‘บิ๊กตู่’เตรียมลงนามประกาศ
แผนเปิดประเทศ
คาดกว่า50ชาติบินเที่ยวไทย
ตั้งเงื่อนไขคัดกรองเข้มงวด
ป่วยใหม่9,727ราย/ดับ73ศพ
กทม.-ปริมณฑลระบาดลดลง
เชียงใหม่วิกฤตเตียงสนามเต็ม
ปิดภูทับเบิกพบคลัสเตอร์ใหม่
ยอดป่วยโควิดไทยรายวันยังต่ำกว่าหลักหมื่นอยู่ที่ 9,727 ราย ตาย 73 ศพ“สธ.”พยายามลดให้เหลือน้อยที่สุด ชี้สถานการณ์ไทยเบาบาง แต่คนติดเชื้อใหม่ยังมากต้องจับตาระบาดในภาคใต้ ส่งวัคซีนเร่งฉีดสกัดเชื้อลาม เช่นเดียวกับหลายจังหวัดเหนือ-อีสานที่ยอดป่วยใหม่เพิ่ม ส่วนกทม.-ปริมณฑลดีขึ้น ลุ้นจำนวนติดเชื้อต่ำกว่าพันคน นายกฯเซ็นแผนรองรับเปิดประเทศพร้อมแถลง คาดเปิดให้ 50 ประเทศบินเข้าไทยได้
เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงรายงานสถานการณ์ระบาดไวรัสโควิด-19 ประจำวันของไทยที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่าหลักหมื่น ต่อเนื่องติดเชื้อ9,727-หายมากกว่า-ตาย73
โดยวันนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อใหม่ 9,727 ราย ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 9,072 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 558 ราย ผู้ป่วยในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 71ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 26 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,792,716 ราย ทั้งนี้ ผู้ป่วยรักษาหายเพิ่ม 10,075 ราย มีแนวโน้มมากกว่าการติดเชื้อใหม่ หายป่วยสะสม 1,672,508ราย ผู้ป่วยกำลังรักษา 103,086 ราย ขณะที่ผู้ป่วยปอดอักเสบ 2,687 ราย ลดลงมากว่าครึ่งหนึ่งจากตอนที่มีสถานการณ์ระบาด ส่วนผู้ใส่ท่อช่วยหายใจจากเดิมเคยพบวันละ 1,300 ราย ลดเหลือ 603 ราย อย่างไรก็ตาม ผู้เสียชีวิตใหม่ 73 ราย เราจะพยายามลดให้เหลือน้อยที่สุด ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกคงตัวอยู่ที่ 3-4 แสนรายใหม่ต่อวัน
5จว.ใต้ติด10อันดับติดเชื้อสูงสุด
ศบค.ยังรายงาน 10 จังหวัดที่ติดอันดับพบผู้ติดเชื้อโควิด - 19 สูงสุด ได้แก่ 1.กรุงเทพมหานคร 1010 ราย 2.ยะลา 653 ราย 3.นครศรีธรรมราช 630 ราย 4.สงขลา 627 ราย 5.ปัตตานี 543 ราย 6.นราธิวาส 374 ราย 7.ชลบุรี 359 ราย 8.เชียงใหม่ 357 ราย 9.สมุทรปราการ 308 ราย และ10.ระยอง 301 ราย
โควิดไทยดีขึ้น-เร่งคุมระบาด4จชต.
“บ้านเราสถานการณ์เบาบางลง แต่ยังมีผู้ติดเชื้อค่อนข้างมากถ้าเทียบในอาเซียน ที่ติดเชื้อมาก คือ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์“นพ.โอภาสกล่าว และว่า แนวโน้มการระบาดของไทยลดลง ที่เห็นชัดเจนคือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล สถานการณ์ดีขึ้น สอดคล้องกับการระดมทุกภาคส่วนควบคุม และฉีดวัคซีนที่ค่อนข้างดี แต่ที่ต้องจับตาคือ การระบาดในภาคใต้ โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดนใต้ ศบค.ตั้ง ศบค.ส่วนหน้าภาคใต้ กระชับการดำเนินการบูรณาการภาครัฐ เอกชน ประชาชนและประชาสังคม กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งวัคซีนลงไปฉีด 4 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อควบคุมการระบาด กรมควบคุมโรค ส่งล็อตแรกประมาณ 5 แสนโดส และสัปดาห์นี้ส่งอีก 5 แสนโดส ให้ครบ 1 ล้านโดส เพื่อควบคุมการระบาด ไม่ให้ลุกลามไปพื้นที่อื่นของประเทศ
เหนือ-อีสานติดเพิ่มเร่งฉีดวัคซีน
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่อื่นบางจังหวัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกำลังจับตาดูใกล้ชิด เราก็ส่งทีม อุปกรณ์และวัคซีนลงไปฉีดเพิ่ม เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น เชื่อว่าถ้าร่วมมือฉีดวัคซีนจะควบคุมการระบาดของโรคได้ ผู้เสียชีวิตแม้แนวโน้มลดลง แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวถึง ร้อยละ 94 ฉะนั้น มาตรการสำคัญลดการเสียชีวิต นอกจากป้องกันแล้วยังต้องฉีดวัคซีนด้วย
กทม.ติดเชื้อลดมีลุ้นต่ำวันละพัน
สำหรับกรุงเทพฯ แนวโน้มติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง ถ้าร่วมมือป้องกันตามมาตรการต่อเนื่อง เชื่อว่าอีกไม่นานจะเห็นผู้ป่วยใน กทม.ต่ำกว่า 1 พันราย และที่เพิ่มเติมคือจังหวัดชายแดนใต้ ต้องอาศัยความร่วมมือแก้ปัญหาควบคุมการระบาดต่อไป
“สรุปสถานการณ์แนวโน้มลดลง แต่ไม่มาก รวมถึงภูมิภาคอาเซียนดูเหมือนลดลง ประเทศไทยแนวโน้มลดลง แต่มีบางพื้นที่สถานการณ์ระบาดเพิ่มเติม นอกจาก 4 จังหวัดชายแดนใต้ ยังมี นครศรีธรรมราช ตาก ระยอง จันทบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่น ซึ่งต้องระดมสรรพกำลัง จากหน่วยงานและประชาชน สธ.นอกจากส่งวัคซีนแล้ว จะส่งเวชภัณฑ์บุคลากรไปสนับสนุนเพิ่มเติม”นพโอภาสกล่าว
ย้ำหยุด4วันป้องกันตัวสูงสุด
นพ.โอภาสยังย้ำว่า ถึงแม้สถานการณ์ระบาดโควิด -19 ในไทยขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ สถานที่เสี่ยง โดยเฉพาะวันหยุด 4 วันนี้ จะเคลื่อนที่เคลื่อนย้ายไปท่องเที่ยว ทำกิจกรรม หรือพิธีทางศาสนาในจังหวัดต่างๆ ขอย้ำเรื่องป้องกันตนเองสูงสุด สวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ รวมถึงเข้าสถานที่เสี่ยงอากาศถ่ายเทไม่สะดวกให้ระมัดระวัง รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงยังไม่ได้ฉีดวัคซีนให้แจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) หรือ โรงพยาบาล (รพ.) เพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมที่สุด
ฉีดแล้ว68.5ล้านโดสสิ้นปีทะลุเป้า
ส่วนจำนวนการฉีดวัคซีนวันที่ 20 ตุลาคมนั้น นพ.โอภาสเผยว่า ไทยฉีดวัคซีนได้เพิ่มขึ้น 915,956 โดส สะสม 68,503,058 โดส เป็นเข็มแรก 39,039,849 ราย คิดเป็น ร้อยละ 54.2 ของประชากร เข็มสอง 27,405,800 ราย คิดเป็นร้อยละ 38 ของประชากร และเข็มสาม 2,057,409 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.9 ของประชากร แนวโน้มเป้าหมายตามแผนเดิมที่สิ้นปี 2564 จะฉีดวัคซีน 70 ล้านโดส เชื่อว่าสัปดาห์หน้าจะเกินเป้าหมาย แสดงว่าเราฉีดเร็วกว่าแผนเดิมกว่า 2 เดือนกว่า ทั้งนี้ เป้าหมาย 100 ล้านโดสสิ้นปี 2564 หากทุกคนร่วมใจกัน วัคซีนที่มามีจำนวนมากขณะนี้ เชื่อว่าพฤศจิกายน หรือต้นธันวาคมน่าจะฉีดได้ครบ 100 ล้านโดสตามกำหนด
เร่งฉีด17จว.นำร่องเกิน70%ก่อนพย.
นพ.โอภาสกล่าวอีกว่า กลุ่มฉีดวัคซีนมากที่สุดคือ สูงอายุ โรคประจำตัวเรื้อรัง อสม. บุคลากรแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งกลุ่มนี้เหมาะสมฉีดวัคซีน เนื่องจากเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงและมีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยใกล้ชิด ภาพรวมทุกอย่างเป็นไปตามเป้าหมาย ระยะหลังไทยมีอัตราฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นน่าพอใจติดอันดับต้นๆ ของโลก แต่พื้นที่จำเพาะซึ่งนายกรัฐมนตรีกำหนดพื้นที่พิเศษสีฟ้า นำร่องท่องเที่ยวเดือนตุลาคม เปิดไปแล้ว 4 จังหวัดคือ ภูเก็ต กระบี่ พังงา และระนอง วัคซีนตรงตามเป้าหมาย ระยะถัดไปที่เพิ่มเติม 15 จังหวัด การฉีดครอบคลุมร้อยละ 70 แล้ว แต่กลุ่มนี้ยังขาดการฉีดอีก 6 แสนกว่าคน สธ.ส่งวัคซีนลงไปให้พื้นที่ฉีดเพื่อครอบคลุมพร้อมเปิดประเทศใน 17 จังหวัดเป้าหมายในเดือนพฤศจิกายนนี้ต่อไป ส่วนพื้นที่ระบาดที่จับตาดู มีการส่งวัคซีนลงไปฉีดอย่างครบถ้วนและต่อเนื่อง คาดว่าจำนวนวัคซีนที่มี กับสถานการณ์การระบาดกับพื้นทีเป้าหมายน่าจะสอดคล้องกัน ขอให้ประชาชนไปรับวัคซีนตามที่กำหนดหรือประกาศเชิญชวน
ไฟเขียวฉีดไฟเซอร์เข็ม2ในนร.ชาย
นพ.โอภาสยังแถลงผลประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 กรณีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 ในเด็กผู้ชายว่า ผลประชุมคณะอนุกรรมการฯวันที่ 20 ตุลาคม มีเรื่องให้วัคซีนไฟเซอร์ในเด็กนักเรียน ซึ่งเริ่มฉีดตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ ฉีดประมาณ 2 ล้านโดส สิ่งที่คณะผู้เชี่ยวชาญพิจารณามี 2 เรื่องคือ ประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งพิจารณาแล้วพบว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่ฉีดเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ถ้าฉีด 2 เข็ม ระดับภูมิคุ้มกันเพียงพอสู้สายพันธุ์เดลต้าได้เทียบกับฉีด 1 เข็ม อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความปลอดภัยนั้น ข้อกังวลเรื่องภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กุมารแพทย์โรคหัวใจและผู้เชี่ยวชาญมาให้ข้อมูลว่า ไฟเซอร์เป็นไปได้เกิดผลข้างเคียงการอักเสบของกล้ามเนื้อหัวใจ 6 คน ในแสนคน แต่เมื่อเทียบแล้ว เด็กติดโควิดมีโอกาสเกิดอาการกลุ่ม MIS-C ที่ทำให้เกิดการอักเสบทั่วร่างและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีมากกว่าการฉีดวัคซีนมาก
“การฉีดวัคซีนอาจเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้ แต่น้อย และหายเองได้ เทียบประสิทธิภาพและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น อุบัติการณ์เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่ามาก คณะอนุกรรมการฯ จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 ในเด็กชายต่อไป ตามหลักการที่กำหนดไว้คือ ตามความประสงค์ของผู้ปกครองและนักเรียนภายใต้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ เพื่อคำนึงถึงประโยชน์การป้องกันโรคโควิด-19 เป็นหลัก และความเสี่ยงการรับวัคซีน” นพ.โอภาส กล่าว
เห็นชอบฉีดกระตุ้นเข็ม3แอสตร้าฯ
นพ.โอภาส กล่าวว่า อีก 2 ประเด็น ที่คณะอนุกรรมการฯ ประชุมคือ 1.องค์การอนามัยโลกแนะนำการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 ซึ่งไทยส่วนใหญ่ฉีดเชื้อตายคือ ซิโนแวค 2 เข็ม พบว่าฉีดระยะหนึ่งภูมิลดลง การฉีดเข็มกระตุ้นจึงเกิดประโยชน์ โดยไทยฉีดต่างชนิดด้วยแอสตร้าเซนเนก้า ที่เป็นไวรัลเว็กเตอร์ ทั้งนี้ การฉีดปูพื้น หรือ Prime ด้วยเชื้อตาย และฉีดกระตุ้นด้วยวัคซีนอีกชนิดช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันสูงมาก
ฉีดซิโนฟาร์ม2เข็มบูสเตอร์ปลายพย.
และ 2.คำถามเรื่องฉีดกระตุ้นในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนเชื้อตายซิโนฟาร์ม รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล (รพ.) จุฬาภรณ์มาให้ข้อมูลคณะอนุกรรมการฯว่า ขณะนี้มีคนฉีดซิโนฟาร์ม 2 เข็ม ไประยะหนึ่งพอสมควร และแนวโน้มฉีดกระตุ้นเป็นอย่างไร โดยคณะอนุกรรมการฯเห็นว่าการพิจารณาคนฉีดซิโนฟาร์ม ซึ่งเป็นเชื้อตายแบบเดียวกับซิโนแวค หลักคิดให้ใช้หลักการเดียวกันคือ กลุ่มฉีดซิโนแวค ฉีดเข็มที่ 3 ให้คนที่ฉีดครบ 2 เข็ม เกิน 3-4 เดือนขึ้นไป เช่น เดือนมีนาคมฉีดครบ 2 เข็ม ก็ฉีดกระตุ้นเดือนกันยายน-ตุลาคม ดังนั้น กลุ่มฉีดซิโนฟาร์มครบ 2 เข็ม ช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจะกำหนดฉีดเข็มกระตุ้นประมาณปลายพฤศจิกายน ถึงต้นเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป โดยคณะอนุกรรมการฯ ขอให้ รพ.จุฬาภรณ์ ส่งข้อมูลเอกสารหลักฐานที่มีการศึกษาพบว่า จำเป็นต้องฉีดเข็มกระตุ้น เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง ให้คณะอนุกรรมการฯ ใช้เป็นข้อมูลประกอบก่อนที่ประกาศให้ประชาชนได้ฉีดต่อไปในวงกว้าง และรพ.จุฬาภรณ์ ส่งข้อมูลครบถ้วนเมื่อไร คณะอนุกรรมการฯ จะรีบพิจารณาและประกาศฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไป
นายกฯแถลงแผนเปิดปท.รับนทท.50ปท.
วันเดียวกัน มีรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งถึงการเตรียมการเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายนตามแผนที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ พิจารณาและเห็นชอบเรียบร้อยแล้วนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดของประเทศที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทย ว่าจะเป็นประเทศใดบ้าง เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขสำคัญทั้งมาตรการด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยวและมาตรการป้องกันควบคุมโรค ในการเข้า-ออกของประเทศปลายทางและต้นทาง ให้เกิดความรัดกุมรอบคอบ ทำให้การเปิดประเทศปลอดภัยมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะมีมากกว่า 50 ประเทศ โดยนายกฯจะเป็นผู้แถลงเอง
รายงานระบุอีกว่า รายละเอียดทั้งหมดจะเสร็จวันนี้ ก่อนรายงานให้นายกฯรับทราบ ในฐานะผอ.ศบค.เพื่อลงนามและประกาศต่อไป คาดว่าจะประกาศได้วันที่ 22 ตุลาคม และให้มีผลบังคับใช้ต่อไปโดยไม่ต้องนำเข้าสู่ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่อีก เพื่อให้ผู้ประกอบการ ผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงนักท่องเที่ยวเตรียมความพร้อม โดยรายละเอียดดังกล่าวจะครอบคลุม แผนเปิดกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติวันที่ 1 พฤศจิกายน
ศูนย์บางซื่อฯรับฉีดแอสตร้าฯเข็ม3
เพจเฟซบุ๊ก “กรมการแพทย์” โพสต์ข้อความ ระบุว่า “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ รับฉีดวัคซีนโควิด 19 เข็ม 3 (AZ) สำหรับผู้ที่ฉีด sinovac เข็ม 1 และ 2 โดยจะเริ่มฉีดวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ทั้งนี้สามารถเริ่มลงทะเบียนผ่าน 4 ค่ายมือถือได้ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2564 เวลา 09.00 น.
สงขลาพุ่ง627-ลุยฉีดวัคซีนถึง70%
อีกด้านหนึ่ง ที่จ.สงขลา เดินหน้ามาตรการลดจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อให้ได้ในอีก 2 สัปดาห์ หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นวันละ 500-600 คนต่อเนื่องมานานกว่า 1 เดือน ล่าสุดวันนี้มีผู้ติดเชื้อรายวัน 627 คน ทำให้จ.สงขลาเพิ่มศูนย์แยกผู้ป่วยทุกอำเภอ ล่าสุด นายวงศกร นุ่นชูคันธ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อม ศูนย์แยกกักผู้ป่วยโควิดในอ.คลองหอยโข่ง ซึ่งกองพลพัฒนาที่ 4 สนับสนุนอาคารปรับรูปแบบให้รองรับผู้ป่วยอาการสีเขียว 124 เตียง และในอำเภออื่นตั้งศูนย์แยกกักผู้ป่วย เพื่อรองรับผู้ป่วยในพื้นที่ตัวเอง ส่วนผู้ป่วยที่ยังรักษาในโรงพยาบาลมีมากกว่า 8 พันคน จากผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 4 หมื่นคน ขณะที่มีเตียงรองรับผู้ป่วยมากกว่า 1 หมื่นเตียง ในส่วนการระดมฉีดวัคซีนนั้น ทำได้เร็วคืบหน้าชัดเจนฉีดได้แล้วร้อยละ 51.73 จากเป้าหมายร้อยละ 70 ภายในสิ้นเดือนตุลาคม
สมุทรสาครป่วยเพิ่ม105-ตาย4
สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครเปิดเผยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 จนถึงวันที่ 20 ตุลาคม มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 105 ราย ผู้เสียชีวิต 4 ราย และอยู่ระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล 796 ราย รักษาหายกลับบ้านได้ 97 ราย และอยู่ระหว่างสังเกตอาการอีก 530 ราย การฉีดวัคซีนได้ 9,602 โดส เป็นเข็มที่ 1 จำนวน 3,004โดส เข็มที่ 2 จำนวน 5,814 โดส เข็มที่ 3 จำนวน 784 โดส ยอดสะสมรวมได้ทั้งสิ้นจำนวน 1,234,099โดส
ลามภูทับเบิกปิด2หมู่บ้านหล่มเก่า
ความคืบหน้าการระบาดที่จ.เพชรบูรณ์ หลังพบคลัสเตอร์ใหม่ที่ภูทับเบิก มีผู้ติดเชื้อโควิดหลายร้อยคน และจังหวัดมีคำสั่งปิดพื้นที่หมู่ที่14 และหมู่ที่ 16 ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดห้ามบุคคลเข้าออกตั้งแต่วันที่ 18-31 ตุลาคม รวมถึงมีคำสั่งให้ที่พัก โรงแรม รีสอร์ตในพื้นที่งดให้บริการนักท่องเที่ยวถึง 31 ตุลาคม เบื้องต้นมีรายงานตรวจพบเชื้อแล้ว 303 ราย อยู่ระหว่างตรวจหาเชื้อเพิ่มเติมอีกมากกว่า 700 ราย เพื่อควบคุมพื้นที่ระบาด และลดความเสี่ยงระบาดออกนอกพื้นที่
‘เชียงใหม่’คลัสเตอร์ใหม่โผล่อื้อ
สถานการณ์โควิดที่จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ตลาดวโรรส หรือ กาดหลวง ตลาดต้นลำใย และตลาดดอกไม้ว่าตลอดทั้งวันเป็นไปอย่างเงียบเหงา เนื่องจากร้านค้าต้องปิดตามคำสั่งเทศบาลนครเชียงใหม่ 3 วันทำความสะอาด พร้อมกำหนดเป็นพื้นที่เฝ้าระวังสูง 14 วัน เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อในตลาดวโรรส 32 ราย และตลาดต้นลำไย 5 ราย จนกลายเป็น 2 คลัสเตอร์ใหม่ ส่วนคลัสเตอร์ตลาดเมืองใหม่ พบผู้ติดเชื้อน้อยลงเหลือ 33 ราย รวมผู้ติดเชื้อ 1,156 ราย นอกจากนี้ ที่เชียงใหม่ ยังพบการระบาดจากคลัสเตอร์ที่มีการระบาดต่อเนื่อง 179 ราย อาทิ คลัสเตอร์หย่อมบ้านจือทะและเมโลเด อำเภออมก๋อย 55 ราย , คลัสเตอร์ชุมชนย่านช้างคลาน 13 ราย และคลัสเตอร์งานศพ หมู่ 10 ตำบลสันต้นหมื้อ อำเภอแม่อาย 12 ราย
เตียงรพ.สนามเต็มผู้ติดเชื้อรอนับร้อย
ขณะเดียวกัน เกิดวิกฤติโรงพยาบาลสนามศูนย์ประชุมและจัดแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ เตียงผู้ป่วยเต็มแล้วทุกเตียง แต่ยังมีผู้ติดเชื้อนับร้อยคน ที่มีทั้งเด็กเล็กและวัยทำงาน มากันเป็นครอบครัว ทยอยมารอซักประวัติ เอกซเรย์ปอด เพื่อคัดกรองอาการ โดยคนที่อาการไม่หนักจะส่งไปรักษาตัวต่อที่ชุมชนหรือภูมิลำเนา ส่วนคนอาการปานกลาง หรือกลุ่มสีเหลือง โรงพยาบาลจะรับเข้ารักษา ส่วนโรงพยาบาลสนามเชียงใหม่ วันนี้มีผู้ป่วยรักษาหายกลับบ้านได้เพิ่ม 55 คน ส่วนตัวเลขครองเตียงของผู้ป่วยชาย-หญิง ยังมีอยู่ 1,175 เตียง ถือว่ามีจำนวนมาก ทำให้ต้องแยกส่งผู้ป่วย 304 คน ไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ รวมถึงย้ายผู้ป่วยอาการเล็กน้อยหรือสีเขียว ที่นอนอยู่โรงพยาบาลสนาม ไปรักษาตัวตามชุมชนหรือภูมิลำเนา เพื่อนำเตียงมารองรับผู้ป่วยที่อาการอยู่ในกลุ่มสีเหลืองแทน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี