สภาธุรกิจสหรัฐขอพบบิ๊กตู่
เพิ่มการลงทุนในเมืองไทย
‘แอปเปิ้ล-ฟอร์ด มอเตอร์’
ร่วมเจรจาข้อตกลงสองฝ่าย
เปิดทำเนียบต้อนรับ25พ.ย.
นักธุรกิจสหรัฐฯ ที่ประกอบธุรกิจในไทย เตรียมพบ“นายกฯ” 25 พฤศจิกายน เตรียมหารือเพิ่มการลงทุนในไทยหลัง “โควิด-19” คลี่คลาย ด้าน “เฉลิมชัย” เปิดประชุมเกริกวิชาการระดับนานาชาติ ปี 2563 ชูงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม สู่เกษตรวิถีชีวิตใหม่
วันที่ 21 พ.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “รัฐบาลเล่าเรื่อง โดยนารีสโมสร” ซึ่งเผยแพร่ผ่านเพจเฟซบุ๊ก”ไทยคู่ฟ้า” ว่า สภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (US- ASEAN Business Council: USABC) จะนำคณะนักธุรกิจสหรัฐอเมริกาที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในวันที่ 25 พ.ย.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล พร้อมร่วมประชุมทางไกลผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอเร้นซ์ กับคณะนักธุรกิจที่อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ บริษัท แอปเปิ้ล ,บริษัท 3M , บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ , ธนาคารซิตี้แบงก์, บริษัท เฟดเดกซ์ (FedEX), บริษัท ไบเออร์ (Bayer), บริษัท ไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นต้น
นายอนุชา กล่าวว่า การหารือดังกล่าว จะครอบคลุมภาคธุรกิจพลังงาน การสื่อสาร, โทรคมนาคม ,ยา ,ยานยนต์ ,การขนส่ง และภาคการเงินการธนาคาร โดยมีรายงานว่าจะเป็นการหารือถึงการสนับสนุนการลงทุนในไทย ช่วงหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลาย และอาจหารือถึงความเปลี่ยนแปลงตัวประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ด้วย
ด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตร เกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเกริกวิชาการระดับชาติ ประจำปี 2563 เรื่อง “การขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” พร้อมปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การสร้างความสมดุลวิถีชีวิตใหม่กับสภาวะเศรษฐกิจสังคมไทย” ณ ศูนย์ประชุมวิชาการนานาชาติ อาคาร ดร.เกริก มหาวิทยาลัยเกริก ว่า จากสถานการณ์ของวิกฤตโควิด 19 ในช่วงปีนี้ ได้ส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของคน ไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจและสังคม ทําให้กิจกรรมการผลิต การขนส่ง ภาคบริการต่าง ๆ หยุดชะงัก อย่างไรก็ตาม ในระยะแรก ภาคเกษตร ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานที่ และปัญหาด้านโลจิสติกส์ ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศไทยคลี่คลาย จึงเป็นโอกาสดีของภาคเกษตร ที่ประเทศต่าง ๆ มีการนําเข้าอาหารจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสให้ภาคเกษตรปรับตัวสู่วิถีใหม่ ที่จะมีการใช้ เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการทําการผลิตและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร รวมทั้งใช้สื่อออนไลน์เข้าถึง ช่องทางการตลาดได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โควิด-19 ทําให้รูปแบบพฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ภาคการเกษตรจึงต้องปรับตัวในหลาย ๆ เรื่อง ดังนี้ 1. การให้ความสําคัญกับกระบวนการผลิตสินค้าที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และได้มาตรฐาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ 2. การค้าออนไลน์จะเปิดโอกาสให้สร้างอัตลักษณ์ของสินค้าของตนเอง โดยสร้างความดึงดูดให้กับสินค้าออนไลน์ สามารถขายสินค้าภายใต้ Brand Name ของตนเอง/ของกลุ่ม/ ของชุมชน ไปยังผู้บริโภคโดยตรงผ่าน Online Market โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมมือ กับกระทรวงพาณิชย์ 3. แรงงานที่กลับคืนถิ่น ใช้ภาคเกษตรเป็นฐานรองรับแรงงาน โดยใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) ในการบ่มเพาะเกษตรกรให้เป็น Smart Farmer และ Young Smart Farmer ใช้ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC) ในการบ่มเพาะผู้ให้บริการทางการเกษตร ทั้งผู้ประกอบการ และ Start Up เพื่อให้บริการเครื่องจักรกลทางการเกษตร ให้คําปรึกษาในการลงทุนภาคการเกษตร 4. ภาคเกษตรเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ต้องใช้เทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานที่สูงอายุ ทําให้เกิดการรวมกลุ่ม เช่น ระบบเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิต และทําให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและ เครื่องจักรกลสมัยใหม่ รวมทั้งใช้ Agri-Map เพื่อจัดทํา Zoning เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งอุปสงค์ และอุปทานของสินค้าเกษตร
“รัฐบาลให้ความสำคัญกับงานวิจัย ซึ่งประเทศไทยยังมีความต้องการงานวิจัยทางการเกษตรเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ดังนั้นจึงอยากเห็นงานวิจัยต่างๆ ถูกนำไปใช้ต่อยอด ก่อให้เกิดประโยชน์ พัฒนาให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อยกระดับการเกษตร โดยงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม ถือเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตใหม่ สามารถลดต้นทุน สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มมูลค่า คุณภาพผลผลิตการเกษตรได้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนนโยบายต่างๆ เพื่อภาคเกษตรไทย อาทิ แนวคิด “การตลาดนําการผลิต” โดยเพิ่มช่องทางและโอกาสทางการตลาด ที่สําคัญตามแนวทางนโยบายตลาดนําการเกษตร เพื่อช่วยให้เกษตรกรและผู้บริโภคสามารถซื้อขายสินค้า เกษตรออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างสินค้าทางเลือก/พืชทางเลือกใหม่ที่มีศักยภาพให้กับ เกษตรกร การรวมกลุ่มเพื่อแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ เฉพาะถิ่น พัฒนาคุณภาพ สินค้าให้ได้มาตรฐาน เป็นที่ต้องการของตลาด รวมถึงการตรวจสอบ ย้อนกลับและนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการผลิต และแปรรูป การประกันภัยพืชผล เป็นต้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี