‘ธนาธร’พล่านแจงหลังพาดพิงวัคซีน อ้างทำเพื่อชาติ โยนรัฐงัด‘ม.112’ ปิดปาก

‘ธนาธร’พล่านแจงหลังพาดพิงวัคซีน อ้างทำเพื่อชาติ โยนรัฐงัด‘ม.112’ ปิดปาก

วันพฤหัสบดี ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564, 14.47 น.

‘ธนาธร’พล่านแจงหลังพาดพิงวัคซีน อ้างทำเพื่อชาติ โยนรัฐงัด‘ม.112’ ปิดปาก

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 21 มกราคม 2564 ที่อาคารไทยซัมมิท สำนักงานคณะก้าวหน้า นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงชี้แจงกรณีหลังออกมาตั้งข้อสังเกต และเปิดเผยข้อมูลสำคัญเรื่องการจัดหาและผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า เรื่องการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 เป็นเรื่องสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับอนาคตและเศรษฐกิจของประเทศไทย หากประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนได้ช้ากว่าและน้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้านจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจของเรา การมีวัคซีนก็เหมือนกับแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่อย่าลืมว่าเราอยู่ยังอยู่ในอุโมงค์ ดังนั้นข้อเท็จจริงเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายประเทศสามารถหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากรของประเทศ


“ความเสี่ยง คือ หากประเทศไหนสร้างภูมิคุ้มกันได้เสร็จก่อน ก็มีโอกาสฟื้นตัวและกลับมาฟื้นฟูประเทศได้เร็วกว่าประเทศอื่น ประชาชนจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ทุกวันนี้ก็เห็นว่าประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า หากฉีดช้า 6 เดือน ประชาชนก็จะเดือดร้อนไปอีก 6 เดือน มีแต่ความไม่แน่นอนเต็มไปหมดและใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว นี่คือเหตุผลที่เราต้องออกมาบอกรัฐบาลและออกมาพูดกับประชาชนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น”

นายธนาธร กล่าวว่า วันนี้เรามีดีลวัคซีนที่ทำกับบริษัท AstraZeneca ซึ่งมีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นองค์กรที่แสวงหากำไร หากปิดชื่อถือหุ้นของบริษัทนี้ออกไป บริษัทนี้ก็ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลจำนวนมหาศาล ซึ่งมาจากภาษีประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนไม่สมควรที่จะเข้าไปตรวจสอบว่า ดีลที่เกิดขึ้นมีความเป็นปกติหรือไม่ เพราะเงินที่นำไปสนับสนุนบริษัทนี้มาจากภาษีประชาชน แล้วก็ปรากฏชัดจากเอกสารที่เราดูว่า เป็นการทำดีลเดียวกันที่เกี่ยวโยงกันระหว่าง 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ และ บริษัท AstraZeneca ที่สำคัญคือวัคซีนที่กำลังพูดถึงมาจากภาษีประชาชน

นายธนาธร กล่าวว่า พวกเราทำงานเราตรวจสอบการใช้เงินที่มาจากภาษีประชาชนกับทุกบริษัทที่เป็นเอกชน บทบาทของตน และเพื่อนของตนที่ย้ายไปอยู่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ก็ทำหน้าที่ตรวจสอบการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน เรามีความเชื่อว่าสัญญาก้อนใหญ่นั้น ไม่ได้เจรจาอย่างเป็นเอกเทศ จากเอกสารไม่ระบุว่าไม่มีการคัดเลือกและเปรียบเทียบจึงต้องตั้งคำถาม และเมื่อพวกเราตั้งคำถามกับการที่ประเทศไทยจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมจำนวนประชากรได้น้อยและฉีดช้ากว่าประเทศอื่นว่า มาจากการที่รัฐบาลได้เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนรายใดรายหนึ่งหรือไม่ กลับทำให้ตนถูกรัฐบาลฟ้อง

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้มาตลอด หากย้อนกลับไปดูพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พยายามบิดเบือนประเด็นทุกครั้ง เมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์การบริหารงานและการทำงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะยกสถาบันฯ มากลบเกลื่อนความผิดพลาดการบริหารงานของตัวเองตลอด โดยอ้างว่าจงรักภักดี และทำไปเพื่อปกป้องสถาบันฯ จนคนตั้งคำถามถึงสถาบันฯ ดังนั้นคนที่ดึงสถาบันเข้ามาเกี่ยวกับวัคซีนไม่ใช่ตนแต่เป็นพล.อ.ประยุทธ์

“หากการตั้งคำถามกับการใช้งบประมาณของรัฐบาลแล้วถูกโดนคดีแบบ นี้ต่อไปหากวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลก็จะมีการฟ้องปิดปากแบบนี้อีกใช่หรือไม่ ในฐานะที่เราเป็นพลเมืองไทยมีส่วนได้ส่วนเสียกับอนาคตของประเทศ จึงต้องมาหาทางออกร่วมกันว่าตกลงการวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจคือ การไม่จงรักภักดีหรือไม่หรือ หรือเป็นศัตรูกับสถาบันฯ หรือไม่ ในสังคมไทยทั้งสังคมต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนี้”

เมื่อถามว่าการที่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เป็นเพราะเรียกร้องให้ตรวจสอบวัคซีนพระราชทานหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า วัคซีนพระราชทานเราไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นใช้ มีคนใช้เรื่องนี้มาก่อน ถ้ามันเป็นเรื่องของบริษัทเอกชน ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเอกชน มีคนเริ่มใช้เรื่องนี้มาก่อน และตนคิดว่าสื่อมวลชนสามารถไปสืบดูกันเองได้ว่าใครเป็นคนเริ่มใช้คำศัพท์นี้ ซึ่งไม่ใช่ตน อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงคือการจัดซื้อวัคซีนครั้งนี้มาจากเงินภาษีของประชาชน รัฐบาลเอาภาษีประชาชนไปสั่งซื้อวัคซีนจากบริษัทแอสตร้า เซเนก้า เอาเงินส่วนนั้นจำนวนหนึ่งไปสั่งจ้างบริษัทสยามไบโอไซเอนท์ผลิต

เมื่อถามว่าข้อมูลเรื่องผลกำไรของบริษัทสยามไบโอไซเอนท์ นายธนาธร กล่าวว่า คำถามคือเราไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ออกมายืนยันเรื่องนี้เลย แอสต้าเซเนก้าออกมาพูดชัดว่าหลักการเขาคือเรื่องไม่ขาดทุนและไม่มีกำไร ( No Profit – No loss)  ไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทย แต่กับทุกบริษัทที่เขาทำสัญญาด้วยทั่วโลก เราเคยเห็นสยามไบโอไซเอนซ์ ออกมาพูดถึงหลักการนี้หรือไม่ เจ้าหน้าที่รัฐบาลไม่ใช่ตัวบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์  เราไม่เคยเห็นหลักการนี้ที่ออกมาจากสยามไบโอไซเอนซ์โดยตรงเลย จึงขอเรียกร้องให้เปิดสัญญาออกมา ว่ารัฐบาลไทยกับสยามไบโอไซเอนซ์ แอสตร้าเซเนก้ากับสยามไบโอไซน์ มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ตลอดทั้งห่วงโซ่การผลิตหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่รู้ ถ้าอยากให้สังคมไทยรู้ก็เปิดเอกสารออกมา เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว

“ที่ผ่านมามีใครเคยเห็นหรือไม่ว่าบริษัทนี้ผลิตยาออกมาขายในราคาเท่าไร ต่ำกว่าราคาตลาดจริงหรือไม่ มีใครเห็นเอกสารชุดนี้หรือไม่ ผมอาจจะไม่เห็นก็ได้ เอกสารหลักฐานที่บอกว่าเอายาออกมาขายต่ำกว่าราคาตลาดจริงๆ  ผมสามารถยืนยันได้ว่ามีบริษัทอื่นๆอีกเยอะที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นบริษัทที่ทำกำไรและเป็นบริษัทที่แสวงหากำไร ดังนั้นเวลาเราพูดเรื่องเหล่านี้ก็ตั้งคำถามกลับว่าหลักฐานอยู่ที่ไหน ตกลงยาอะไร ผลิตด้วยต้นทุนเท่าไร และขายต่ำกว่าราคาทุนจริงหรือเปล่าที่ทำให้ขาดทุน พูดง่ายๆ จริงๆ คำว่าขายต่ำกว่าทุนก็ต้องอธิบายยาวแล้ว เป็นบริษัทเอกชน ใครเคยบริหารงานในเอกชนก็รู้ ว่าขายต่ำกว่าทุนไม่ได้ พอเป็นบริษัทจำกัด ดังนั้นจึงฝากตั้งคำถามด้วย” นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่นายธนาธรบริจาคอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ในสถานการณ์โควิดมีความคืบหน้าอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า เรื่องนี้สืบค้นได้ไม่ยาก ไปโรงพยาบาลต่างๆ เหล่านี้ก็จะเจอ เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นที่พวกเราใส่ใจ ชื่อโรงพยาบาลก็เปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว เชิญผู้สื่อข่าวไปตรวจสอบและทำความจริงให้ปรากฏด้วย

เมื่อถามว่าปัจจุบันนายธนาธรถูกดำเนินคดีกี่คดีแล้ว นายธนาธร กล่าวว่า ตนจำไม่ได้และเลิกนับไปแล้ว

นายธนาธร กล่าวอีกว่า ตนอยากอธิบายให้พี่น้องประชาชนเข้าใจด้วยว่า ตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่มาจนถึงวันนี้ ไม่มีสิ่งใดเลยที่เราทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ไม่มีอะไรแม้แต่นิดเดียวที่เราทำเพื่อให้ตนและพวกพ้องได้ประโยชน์ สิ่งที่พวกเราพูดพวกเราทำทั้งหมด ตั้งแต่ตั้งพรรคอนาคตใหม่ พวกเราทำเพราะพวกเราใส่ใจอนาคตของลูกหลาน เพราะพวกเราห่วงประเทศไทย เพราะพวกเราอยากเห็นประเทศที่ดีกว่านี้

“ผมอายุ 42 ปี ทำงานการเมืองมาได้ 2 ปี ก่อนมาทำงานการเมืองไม่เคยมีคดีแม้แต่คดีเดียว ไม่เคยขึ้นโรงพักที่ไหน ไม่เคยต้องขึ้นโรงขึ้นศาลที่ไหน พอมาทำการเมืองปุ๊บ นับไม่ถ้วนเลยตอนนี้ ผมยืนยันอีกครั้งในเรื่องความปรารถนาดีต่ออนาคตของประเทศไทย ต่อชาติบ้านเมือง ต่ออนาคตของลูกหลาน และยืนยันอีกครั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาแล้ว และทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำต่อไป เป็นเรื่องผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเลย” นายธนาธร กล่าว

เมื่อถามว่ามองว่าที่โดนดำเนินคดี 112 เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนคิดว่าคดีนี้มีแรงจูงใจทางการเมือง เราวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ แทนที่จะออกมาชี้แจง แต่สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ทำคือการใช้มาตรา 112 เพื่อมาปิดปากคนที่วิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกพล.อ.ประยุทธ์อ้างเสมอเรื่องความจงรักภักดี เรื่องการปกป้องสถาบันฯ และเอาเรื่องต่างๆ เหล่านี้มาบิดเบือนมากลบเกลื่อนความล้มเหลวในการบริหารประเทศของตัวเอง

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top