1.ในครั้งที่แล้ว คอลัมน์นี้ได้นำเรื่องราวของหน่วยงานของรัฐในระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าใช้ที่อุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้ขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ทำให้เป็นการใช้พื้นที่โดยไม่ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นกรณีชาวบ้านเข้าใช้ทางสาธารณประโยชน์ ความเป็นมาได้หรือไม่ คงจะต้องตามไปดูกันครับ
2.ครั้งนี้ก็เป็นการเข้าใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์เช่นกัน โดยนายหนู(ผู้ฟ้องคดี) เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 12345 เนื้อที่ 2 ไร่เศษ และได้เช่าที่ดินแปลงอื่นที่ติดกัน เนื้อที่ 14 ไร่ เพื่อทำนาและเข้า-ออกที่ดินของนายหนูเดิม ขณะเดียวกันนายหนูก็ได้ใช้ที่ดินแปลงข้างเคียงของนายนกผ่านเพื่อขนส่งสินค้าการเกษตรมานานกว่า 10 ปีต่อมานายนกได้อุทิศที่ดินแปลงนั้นบางส่วนให้เป็นทางสาธารณประโยชน์
3.หลังจากนั้นที่ดินของนายนกได้ตกเป็นของนายม้ากับนายแกะ (บุตรของนายนก) และได้ขุดทำลายทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว เป็นเหตุให้นายหนูใช้ประโยชน์ไม่ได้ จึงได้ไปแจ้งกับเทศบาลตำบล ก. ตรวจสอบและซ่อมแซม แต่เทศบาลฯ แจ้งว่าไม่สามารถเข้าดำเนินการตามร้องขอไม่ได้เพราะว่า การอุทิศที่ดินดังกล่าวยังไม่สมบูรณ์ และที่ดินดังกล่าวติดภาระจำนองกับธนาคารด้วย
4.นายหนูจึงนำเรื่องมาฟ้องเทศบาลตำบล ก.ต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลพิพากษาหรือสั่งเพิกถอนคำสั่งทางปกครองของเทศบาลฯ ที่ไม่ยอมรับที่ดินพิพาทเป็นถนนสาธารณประโยชน์และขอให้มีคำสั่งว่าที่ดินตามหนังสืออุทิศดังกล่าวเป็นถนนสาธารณประโยชน์ด้วย
5.คดีได้มีการพิจารณาในศาลปกครองชั้นต้นโดยศาลพิพากษายกฟ้อง คดีจึงมาสู่ศาลปกครองสูงสุดโดยผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์และผู้ถูกฟ้องคดีแก้อุทธรณ์
6.ศาลปกครองสูงสุดได้พิจารณาข้อเท็จจริงและคำชี้แจงต่างๆ ในสำนวนนี้แล้ว คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่
กรณีมีปัญหาว่า ที่ดินที่มีผู้อุทิศให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีนั้นเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304(2) แห่งป.พ.พ.แล้วหรือไม่ อย่างไรนั้น มีความเห็นโดยสรุปว่า เมื่อที่ดินเจ้าของได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายอุทิศแล้วก็ตกเป็นสาธารณประโยชน์โดยสมบูรณ์ตามกฎหมายทันทีโดยไม่จำต้องจดทะเบียนโอนสิทธิการให้ ตามมาตรา 525 (ป.พ.พ.) อีก ส่วนการกลับคืนมาเป็นของเอกชนก็สามารถทำได้ตามมาตรา 1305 (ป.พ.พ.) ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้อุทิศให้มิได้แสดงข้อความใดว่าการอุทิศให้เป็นการอุทิศเพื่อประโยชน์ของบุคคลใดโดยเฉพาะ ที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามป.พ.พ.มาตรา 1304(2) นับแต่เวลาอุทิศ ตราบใดที่ยังมิได้มีการเพิกถอนที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดี(เทศบาลตำบล) ก็ยังคงมีหน้าที่ตามมาตรา 68(8) แห่ง พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลฯในอันที่จะคุ้มครองดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเมื่อผู้ถูกฟ้องรับทราบว่ามีการบุกรุกทำลายฯซึ่งที่ดินสาธารณประโยชน์ แต่ก็ยังไม่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่
ศาลจึงพิพากษารับคำพิพาทของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดต่อไป
7.ดูคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ 569/2557....
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี