สภาฯตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาการควบรวมธุรกิจสื่อสาร-ค้าปลีก ตั้ง กมธ.25 คน พิจารณา 90 วัน พบรัฐบาลไม่ส่งคนร่วมพิจารณา ด้าน ส.ส.ภท.แนะให้แก้ พ.ร.บ.กสทช.
เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มี นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯ คนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติ โดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบกรณีการควบรวมกิจการโทรคมนาคม ระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่นจำกัด (มหาชน) และกลุ่มเทเลนอร์ หรือดีแทค และการค้าปลีกค้าส่ง หลังจากที่มี ส.ส.อภิปรายไปในทิศทางเดียวกัน คือสนับสนุน ทำให้ใช้อำนาจของประธานสภาฯ ตามข้อบังคับให้ตั้ง กมธ.วิสามัญดังกล่าว โดยไม่มีการลงมติ และตั้ง กมธ.พิจารณารวม 25 คน โดยไม่มี กมธ.ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี อาทิ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นายสาธิต วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย นายพิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ เป็นต้น โดยมีระยะเวลาพิจารณา 90 วัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการอภิปรายของ ส.ส.ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้ตั้ง กมธ.วิสามัญพิจารณา นั้น ได้อภิปรายเสนอแนะให้พิจารณาในรายละเอียดที่สำคัญ อาทิ การแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 เพราะพบว่าเงื่อนไขของกฎหมายกล่าวไม่สอดคล้องกับภาวะปัจจุบัน ที่พบนวัตกรรมและการแข่งขันธุรกิจด้านโทรคมนาคมพัฒนาไปกว่ากฎหมาย
โดย พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายในญัตติด่วนเรื่องผลกระทบจากการควบรวมบริษัท ทรู กับ ดีแทค ว่า กรณีที่เกิดขึ้นคือการส่งสัญญาณ ที่ทำให้สภาฯ ต้องพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.กสทช.เพราะมีบทบัญญัติที่ไม่เหมาะสมกับการบังคับใช้ในภาวะที่เทคโนโลยีก้าวหน้าและการแข่งขันในกิจการโทรคมนาคมยุคใหม่ โดยเฉพาะประเด็นการจัดสรรคลื่นความถี่ ที่กำหนดให้ใช้การประมูลคลื่นความถี่ และใช้ราคาเป็นตัวกำหนด แม้ว่าการประมูลจะเป็นวิธีตามหลักสากล แต่ควรต้องปรับให้สอดคล้องสภาพปัจจุบัน รวมถึงแก้ไขรายละเอียดที่ต้องคำนึงถึงอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า
"ปัจจุบันพบว่าธุรกิจบริการแพร่ภาพและเสียยงผ่านระบบอินเตอร์เน็ต หรือโอเวอร์ เดอะ ท็อป มีบทบาทในกิจการโทรคมนาคมมาก เช่น กูเกิ้ล ไลน์ ที่ไม่อยู่ใต้การควบคุมของ พ.ร.บ.กสทช.ฉบับปัจจุบัน ถือเป็นรอยรั่ว อีกทั้งในอนาคตมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงมาก และเกิดการควบรวมกิจการ เหมือนหลายประเทศ เช่น สเปน สิงคโปร์ ที่พบการควบรวมกิจการของธุรกิจ โดย พ.ร.บ.กสทช.ปี 2553 ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ทันกับนวัตกรรมสื่อสารใหม่ๆ ดังนั้นควรปรับปรุงเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์ และเกิดการแข่งขันแท้จริงในตลาดกิจการโทรคมนาคม" พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวด้วยว่า กับระบบโอเวอร์ เดอะ ท็อป ที่ก้าวหน้า พบว่าปัจจุบันมีบริษัทเน็ตเวิร์กขนาดใหญ่ คือ สตาร์ลิงก์ สามารถให้บริการกิจการโทรคมนาคมได้ทั่วโลก โดยไม่เข้าประมูลคลื่นความถี่ของไทย และในอนาคตจะกลายเป็นคู่แข่งที่สำคัญ ดังนั้นการประมูลความถี่ที่ใช้มา 10 ปี ไม่สามารถใช้ได้ โดยมีผลการศึกษาที่ชัดเจน ว่าการประมูลคลื่นความถี่ที่ยึดราคาไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นควรแก้ไขเพื่อให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรม และเสรี ได้ประโยชน์ประชาชน
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี