26. เรื่อง ขอความเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรองระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารที่จะมีการรับรอง จำนวน 10 ฉบับ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญ หรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการต่อไปได้โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ

                   สาระสำคัญของร่างเอกสารที่จะมีการรับรอง จำนวน 10 ฉบับ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีดังนี้

                   1. การทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งกัวลาลัมเปอร์ ปี 2559 - 2568 ระยะกลาง เป็นรายงานผลการทบทวนการดำเนินงานของประเทศสมาชิกอาเซียนตามแผนยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของอาเซียน (แผนระยะ 10 ปี) ระยะกลาง คือ ตั้งแต่ปี 2559 - 2563 ด้านการขนส่งทางอากาศ การขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การขนส่งที่ยั่งยืน และการอำนวยความสะดวกในการขนส่ง จำนวน 217 กิจกรรม/โครงการ โดยมีผลการดำเนินงานคิดเป็น 3.41/5 คะแนน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของอาเซียนในการสร้างความเชื่อมโยง ความมีประสิทธิภาพ การบูรณาการ ความปลอดภัย และความยั่งยืนด้านการขนส่งของอาเซียน พร้อมกันนี้อาเซียนได้มีการจัดทำข้อเสนอแนะในการเสนอกิจกรรม/โครงการใหม่ และปรับกรอบเวลาการแล้วเสร็จของบางกิจกรรม/โครงการ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวโน้มของโลกเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานในระยะ 5 ปีหลังของแผนยุทธศาสตร์

                   2. แนวทางปฏิบัติสำหรับการยกระดับขั้นตอนมาตรฐานในการรายงานข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนให้เป็นไปตามมาตรฐานขององค์การสหประชาชาติ เป็นเอกสารการทบทวนข้อมูลที่เกี่ยวข้องในการบริหารการจัดเก็บข้อมูลอุบัติเหตุทางถนนของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ แนวทางการบริหารการจัดเก็บข้อมูลอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงข้อเสนอแนะสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางสำหรับช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่เป้าหมายในการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในท้ายที่สุด เนื่องจากข้อมูลที่มีการจัดเก็บอย่างมีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการนำไปกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องและเพื่อการยกระดับความปลอดภัยทางถนนของแต่ละประเทศ

                   3. ปฏิญญาบรูไนว่าด้วยความปลอดภัยทางถนนของอาเซียน ค.ศ. 2020 เป็นเอกสารที่กล่าวถึงความสำคัญของการดำเนินการเพื่อลดอัตราผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนในภูมิภาค และการกำหนดแนวทางสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินงาน โดยให้เป็นไปตามข้อริเริ่มระดับโลก อาทิ ทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนนขององค์การสหประชาชาติ ปฏิญญาสตอกโฮล์ม รวมถึงปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนน และยุทธศาสตร์ความปลอดภัยทางถนนของภูมิภาคอาเซียน โดยอาเซียนจะร่วมมือกันในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในปี 2573

                   4. แผนแม่บทการเดินอากาศอาเซียน มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำแผนการดำเนินงานด้านการบริหารจราจรทางอากาศที่ไร้รอยต่อ ส่งเสริมการดำเนินการด้านการจราจรทางอากาศของประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีระบบการสื่อสาร ระบบเครื่องช่วยเดินอากาศ ระบบติดตามอากาศยาน และอื่น ๆ ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อรองรับพัฒนาการของตลาดการบินของอาเซียน และการใช้ห้วงอากาศในภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ

                   5. พิธีสาร 2 สถาบันฝึกอบรมด้านการบิน เป็นเอกสารเพื่อส่งเสริมระบบการกำกับดูแลที่มีมาตรฐานระดับเดียวกันระหว่างรัฐสมาชิกให้เกิดการยอมรับสถาบันฝึกอบรมด้านการบินระหว่างรัฐสมาชิก ส่งผลให้ผู้ประกอบการในประเทศไทย เช่น โรงเรียนการบิน และผู้ดำเนินการเดินอากาศ มีโอกาสเพิ่มในการให้บริการและใช้บริการสถาบันฝึกอบรมด้านการบินระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นภายใต้กรอบมาตรฐานที่องค์การการบิน       พลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) กำหนด อีกทั้งเป็นการลดภาระ ขั้นตอนการทำงานและทรัพยากรบุคคลที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ (Inspector) ของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย

                   6. แนวทางปฏิบัติในช่วงสถานการณ์โควิด-19 มีเนื้อหาครอบคลุมมาตรการทางสาธารณสุขเพื่อการป้องกันและควบคุมโรคสำหรับผู้ปฏิบัติงานสายการบิน/ท่าอากาศยาน ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในอากาศยาน รวมถึงการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคในอากาศยาน

                   7. รายงานฉบับสุดท้ายภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการเดินเรือสำราญระหว่างอาเซียน - ญี่ปุ่น เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเดินเรือสำราญในเขตพื้นที่น่านน้ำประเทศอาเซียนและญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อท่าเรือปลายทาง โดยการกระตุ้นการพัฒนาเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวด้วยการนำเสนอกิจกรรมทางวัฒนธรรมและกิจกรรมสันทนาการที่หลากหลาย

                   8. แนวปฏิบัติสำหรับการบำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือในอาเซียน เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุแนวปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ไขปัญหาการทับถมของดินตะกอนของบริเวณท่าเรือของประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งการบำรุงรักษาร่องน้ำเดินเรือในอาเซียน และส่งเสริมการใช้ช่องทางการเดินเรือให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

                   9. แนวปฏิบัติสำหรับมาตรการด้านความปลอดภัยสำหรับเส้นทางเดินเรือ เป็นเอกสารที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติในการออกกฎหมายและกฎระเบียบ/ข้อบังคับที่เกี่ยวกับระบบเส้นทางการเดินเรือ หรือการควบคุมจราจรทางน้ำ (Vessel Traffic Services: VTS) โดยที่ผ่านมาประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีการจัดตั้งศูนย์ควบคุมจราจรทางน้ำ (Vessel Traffic Services (VTS) Center) และหน่วยงานที่มีภารกิจคล้ายคลึงกัน หรือมีแผนการจัดตั้งศูนย์ฯ อย่างไรก็ดี ในขณะที่ประเทศสมาชิกอาเซียนมีการจัดตั้งและดำเนินการด้านความปลอดภัยสำหรับเส้นทางเดินเรือตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล (SOLAS) แล้ว ก็ยังคงมีความจำเป็นในการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไขกฎหมายภายในของประเทศตนให้เป็นไปตามอนุสัญญาดังกล่าว หรืออนุสัญญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

                   10. แผนที่นำทางความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ค.ศ. 2021 - 2025 เป็นเอกสารแผนงานความร่วมมือด้านการขนส่งระหว่างอาเซียน - สาธารณรัฐเกาหลี ระยะ 5 ปี ใน 4 สาขา ดังนี้ (1) การพัฒนา/การเสริมสร้างขีดความสามารถทรัพยากรบุคคล (2) โครงการให้คำปรึกษา (3) การศึกษาความเป็นไปได้ด้านโครงสร้างพื้นฐาน และ (4) โครงการด้านเทคโนโลยีและการจัดการ โดยโครงการต่าง ๆ ได้รับการสนับสนุนทางวิชาการและเงินทุนจากสาธารณรัฐเกาหลี

 

27. เรื่อง ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ 38 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้

          1. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้) ครั้งที่ 17 ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมสุดยอดรัฐมนตรีพลังงานเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 และร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์

2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) เป็นผู้ให้การรับรองในร่างถ้อยแถลงร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าวได้

หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38  และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง

ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบังเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานภายใต้กรอบดังกล่าวในช่วงการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 ในระหว่างวันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2563 ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพในการประชุม โดยใช้ระบบการประชุมแบบออนไลน์ ซึ่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเป็นเจ้าภาพในการประชุม

สาระสำคัญของร่างถ้อยแถลงร่วมฯ

1. ร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 38 จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม ซึ่งประกอบด้วยสาระหลัก คือ การเน้นความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องสู่พลังงานที่มั่นคง เข้าถึงได้ และยั่งยืนในอาเซียน รวมถึงการบรรลุเป้าหมายตามแผน APAEC พ.ศ. 2559 – 2568 ( APAEC ระยะที่ 1 พ.ศ. 2559 – 2563) ซึ่งให้ความสำคัญในการลดความเข้มข้นของการใช้พลังงานในอาเซียน และการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในภาพรวมการใช้พลังงานของอาเซียนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการใช้พลังงานหมุนเวียนให้ได้ร้อยละ 23 ภายในปี พ.ศ. 2568 และยืนยันความจำเป็นที่จะส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคงด้านพลังงาน ความสามารถในการแข่งขันเชิงเศรษฐกิจ และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคและยินดีกับการขยายการซื้อ – ขายไฟฟ้าแบบพหุภาคีในภูมิภาคอาเซียนผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (LTMS) ว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์

2. ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+3 ครั้งที่ 17 จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม ซึ่งประกอบด้วยสาระหลัก คือ การเน้นความสำคัญของความร่วมมือในกลุ่มประเทศอาเซียน+3 เพื่อไปสู่ความมั่นคงทางพลังงานในภูมิภาค แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในภาคพลังงานอย่างยั่งยืน โดยการเสริมสร้างนวัตกรรมและความเข้มแข็งในความร่วมมือระหว่างกัน ให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านและความยืดหยุ่นด้านพลังงาน เน้นย้ำถึงการสนับสนุนอันแข็งแกร่งในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน ระยะที่ 2 พ.ศ. 2564 – 2568 ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ โดยสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและมุมมองด้านพลังงานในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน+3 อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วยกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงด้านพลังงาน การจัดการประชุมหารือและการเจรจาธุรกิจตลาดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ พลังงานใหม่ พลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน และการประชุมโต๊ะกลมด้านพลังงานสะอาด

3. ร่างถ้อยแถลงร่วมของรัฐมนตรีพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ครั้งที่ 14 จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การตอบสนองของภาคพลังงานต่อการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีจากประเทศเอเชียตะวันออกร่วมกับองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อการฟื้นฟูทางด้านเศรษฐกิจและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความมั่นคงในการจัดหาพลังงานสะอาดและสามารถเข้าถึงได้ โดยมีความมุ่งมั่นว่าแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียนฉบับใหม่ ระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2564 – 2568 จะช่วยกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสำหรับภูมิภาคอาเซียนและเสริมสร้างความเข้มแข็งในการฟื้นฟูด้านพลังงานผ่านนวัตกรรมและกระชับความร่วมมือให้มากขึ้นในอีก 5 ปีข้างหน้า ผ่านแผนงานความร่วมมือด้านพลังงานของเอเชียตะวันออก ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการเป็นสังคมแห่งไฮโดรเจน ก๊าซธรรมชาติ และการจำกัดการใช้และการจัดเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายใต้กรอบความร่วมมือ อาทิ (1) ด้านประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน (2) ด้านเชื้อเพลิงชีวภาพสำหรับภาคการขนส่งและอื่น ๆ และ (3) ด้านการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก ทั้งนี้ เน้นให้ความสำคัญในด้านการส่งเสริมเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรมและการส่งเสริมการเป็นสังคมแห่งการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การสนับสนุนเพื่อเพิ่มการใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของตลาด LNG ในภูมิภาค และแนวคิดที่จะส่งเสริมการนำ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ใหม่อีกด้วย

4. ร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ จะเป็นถ้อยแถลงร่วมสรุปผลการประชุม ประกอบด้วยสาระหลัก คือ การประกาศความมุ่งมั่นที่จะริเริ่มการซื้อ – ขายไฟฟ้าพหุภาคีข้ามพรมแดนระหว่าง 4 ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรไทย สหพันธรัฐมาเลเซีย และสาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยดำเนินงานภายใต้โครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ (Lao PDR-Thailand-Malaysia-Singapore Power Integration Project: LTMS-PIP) ที่ระบุถึงปริมาณการรับซื้อไฟฟ้าในโครงการ LTMS ระยะแรกจำนวน 100 เมกะวัตต์ เป็นระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2565 – 2566 โดยผ่านระบบเชื่อมโยงสายส่งที่มีอยู่แล้วในปัจจุบันระหว่าง 4 ประเทศ นับเป็นความมุ่งมั่นของทั้ง 4 ประเทศ ในความร่วมมือด้านการค้าไฟฟ้าพหุภาคีในอาเซียน เพื่อการพัฒนาและต่อยอดโครงการสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สาขาความร่วมมือภายใต้แผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานอาเซียน

 

 28.  เรื่อง  ขอความเห็นชอบการรับรองเอกสาร Joint Statement of the Eleventh ASEAN Education Ministers Meeting

                   คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างเอกสาร Joint Statement of the Eleventh ASEAN Education Ministers Meeting และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการหรือผู้แทนให้ความเห็นชอบและรับรองร่างเอกสาร Joint Statement of the Eleventh ASEAN Education Ministers Meeting ในการประชุมรัฐมนตรีด้านการศึกษาของอาเซียน ครั้งที่ 11 (11th ASEAN Education Ministers’ Meeting: ASED) ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ

                   สาระสำคัญของเอกสาร Joint Statement of the Eleventh ASEAN Education Ministers Meeting มีดังนี้

                   1. สนับสนุนแนวคิดหลักเรื่อง “การปรับเปลี่ยนการศึกษาในวิถีอาเซียน : การเสริมสร้างความร่วมมือแบบหุ้นส่วนในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ” (Transforming Education the ASEAN Way: Forging Partnerships in the Age of Global Disruptions) ซึ่งนำเสนอโดยสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ในฐานะประธานอาเซียน

                   2. เน้นย้ำว่าการศึกษาเป็นประเด็นสำคัญในการฟื้นฟูประเทศภายหลังโควิด-19 และขอให้ประเทศสมาชิกสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้กรอบการฟื้นฟูที่ครอบคลุมของอาเซียน (ASEAN Comprehensive Recovery Framework)

                   3. สนับสนุนแถลงการณ์ร่วมที่เป็นผลลัพธ์ของการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านดิจิทัลในระบบการศึกษาของอาเซียน เมื่อเดือนตุลาคม 2563

                   4. สนับสนุนการก่อตั้งสภาการเทคนิคอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมแห่งอาเซียน (ASEAN TVET Council) และยินดีสนับสนุนการดำเนินการต่าง ๆ ของสภาการเทคนิคฯ

                   5. มุ่งมั่นที่จะดำเนินการด้านการศึกษาโดยคำนึงถึงคุณภาพ ความเสมอภาคและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

 

แต่งตั้ง

29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

(กระทรวงการคลัง)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) กรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

30. เรื่อง การแต่งตั้งโฆษกกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอการแต่งตั้งโฆษก อว. ซึ่งเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2559 ที่กำหนดให้ทุกส่วนราชการแต่งตั้งผู้ทำหน้าที่โฆษกกระทรวง/หน่วยงานอย่างเป็นทางการ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของทางราชการ แล้วแจ้งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรวบรวมรายชื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ และเผยแพร่รายชื่อดังกล่าวให้สาธารณชนทราบด้วย ดังนี้  

                1. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นโฆษก อว. 

                2. ศาสตราจารย์ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัด อว. เป็นรองโฆษก อว.

 

31. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง จำนวน 5 ราย ดังนี้

                1. นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมปศุสัตว์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                2. พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย รองเลขาธิการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

                3. นายชาตรี บุญนาค รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมส่งเสริมการเกษตร ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

                4. นายสุชาติ เจริญศรี รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมชลประทาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

                5. นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมส่งเสริมสหกรณ์

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

 

32. เรื่อง การคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) จำนวน 7 คน ดังนี้ 

                1. นายนิพนธ์ ฮะกีมี            เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายใน คปภ. 

                2. นายวรวิทย์ เจนธนากุล    เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบัญชีใน คปภ.

                3. นายวิชัย อัศรัสกร           เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านบริหารธุรกิจใน คปภ.

                4. นายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย     เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินใน คปภ. 

                5. นายสุวิชญ โรจนวานิช            เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ใน คปภ. 

                6. นางฤชุกร สิริโยธิน                 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ใน คปภ.

                7. นายรพี สุจริตกุล             เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการประกันภัยใน คปภ.                  

33. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ 

                1. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ จำนวน 3 คน แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเกษียณอายุราชการ ได้แก่  

                        1.1 ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง 1) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ 2) นายดนุชา พิชยนันท์ 

                        1.2 ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการ นายทศพร ศิริสัมพันธ์  

โดยให้ผู้ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว 

                2. ให้ นายวิบูลย์ ฤกษ์ศิระทัย ซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งมิใช่ข้าราชการตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 มีนาคม 2563 เปลี่ยนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการดังกล่าว ในส่วนของผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานภาพของ นายวิบูลย์ฯ ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจด้านกิจการพลังงาน ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงพลังงาน

                ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป

 

34. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการคลัง)

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอรับโอน นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวงสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการคลัง ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารสูง) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่ว่าง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top