‘อัษฎางค์’เล่า‘ข้อเท็จจริงกรณีในหลวงร.8ในหลวงร.9 ตอนที่2‘ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน’

‘อัษฎางค์’เล่า‘ข้อเท็จจริงกรณีในหลวงร.8ในหลวงร.9 ตอนที่2‘ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน’

วันพุธ ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564, 12.23 น.

 

 


เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2564 นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ด้านประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค ในหัวเรื่อง ข้อเท็จจริงกรณีในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9

ตอนที่ 2 “ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

19 สิงหาคม 2489

วันที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ และมีความในพระราชหฤหัยที่จะสละราชสมบัติ

แต่แล้วมีประชาชนมาเฝ้าส่งเสด็จเป็นจำนวนมาก พร้อมเสียงร้องอันเป็นที่มาของจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์อันสำคัญจากประชาชนตัวเล็กๆ

“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

ซึ่งเป็นเสียงสะท้อนจากคนไทยว่ามีความเคารพรัก เทอญทูนและมีความไว้เนื้อเชื้อใจต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าสถาบันการเมืองและรัฐบาล

เป็นตัวบ่งชี้ทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจนยิ่งว่า

ประชาชนที่อยู่ร่วมสมัยในเหตุการณ์สวรรคตของรัชกาลที่ 8 รู้อยู่เต็มอกทุกคนว่า ในหลวงรัชกาลที่ 8 ถูกฆาตกรรมเพราะ “การเมือง”

ไม่ใช่เรื่องน้องฆ่าพี่อย่างที่บิดเบือนให้ร้าย 2 พี่น้องที่เป็นพระมหากษัตริย์จากครอบครัวที่รักสงบและสมถะ ที่สนิทสนม รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง

…………………………………………………………………….

“อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า

ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเคราะห์กรรม

ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น"

พระราชดำรัสในหลวงรัชกาลที่ ๙ จากบันทึกของพระพินิจชนคดี เรื่อง”เมื่อข้าพเจ้าบินไปสืบกรณีสวรรคตที่สวิตเซอร์แลนด์” ภายหลังจากที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๘ เสด็จสวรรคตอย่างไม่มีใครคาดคิดเมื่อช่วงเช้าของวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ ราชสกุลมหิดลตกอยู่ในความเศร้าโศกอย่างหาที่สุดมิได้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๙ ต้องเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติในทันทีอย่างไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน

เป็นพระราชดำรัสที่แสดงถึงความรักและความผู้พันที่มีต่อกันระหว่างน้องชายกับพี่ชาย ที่สนิทสนม รักใคร่กันยิ่งตั้งแต่เกิดจนโต

…………………………………………………………………….

ความโศกเศร้าและความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ทางการเมือง ที่แก่งแย่งชิงดีถึงขนาดเกิดคดีฆาตกรรมพระมหากษัตริย์ ที่ทำให้พระองค์ต้องสูญเสียพี่ชายอันเป็นที่รักยิ่ง ทำให้ทรงไม่คิดจะครองราชบัลลังก์ แต่ด้วยภาวะจำยอมทำให้ทรงคิดในพระราชหฤทัยตลอดเวลาว่าอยู่เพียงในตำแหน่งเพื่อรักษาการในระยะสั้นๆ ในช่วงพระราชพิธีบรมศพเท่านั้น

แต่สิ่งที่ทำให้พระองค์เปลี่ยนพระทัย คือเสียงและความรู้สึกของประชาชน ผู้ที่ต้องการที่พึ่งพิง

“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

เสียงจากตัวแทนประชาชน ที่มาเฝ้ารอส่งเสด็จจำนวนมากมายมหาศาล บ่งบอกอะไรกับเรา?

ลองอ่านประวัติศาสตร์ต่อไปนี้ ที่จะทำให้เราเห็นถึงความรัก ความศรัทธา ความเทิดทูน ความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งมากกว่าความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนต่อรัฐบาลและฝ่ายการเมือง

…………………………………………………………………….

“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”

เป็นข้อความในพระราชนิพนธ์ “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระราชนิพนธ์ในรูปแบบบันทึกประจำวันตั้งแต่เสด็จจากประเทศไทย เพื่อไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙ ก่อนเสด็จออกเดินทาง ๓ วัน จนถึงวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๙

ทรงพรรณนาความรู้สึกของพระองค์ยามจากเมืองไทย

วันที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๙...

"วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์ ตลอดทางที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านฝูงชนที่มาส่งเสด็จอย่างล้นหลาม ได้ทอดพระเนตรเห็นประชาชนที่แสดงความจงรักภักดี

บางแห่งใกล้จนทอดพระเนตรเห็นดวงหน้าและแววตาชัด ที่บ่งบอกถึงความเสียขวัญอย่างใหญ่หลวง ทั้งเต็มไปด้วยความรักและห่วงใย

อันเป็นภาพที่ทำให้อยากรับสั่งกับเขาทุกคน ถึงความหวังดีที่ทรงเข้าพระทัย และขอบใจเขาเช่นกัน

ขวัญของคนเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าขาดกำลังใจ ถ้าขวัญเสีย มีแต่ความหวาดระแวง ประเทศจะมีแต่ความอ่อนแอและแตกสลาย

ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่า ล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง

รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด

ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพรได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ เข้าพระกรรณ์ ว่า....

“ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”

อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า

“ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้”

เสียงนั้นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พระองค์ท่านทรงนึกถึงประชาชนอยู่ตลอดเวลา

เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้นเป็น "พลทหาร" และในปัจจุบันเขาออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด

เขากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร เขาทูลว่าตอนที่เขาร้องไปนั้น...เขารู้สึกว้าเหว่และใจหาย ที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีก....

เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯ อีก กราบบังคมทูลถามว่า...

“ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชน”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า “เราน่ะหรือที่ร้อง”

“ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า”

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ “นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา”

…………………………………………………………………….

และตลอดรัชกาลถึง 70 ปี ที่ทรงงานหนักเพื่อชาติและประชาชน ผลงานของพระองค์ขจรขจายไปทั้งทั้งโลก

ทรงมีพระราชดำรัสกับผู้ใกล้ชิดเสมอว่า การจะทำอะไรให้กับประชาชน ต้องจำหลักไว้เสมอว่า “ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ” หมายถึงต้องการกระทำที่เข้าใจในปัญหาอย่างแท้จริง เข้าถึงประชาชนที่จะได้รับการช่วยเหลือ และได้รับความเห็นชอบยินยอมพร้อมใจที่จะร่วมกันทำ จากนั้นจึงเริ่มพัฒนา งานทุกอย่างจึงสัมฤทธิผล

จะหาแผ่นดินใดในโลก ที่พระราชาผู้เป็นพระประมุขของชาติ ทรงงานหนักยิ่งกว่าข้าแผ่นดิน

จะหาแผ่นดินใดในโลก ที่พระราชากับราษฎรสามารถอยู่ใกล้ชิดกันได้ เล่าสุขเล่าทุกข์ยากถวายได้ อย่างไม่มีอะไรมากั้นกีดขวางเช่นนี้

…………………………………………………………………….

อัษฎางค์ ยมนาค

ตอนที่ 1: พระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตย

https://www.facebook.com/100566188950275/posts/132315902441970/?d=n

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top