เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2564 นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ได้เผยแพร่สารจากหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2564 มีเนื้อหาระบุว่า
ในปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปนั้น มีเรื่องราวหลายอย่าง ตั้งแต่การระบาดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 จากเมืองอู่ฮั่น ตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2562 ลามเข้าสู่เมืองไทย ณ 12 มกราคม 2563 มีผู้ติดเชื้อรายแรก ทำให้สถานการณ์ในประเทศไทยเริ่มมีผลกระทบในด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามคนจีนออกนอกประเทศเพื่อระงับการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างสูงมาก เพราะนักท่องเที่ยวจากจีนสูงถึงปีละ 11 ล้านคน อีกทั้งไวรัสโคโรน่า 2019 ได้ลามไปยังทวีปยุโรป ทวีปอเมริกา ทวีปเอเซีย จนไปทั่วทั้งโลก จวบจนปัจจุบันก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
ส่วนประเทศไทยเองก็ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศสกัดโรคระบาด เมื่อ 25 มี.ค.2563 และ lock down ในที่สุดร่วม 3 เดือนเต็ม จนผู้ติดเชื้อในประเทศเป็นศูนย์ แล้วก็คลายล็อคทั้งหมด เหตุการณ์ก็คลี่คลายในที่สุด ซึ่งผมก็ดีใจที่ประชาชนไทยมีความสามัคคีร่วมมือกันจนสกัดโควิดสำเร็จ แม้จะแลกมาด้วยเศรษฐกิจที่เสียหายอย่างมากกว่า 3 - 4 ล้านล้านบาท รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้เงินมหาศาลผ่าน พ.ร.ก.กู้เงิน 3 ฉบับ กว่า 1.9 ล้านล้านบาท มาดูแลเยียวยาประชาชนและระบบเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องการเมืองก็มีเหตุการณ์ที่สำคัญ คือ การยุบพรรคอนาคตใหม่ ย้ายสังกัดพรรค ทำให้ฟากรัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่เหมือนเดิมที่เสถียรภาพปริ่มน้ำ แต่ก็ทำให้เกิดเหตุการแฟลชม็อบขึ้นทั่วประเทศ ต่อมาที่เรียกว่า คณะราษฏร 63 มาเรียกร้อง ขับไล่รัฐบาล อีกทั้งข้อเรียกร้องที่สำคัญ 1.นายกรัฐมนตรี ต้องลาออก 2.แก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลก็ประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรง สลายการชุมนุม ดำเนินคดีกับแกนนำม็อบ โดยเฉพาะดำเนินคดีตาม ป.อาญา มาตรา 112 มีการปลุกม๊อบแฝงปกป้องรัฐบาลไปในตัว มีการใช้ความรุนแรง จัดม็อบชนม็อบ ในรัฐสภาก็มีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ให้ตั้ง สสร.แก้ไขตัดอำนาจ ส.ว.เลือกนายกรัฐมนตรี มีการเต๊ะถ่วงกันพอสมควร ณ ปัจจุบันอยู่ระหว่างแก้ไข รธน.60 ในชั้นกรรมาธิการ ก่อนเข้าวาระ 2 - 3
ช่วงปลายปี 2563 โควิด-19 ก็กลับเข้ามาในประเทศไทยอีกครั้งผ่านแรงงานพม่าหลบหนีเข้าไทยแบบผิดกฎหมาย ที่ จ.สมุทรสาคร จำนวนมาก ไม่กักตัว เนื่องจากเจ้าที่รัฐบกพร่อง ปล่อยปละละเลย อีกทั้งมีการลักลอบเปิดบ่อนการพนันในหลายจังหวัด ทำให้การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จนทำให้สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 กลับมาวิกฤตในประเทศไทยอีกครั้งนึง แต่ครั้งนี้น่าจะรุนแรงกว่าครั้งเก่ามาก ซึ่งจะนำความเดือดร้อนกระทบชีวิต สุขภาพ สภาพเศรษฐกิจที่ทรุดหนักต่อจากครั้งเดิม รายรับการท่องเที่ยวหายสนิท การส่งออกก็ลดลงอย่างมาก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อประชาชน
ดังนั้น สถานการณ์ปัจจุบันคงหนีไม่พ้นการกู้เงินเพิ่ม หรือประมาณอีกกว่า 2.8 ล้านล้านบาท (กู้มาชดเชยขาดดุลงบประมาณปี 64 สัก 8 แสนล้านบาท+กู้มาชดเชยขาดดุลปี 65 สัก 1.0 ล้านล้านบาท+กู้ดูแลประชาชนจากโควิดรอบ 2 อีก 1 ล้านล้านบาท) ซึ่งประเทศไทยเราไม่เคยกู้มากขนาดนี้มาก่อน ซึ่งก็จำเป็น เพราะถ้าไม่กู้ ข้าราชการก็จะไม่มีเงินเดือนจ่าย ประชาชนไร้รายรับ จึงไม่มีกำลังซื้อ ก็จะต้องเดือดร้อนกันแบบสุดๆ
ผมเองในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย จึงขอเสนอแนะให้รัฐบาลกู้เงินแบบรัดกุมรอบคอบประหยัด อย่าไปเอื้อนายทุนมากนัก ควรจ่ายประชาชนทุกคน อย่าเงื่อนไขเยอะ เพราะสุดท้ายประชาชนทุกคนก็ร่วมกันใช้หนี้ก้อนนี้ พร้อมให้รัฐบาลหาทางนำรายได้ใต้ดิน นอกระบบเข้าสู่ระบบภาษี อาทิ การเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย เน้นชาวต่างชาติเล่นทั่วโลก การลงทุนขนาดใหญ่สร้างคลองไทยฟื้นฟูเศรษฐกิจการลงทุน การเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมอีกกว่า 120 ล้านไร่ เพื่อเพิ่มการส่งออกสินค้าไปยังประเทศที่ขาดแคลนอาหาร โดยสร้างระบบโซล่าโดมผันน้ำทะเลเป็นน้ำจืดเข้าสู่ระบบชลประทานให้น้ำเพียงพอต่อพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ผมก็หวังว่าในปีใหม่ 2564 นี้ รัฐบาลจะสามารถแก้ไขสถานการณ์อันหนักหน่วงนี้ได้อย่างรอบคอบ ไม่ชักช้าจนเสียหาย ผมให้กำลังใจ ทั้งรัฐบาล ส.ส.ฝ่ายค้าน ส.ส.รัฐบาล ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างราชการ ผู้ประกันตน เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และประชาชน ให้เราคนไทยทั้ง 66 ล้านคน ผ่านพ้นไปได้โดยเร็ววันครับ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี