เหมือนโนรูเข้าไร้ทางออก! "ฝ่ายค้าน"แถลงการณ์ย้ำชัด คำวินิจฉัยศาลรธน.ไม่ได้ช่วยฟอกขาว"ประยุทธ์" ลั่นถึงเวลาปฏิรูปศาล ปลุกปชช.ให้บทเรียนผ่านเลือกตั้งครั้งหน้า จ่อยื่นซักฟอก ม.152 หลังเปิดสภา จี้ลาออกทุกอย่างจบ
เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 30 กันยายน 2565 ที่รัฐสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านออกแถลงการณ์พรรคร่วมฝ่ายค้าน เรื่อง ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีการดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ อ่านแถลงการณ์ว่า 1.การพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญนั้น นอกจากจะต้องหาความหมายจากถ้อยคำตามลายลักษณ์อักษรแล้ว ต้องพิจารณาจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญด้วย โดยต้องพิจารณาในขณะเมื่อจัดทำรัฐธรรมนูญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ว่าได้มีการพิจารณาถึงสาระสำคัญหรือเหตุผลเบื้องหลังของแต่ละมาตราไว้อย่างไร เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปตามความเห็นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงไปตามความคิดและความรู้สึกในแต่ละช่วงเวลาได้ เมื่อในชั้นร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 158 วรรคสี่ ที่ห้ามการดำรงตำแหน่งนายกฯ เกิน 8 ปี โดยมิได้บัญญัติข้อยกเว้นใดๆ ไว้ ได้มีความเห็นของกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญปรากฏชัดในบันทึกการประชุม อันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ว่าให้นับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ที่ดำรงอยู่ก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย และมาตรา 264 ให้นับความเป็นนายกฯ ต่อเนื่อง จึงไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่นได้เลยว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์นั้น ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.57 เป็นต้นไปเท่านั้น
นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า 2.การวินิจฉัยให้เริ่มนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 8 เม.ย.60 อันเป็นวันที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มีผลใช้บังคับนั้น จะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ยังมีสิทธิดำรงตำแหน่งนายกฯ หลังครบวาระในครั้งนี้แล้วอีก 2 ปีจนถึงปี 2568 น่าจะเป็นการตีความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามที่ประชาชนเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว เพราะจะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์สามารถดำรงตำแหน่งได้รวม 10 ปี ซึ่งเกินกว่า 4 ปี และเกินกว่า 2 วาระปกติของการดำรงตำแหน่งนายกฯ อันผิดไปจากเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2560 และรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าที่ต้องการจำกัดวาระและระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกฯ มิให้เกิน 2 วาระ หรือเกินกว่า 8 ปี และยังขัดต่อการรับรู้ทั่วไปของประชาชน และขัดต่อข้อเท็จจริงว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ มาตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค.57 ซึ่งการตีความในลักษณะนี้ จะมีผลแปลกประหลาดคือ พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ อยู่ในวันที่ 6 เม.ย.60 ที่รัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ ระยะเวลา 8 ปีก่อนวันที่ 6 เม.ย.60 กลับไม่นำมานับ แต่หลังจากวันที่ 6 เม.ย.60 กลับนำมานับ ทั้งๆ ที่มีประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกฯ ฉบับเดียวกัน
"อนึ่ง ในชั้นเริ่มต้นของการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2557 แม้พล.อ.ประยุทธ์จะไม่ได้เข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ จากความเห็นชอบของสภาฯ ตามมาตรา 158 วรรคสองของรัฐธรรมนูญปี 2560 ตาม แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 ได้บัญญัติให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่สภาฯ ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้ให้ความเห็นชอบให้พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ กรณีนี้จึงถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมเป็นนายกฯ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 264" นพ.ชลน่าน กล่าว
ด้าน นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย อ่านต่อว่า 3.เมื่อรัฐธรรมนูญปี 2560 ถูกอ้างความชอบธรรมจากผู้มีอำนาจบ่อยครั้ง ว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและผ่านการลงประชามติของประชาชน การตีความให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้อยู่ในตำแหน่งเป็น 8 ปีได้ นอกจากขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้วยัง ขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยด้วย ถือเป็นการทำลายรากฐานของระบอบประชาธิปไตยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการผูกขาดการใช้อำนาจ 4.เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจหน้าที่ในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่การวินิจฉัยที่ส่อว่าขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเสียเอง ย่อมเป็นการทำลายคุณค่าความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ แม้ผลคำวินิจฉัยจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์ได้ประโยชน์ แต่ก็จะเป็นการทำลายบรรทัดฐานทางกฎหมาย และอาจนำมาซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่ใหญ่หลวงในสังคม และเกิดการไม่ยอมรับในผลของคำวินิจฉัยได้
ขณะที่ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล อ่านว่า 5.พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีการปฏิรูปกระบวนการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญเสียใหม่ ให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจที่เหมาะสม เพื่อมิให้มีการอาศัยผลของคำวินิจฉัยที่ผูกพันทุกองค์กร ไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมและไม่คำนึงถึงบรรทัดฐานทางกฎหมายที่ถูกต้องได้
ทั้งนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าแม้ผลของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีสิทธิดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อไปได้ แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคงมิใช่เป็นการฟอกขาวให้แก่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยประการใดๆ พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าภาพจำของประชาชนที่มีต่อตัวนายกฯ คือผู้ที่พยายามจะสืบทอดอำนาจทุกวิถีทางเท่าที่จะหาวิธีทำให้ได้ ผู้ที่ผิดสัญญากับประชาชนมาตั้งแต่ต้นที่ทำรัฐประหารว่าจะอยู่ไม่นาน ผู้ที่ผิดสัญญากับประชาชนในการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ จนทำให้ประเทศไทยตกขบวนลดชั้นลงไปจากผู้นำในอาเซียน การที่จะอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อยู่ในอำนาจได้ต่อไป จึงมีแต่ความว่างเปล่าในสายตาของประชาชน และขอให้พี่น้องประชาชนได้ให้บทเรียนกับ พล.อ.ประยุทธ์ และองคาพยพของ พล.อ.ประยุทธ์ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำหน้าที่นายกฯ ต่อไป สามารถทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้นั้น บทบาทของพรรคร่วมฝ่ายค้านในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย ก็จะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลต่อไป โดยช่วงนี้เป็นช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ และจะเปิดประชุมอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ย.และปิดสมัยประชุมอีกครั้งในวันที่ 28 ก.พ.ถ้ามีการเปิดสมัยประชุมเราจะทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลการบริหารราชการแผ่นดินให้เข้มข้นอย่างที่สุด ช่วงที่ปิดสมัยประชุม ก็จะมีกรรมาธิการฯ ที่ทำหน้าที่อยู่ หากมีอะไรที่จำเป็นจะต้องใช้บทบาทของกรรมาธิการฯ ฝ่ายค้านจะเสนอผ่านกรรมาธิการฯ ซึ่งเป็นกลไกของสภา ส่วนการให้ข้อเสนอแนะหรือให้ข้อท้วงติงต่างๆนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านมีวาระการประชุมร่วมกันเป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว เราจะนำประเด็นต่างๆ มาปรึกษาหารือกัน เพื่อนำเสนอไปยังรัฐบาลในสิ่งที่เราเห็นว่าประชาชนจะได้รับความเสียหายหรือเป็นพิษภัย ไม่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมือง เราจะใช้กลไกที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน ที่สำคัญเราเตรียมเสนอญัตติการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง เสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยเมื่อเปิดสมัยประชุม ก็จะยื่นต่อประธานสภาเพื่อขอเสนอญัตติดังกล่าวทันที
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์การเมืองหลังจากนี้ เราเป็นห่วงประเทศชาติบ้านเมืองเพราะสิ่งที่เราให้เหตุผลในคำร้องของเรา โดยเฉพาะเรื่องการสิ้นสุดการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัด เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแบบนี้สถานการณ์เหมือนพายุโนรู เข้าประเทศ ไทยแต่ประเทศเราไร้ทางออกเช่นกันแต่เป็นโนรู (rule) ซึ่งเป็นข้อที่เราห่วงใยมาก อยากให้ฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังข้อเสนอของพี่น้องประชาชนภายใต้ความสงบเรียบร้อย โดยไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการเรียกร้องชุมนุม ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนได้แสดงออกตามข้อเสนอของเขา ต้องให้สิทธิเสรีภาพที่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ต้องไม่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงหรือความขัดแย้งเกิดขึ้น ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรสละตำแหน่งเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ทุกอย่างก็จบ
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี