คาด ศบค. ขยายล็อกดาวน์ 13จังหวัดแดงเข้ม อีกอย่างน้อย 14 วัน เล็งกระจายวัคซีนไปจังหวัดต่างๆที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หลังเปิดให้กลับไปรักษาตัวที่ภูมิลำเนา พร้อมคุมเข้มชายแดนเมียนมา สกัดลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย
วันที่ 31 กรกฎาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้เรียกประชุม ศบค. ผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ในเวลา 13.30 น. โดยมีรายงานว่า ที่ประชุมจะปรับเพิ่มมาตรการจากที่กำหนดเล็กน้อย เนื่องจากมาตรการเดิมที่ใช้ขณะนี้ดีอยู่แล้ว และจะพิจารณาขยายเวลาล็อกดาวน์ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัดออกไปอีกอย่างน้อย 14 วัน ทั้งนี้จะรอฟังทางคณะแพทย์ที่ได้ประเมินและเสนอขึ้นมาอีกครั้ง เพราะยังเป็นห่วงเรื่องการเคลื่อนย้ายข้ามเขตพื้นที่ว่าจะเป็นการกระจายเชื้อออกไปยังพื้นที่อื่น
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ศบค.เห็นใจประชาชน แต่การจะไปห้ามหรือซีลประชาชนก็คงไม่ได้ เพราะทุกคน ทุกอาชีพยังจำเป็นอยู่ และสิ่งที่ยังไม่มีข้อมูลเชิงสถิติหรือเชิงลึก คือมีประชาชนส่วนหนึ่งเมื่อได้รับวัคซีนไปแล้วขาดความระมัดระวัง การฉีดวัคซีนไม่ให้อาการรุนแรง ไม่ใช่ว่าฉีดวัคซีนแล้วจะไม่ติด แต่เมื่อเพิ่มความเข้มของมาตรการ ประชาชน ก็จะไม่ให้ความร่วมมือมากกว่านี้ จนกลายเป็นว่ามาตรการนั้นเสื่อมไป
อย่างไรก็ตามสำหรับแผนการกระจายวัคซีนเดือนสิงหาคมนี้นั้น จะเริ่มกระจายไปจังหวัดต่างๆที่มีการระบาดมากขึ้น ภายหลังพบว่าหลายจังหวัดที่มีนโยบายรับประชาชนที่ติดเชื้อกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อในแต่ละจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องกระจายวัคซีนไปตามจังหวัดต่างๆเหล่านั้นด้วยเพื่อควบคุมการระบาดให้ได้ แต่ทั้งนี้ การฉีดก็จะเป็นไปตามเกณฑ์เดิมคือฉีดให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป ผู้ที่มี 7 กลุ่มโรคเสี่ยง และสตรีมีครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไปก่อน ทั้งนี้ตัวเลขการติดเชื้อและเสียชีวิตที่พบส่วนใหญ่ อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ไม่กล้าลงทะเบียนฉีดวัคซีน เนื่องจากเกิดความสับสนของข้อมูลจาก 2 ฝ่าย ดังนั้นสื่อมวลชน จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยนำเสนอข้อมูลของรัฐบาล และตำหนิได้ในเรื่องที่สมควรตำหนิ ไม่ใช่ตำหนิตลอดเพราะจะทำให้คนสับสนได้
ส่วนข้อเสนอให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคเพิ่มจากอเมริกา ให้กับกลุ่มเด็ก 12-18 ปี เนื่องจากช่วงอายุดังกล่าวไม่สามารถฉีดยี่ห้ออื่นได้นั้น เรื่องนี้ทางทีมแพทย์เห็นว่ายังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าฉีดไปแล้วจะปลอดภัย จึงยังไม่ได้ตัดสินใจให้ฉีด ดังนั้นการจัดสรรจะให้กลุ่มแพทย์ กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่ม 7 โรคเสี่ยงและสตรีมีครรภ์ตั้งแต่ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ก่อน
นอกจากนี้ คาดว่าจะมีการหารือถึงความคืบหน้าการจัดหาวัคซีน ตามที่นายกฯ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ และภาคธุรกิจไปเจรจากับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนเพิ่มเติม นอกเหนือจากที่กระทรวงสาธารณสุขไปจัดหา พร้อมการติดตามความคืบหน้าและการปรับแผนการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนในกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน รวมถึงการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ 1.54 ล้านโดส ให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าและกลุ่มเป้าหมาย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี