รัฐบาลเก็บภาษีทะลุเป้า
9เดือนโกย2ล้านล้าน
ช่วยเติมเงินคงคลังพุ่งพรวด
นายกฯปลื้มขอบคุณทุกฝ่าย
‘จุรินทร์’ขยายตลาดแดนโรตี
นายกฯ ปลื้มรายได้คงคลัง 9 เดือนแรกปีงบ ’65 ทะลุ1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% ขณะที่ 3 กรมภาษี จัดเก็บได้กว่า 2 ล้านล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้116,130 ล้านบาท เพิ่ม 10% “จุรินทร์” ขยายตลาดการค้าแดนโรตี
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ติดตามคืบหน้า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ผ่านมา โดยล่าสุดกระทรวงการคลังได้รายงานฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 64-มิ.ย. 2565) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 1,878,346 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 130,689 ล้านบาท หรือ 7.5% ขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 2,434,146 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 44,979 ล้านบาท หรือ 1.9% ซึ่งรัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล 621,075 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 587,915 ล้านบาท
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 (ต.ค. 2564 – มิ.ย. 2565) รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ จำนวน 1,857,524 ล้านบาท หรือ 6.4% และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณ 6.4% โดยการจัดเก็บรายได้รวมของ3 กรมภาษี (กรมสรรพากร, กรมสรรพาสามิต และกรมศุลกากร) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 2,004,834 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 191,122 ล้านบาท หรือ 10.5% สำหรับรัฐวิสาหกิจ นำส่งรายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2565 อยู่ที่ 116,130 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 10,561 ล้านบาท หรือ 10% ส่วนหน่วยงานอื่น จัดเก็บรายได้รวม 109,710 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 14,495 ล้านบาท หรือ 11.7%
“นายกรัฐมนตรีรับทราบและขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ร่วมกันฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเวลานี้ ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนทิศทางการทำงานที่ถูกต้อง และส่งผลให้มีกำลังใจในการมุ่งมั่น เดินหน้า ทำงาน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนต่อไป เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศ และประชาชนไทย เชื่อว่า ผลความสำเร็จอยู่ไม่ไกลหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุด” นายธนกรกล่าว
ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ เป็นประธานเปิดงาน “เทศกาลอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งที่ 2” หนึ่งในกิจกรรมฉลองครบรอบ 75 ปีแห่งความสัมพันธ์การทูตไทย-อินเดีย พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย (นางสุจิตรา ดูไร) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจากระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงศึกษาธิการของรัฐบาลอินเดีย (ดร. ราจคูมาร์ รันจัน ซิงห์) มุขมนตรีและรองมุขมนตรีของรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียมีความใกล้ชิดกับประเทศไทยทั้งในทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรมประเพณี งานเทศกาลที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยมากคืองานเทศกาล “ซังเก้น” (Sangken) ของรัฐอรุณาจัล ประเทศ กับเทศกาลสงกรานต์ ของประเทศไทย และมีงานเทศกาล “โบฮัก บิฮู” (Bohag Bihu) ของรัฐอัสสัมที่มีลักษณะเหมือนกับงานสงกรานต์ของไทย ถือว่าวัฒนธรรมประเพณีใกล้เคียงกันมากกับไทย ในนามตัวแทนรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทยขอถือโอกาสนี้ขอบคุณรัฐบาลกลางของอินเดียและรัฐบาลของรัฐภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ที่จัดงานเทศกาล อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศไทย ครั้งที่ 2 (Second Edition of North East India Festival in Thailand) เพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระการครบรอบ 75 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูตระหว่างไทยกับอินเดีย จะมีส่วนสำคัญในการเสริมความสัมพันธุ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเส้นทางหลวงไตรภาคีระหว่างไทย เมียนมา และอินเดียเสร็จสมบูรณ์ จะยิ่งเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างการให้มากยิ่งขึ้น
“3 ปีที่ตนมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีโอกาสนำคณะกระทรวงพาณิชย์และภาคเอกชน เดินทางไปที่อินเดียแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่หนึ่งเดือนกันยายน 2562 เยือนมุมไบและเจนไน สามารถทำ MOU มูลค่ามหาศาลระหว่างไทยกับอินเดีย ครั้งที่สองพฤษภาคม 2563 เยือนเมืองบังกาลอร์และเมืองไฮเดอร์ราบัด ให้กระทรวงพาณิชย์ของไทยมีโอกาสทำ Mini-FTA กับรัฐเตลังคานาขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ 11 เมษายน 2565 จะช่วยทำให้มูลค่าการค้าระหว่างประเทศไทยกับรัฐเตลังคานา ของอินเดียเพิ่มพูนมากขึ้น และตนมีแผนที่จะทำ Mini-FTA กับอีกหลายรัฐของอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นรัฐกรณาฏกะรัฐมหาราษฏระ รัฐเกรละ รัฐคุชราต รวมถึงรัฐอัสสัมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียด้วย เพื่อเพิ่มพูนมูลค่าการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับอินเดียต่อไป” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่กล่าว
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่าภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานของอินเดียประกอบด้วย 8 รัฐ ได้แก่ 1. อรุณาจัลประเทศ 2. อัสสัม 3. เมฆกัลยา 4. มณีปุระ 5. มิโซรัม 6. นากาแลนด์ 7. ตริปุระ หรือคนไทยรู้จักกันดีในชื่อว่า “รัฐเจ็ดสาวน้อย” และ 8. สิกขิม ซึ่งเป็นรัฐน้องใหม่ล่าสุด เป็นแหล่งของวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม ต่าง ๆ อาทิ การแปรรูปอาหาร สิ่งทอ และพลังงาน เป็นต้น รัฐบาลอินเดียกำลังเร่งผลักดันภูมิภาคนี้ให้เป็นประตูสำคัญสู่อาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทางหลวงไตรภาคีระหว่างอินเดีย-เมียนมา-ไทยเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยให้การขนส่งและโลจิสติกส์ระหว่างอินเดียและภูมิภาคอาเซียนสะดวกยิ่งขึ้น สำหรับการค้าไทย-อินเดียช่วง 6 เดือนของปี 2565 (ม.ค.-มิ.ย.) มีมูลค่า 314,196.64 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.26%) เป็นการส่งออก มูลค่า 185,940.14 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 40.92%) สินค้าส่งออกหลักของไทยไปอินเดีย 5 ลำดับแรก ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ (เพิ่ม 309.78%) เม็ดพลาสติก (เพิ่ม 41.45%) เคมีภัณฑ์ (เพิ่ม 61.41%) อัญมณีและเครื่องประดับ (เพิ่ม 150.40%) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (เพิ่ม 18.51%
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี