"เพื่อไทย"ถาม"ประยุทธ์"ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค คนไทยได้ประโยชน์อย่างไร ชวนประชาชนจับตาใช้งบ 3,200 ล้านบาท ตลอดวาระการประชุม คุ้มค่าหรือละลายแม่น้ำ
เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่ปรึกษาคณะทำงานด้านนโยบายการต่างประเทศ , นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ส.ส.เชียงใหม่ และนายนพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ร่วมแถลงถึงกรณีการเตรียมการของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพเอเปก 2565
โดย นายวรวัจน์ กล่าวว่า หลังจากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประกาศเป็นเจ้าภาพการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) ประจำปี 2565 พร้อมระบุว่า หัวข้อหลักของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้คือ “Open Connect Balance” หรือ “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” นั้น ในการเตรียมการประชุมเอเปคซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพในรอบ 10 ปี แต่ประเทศไทยในฐานะผู้จัดงานงานใหญ่กลับไม่เคยประกาศถึงวิธีการและเป้าหมายในการบรรลุข้อตกลงร่วมแบบทวิภาคีกับกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปคเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากฝีมือของรัฐบาล ไม่เคยมีแผนดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนจากประเทศสมาชิก เทียบไม่ได้กับการประชุมในฐานะประธานเอเปคของประเทศไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
นายวรวัจน์ กล่าวว่า โดยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ดำเนินการจัดการประชุมอย่างสมบูรณ์แบบทุกด้าน ผู้นำแต่ละประเทศเห็นความสำคัญกับวาระการจัดงานของประเทศไทย เกิดผลการเจรจาจนสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศมากมาย แต่ในขณะนี้ไทยซึ่งรับตำแหน่งเจ้าภาพอย่างเป็นทางการมาแล้ว 2 เดือน บรรยากาศกลับเงียบสงัด จึงอยากทราบว่ารัฐบาลว่าได้มีการเตรียมความพร้อมมากน้อยเพียงใด กำหนดเป้าหมายในการประชุมในแต่ละประเด็นที่จะสร้างประโยชน์ให้กับประเทศและคนไทยอย่างไรบ้าง หรือสุดท้ายไทยเป็นเพียงประเทศผู้จัดงานในนาม แต่ไม่สร้างประโยชน์ใดๆ ให้กับคนไทยเลยหรือไม่
“การบริหารประเทศในประชาคมโลก ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การที่ประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือระหว่างประเทศได้ มีนายกรัฐมนตรีที่ไร้ภาวะความเป็นผู้นำ และเป็นนายกฯที่ไม่สง่างาม พล.อ.ประยุทธ์ คือ ผู้นำที่ทำตัวทองไม่รู้ร้อน รู้ปัญหาแต่ไม่หาทางแก้ไข ปล่อยให้คนไทยผจญความทุกข์กันเอง เกือบ 8 ปีที่เป็นนายกรัฐมนตรีมา เข้าร่วมเวทีการประชุมในระดับนานาชาติหลายประเทศ มีเพื่อนสนิทเป็นผู้นำโลกมากมาย สุดท้าย คนไทยได้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์กลับมา เสียโอกาส เสียงบประมาณ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบแทบกู่ไม่กลับ หยุดสร้างปัญหาแล้วสร้างโอกาสให้กับคนไทยบ้างสักครั้ง วันนี้ประเทอยู่ในภาวะที่อันตราย ประชาชนไม่มีเงินในกระเป๋าแล้ว” นายวรวัจน์ กล่าว
ด้าน นายนพ กล่าวว่า ที่ผ่านมานโยบายการต่างประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ส่งผลให้ข้อตกลงต่างๆ ชะงักลง อาทิ ข้อตกลงเขตการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป เพราะประเทศไทยมีผู้นำที่อ่อนแอ ไร้ความสามารถในการสานสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไร้ความสามารถทางการทูต ส่งผลต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของประเทศ อาจนำไปสู่การเสียเปรียบทางการค้า ดังนั้นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ต้องเร่งดำเนินการสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เพิ่มบทบาทในฐานะผู้จัดงานเอเปค โดยเฉพาะการพัฒนาระบบธุรกิจดิจิทัล ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันในยุคนิวนอร์มัล ได้แก่ สร้างความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทย ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยมีความรู้ และขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศทั่วโลก จัดหาแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำและปรับให้โครงสร้างภาษีต่ำ เพื่อให้ธุรกิจดิจิทัลรายย่อยสามารถเติบโตได้ สร้างกฎหมายและมาตรการรองรับควบคุมดูแลให้การค้าการลงทุนในระบบดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัย
“เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียนรองจากประเทศอินโดนีเซีย แต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เอาแต่ใช้กฎหมายไล่จับเว็บเถื่อน เก็บภาษีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล เพียงเพราะหาเงินไม่เป็น เก็บรายได้ไม่เข้าเป้า รัฐบาลในฐานะผู้จัดงานเอเปคต้องเตรียมความพร้อมประเทศด้วยแผนพัฒนาธุรกิจดิจิทัลในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ที่ชัดเจนและจับต้องได้มากกว่านี้ ก่อนที่นักลงทุนรุ่นใหม่จะเทเม็ดเงินไปลงทุนในต่างประเทศที่เอื้อต่อการลงทุนใหม่ๆ ไปหมด” นายนพ กล่าว
ขณะที่ นายจักรพล กล่าวว่า ในประเด็นด้านการฟื้นฟูความเชื่อมโยงโดยเฉพาะการเดินทางและการท่องเที่ยวอันประกอบด้วย (1) การจัดทำ APEC Frequent Travel Card หรือ AFTC (2)ข้อเสนอ APEC COVID-19 Health Certification Mutual Recognition และ (3) การขับเคลื่อนประเด็น safe passage นั้น เวทีเอเปคได้พยายามหาแนวทางร่วมมือเพื่ออำนวยความสะดวกและรื้อฟื้นการเดินทางข้ามพรมแดนในภูมิภาคอย่างปลอดภัย เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 มาตลอด แต่ประเทศไทยไม่พร้อมในทุกๆด้าน โดยพลเอกประยุทธ์กลับเป็นผู้นำที่เมินเฉยต่อปัญหาเดิม เพิ่มเติมคือสร้างปัญหาใหม่ พรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอ “กุญแจ 3 ดอก” เพื่อฟื้นฟูการเดินทางท่องเที่ยวของประเทศไทย ผ่านการประชุมเอเปคในครั้งนี้ 1.มาตรการสาธาณสุขในประเทศ ได้แก่ ฉีดเข็ม 3 สั่งยาและผลิตยา เตรียมบริการทางการแพทย์ 2.หามาตรการทางการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ เปลี่ยนจากการเก็บค่าเหยียบแผ่นดินมาเป็นการตรึงประกันภัยโควิด สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวแบบหรูหรา 3.เร่งจัดหานโยบายเพื่อลดและจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวทั้งระบบและโครงสร้าง จากเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้น รับรองและพัฒนา อย่าเน้นแจกตังค์ ควรหาวิธีหาตังค์แทรกซึมเข้าไปด้วย
ส่วนในประเด็นโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy Model) ไม่พบว่าแผนพัฒนาของประเทศไทยที่จะนำไปสู่ Zero Carbon ที่จะเป็นแผนการที่ระบุตายตัว หรือมีรายละเอียดที่ชัดเจนที่จะนำไปสู่เป้าหมาย จากการตัดงบประมาณในส่วนของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลควรมีความจริงใจและแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน มีหลักเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อแสดงจุดยืนว่าประเทศไทยพร้อมที่จะร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมหรือด้านอากาศสะอาดกับนานาประเทศ
“การประชุมเอเปคในครั้งนี้จะตัดสินได้ว่าประเทศไทยจะเป็นแนวหน้าในโลกหรือรั้งท้ายเหมือนเดิม ขอความร่วมมือรัฐบาลอย่าทำให้ประเทศไทยตกต่ำไปมากกว่านี้ในสายตาประชาคมโลก รัฐบาลชุดนี้ไม่เคยใช้ความสัมพันธ์ทางการฑูต ในการเจรจา ด้านการต่างประเทศของไทยอ่อนแอ ไม่เคยใช้ให้เป็นประโยชน์ หากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องใหญ่ๆ คงไม่เกิดขึ้น กรอบงบประมาณ 3,283.10 ล้านบาท ตลอดวาระการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปคครั้งนี้ จะคุ้มค่าหรือละลายแม่น้ำอยู่ในน้ำมือท่าน ท่านจะทำให้ประเทศไทยเผชิญอยู่ในสภาวะใด” นายจักรพล กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี