"แบ่งชนชั้น-ไม่เห็นหัวสมาชิก" ปมหลอนจาก"อนาคตใหม่"ถึง"ก้าวไกล" เปลี่ยนชื่อพรรคแต่ยังถูกจี้ต่อเนื่อง
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 เดือน วาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันก็จะหมดลง (เว้นแต่จะมีการยุบสภาขึ้นเสียก่อน) ซึ่งช่วงนี้ต้องบอกว่าบรรยากาศทางการเมืองค่อนข้างตึกคัก มีการเปิดตัวพรรคใหม่บ้าง ควบรวมพรรคกันบ้าง หลายพรรคก็เริ่มปล่อยของชูนโยบายหาเสียงกันแล้ว รวมถึงนักการเมืองหลายคนก็โยกย้ายจากพรรคเดิมไปอยู่พรรคใหม่ นับถอยหลังสู่การเลือกตั้งทาคาดว่าน่าจะมีขึ้นอย่างช้าที่สุดภายในเดือน พ.ค. 2566 นี้
ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเกิดขึ้นที่พรรคการเมืองขวัญใจคนรุ่นใหม่อย่าง “พรรคก้าวไกล” เมื่ออดีตสมาชิกพรรคอย่าง คริส โปตระนันท์ ซึ่งระบุว่า ตนเอง “ร่วมหัวจมท้าย” มาตั้งแต่ยุคพรรคการเมืองรุ่นแรกอย่าง “พรรคอนาคตใหม่” ตัดสินใจ “โบกมือลา” พร้อมกับทิ้งคำถามถึงสมาชิกพรรคคนอื่นๆ ด้วยว่า “ในพรรคมีความเป็นประชาธิปไตยจริงหรือ?” ดังตอนหนึ่งที่ระบายความในใจผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า..
“ผมอยากจะทำการเมืองในพรรคที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความเป็นประชาธิปไตยของพรรคยังห่างจากที่พรรคโฆษณาอีกมาก การที่ผมได้มาร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับคุณธนาธรเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพราะผมไม่ได้มาทำการเมืองเพื่อให้ใครได้เป็น ส.ส. หรือเพื่อให้ใครได้อำนาจ หรือมาทำการเมืองเพื่อผลักดันวาระทางการเมืองของใครบางคน
ผมอยากได้พรรคการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงคือพรรคการเมืองที่ประชาชนเป็นเจ้าของ เวลาจากวันนั้นถึงวันผ่านมา 5 ปี ต้องถามกลับไปที่ประชาชนผู้เป็นสมาชิกพรรค จำนวนกว่า 60,000 คน ว่าทราบบ้างหรือไม่ว่าพรรคมีประชุมสามัญวันไหน พรรคมีการคัดเลือกผู้สมัครส.ส.กันอย่างไร กลไกในการคัดเลือกนโยบายที่จะหาเสียงในคราวนี้ คุณเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจหรือไม่? ใครจะได้เป็นส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคในการเลือกตั้งครั้งนี้ คุณรู้หรือไม่?” (คริส โปตระนันท์ – 8 ก.พ. 2566)
ซึ่งก็ต้องบอกว่า “ไม่ใช่ครั้งแรก” ที่เรื่องราวทำนองนี้ปรากฏเป็นข่าว โดยหากย้อนไปเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2561 หรือไม่กี่เดือนก่อนจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในวันที่ 24 มี.ค. 2562 เวลานั้น พรรคอนาคตใหม่ ภายใต้การนำของ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของสมญา “ไพร่หมื่นล้าน” ก็มีบรรดาสมาชิกพรรคตบเท้าลาออก มีการตั้งโต๊ะแถลงข่าวกันที่ ศูนย์ประสานงานพรรคอนาคตใหม่ ฝั่งธนบุรี ซอยเพชรเกษม 77/7
ณัฐวรรธน์ พัชรพรนุกูล ผู้ประสงค์ลงสมัครลงชิงไพรมารีโหวตเขต 25 บางขุนเทียน (ในขณะนั้น) เป็นผู้นำแถลงข่าว เปิดเผยว่า สมาชิกได้ร้องเรียนความไม่เป็นธรรมในการคัดเลือกเข้าบัญชีไพรมารีโหวต โดยในหลายพื้นที่สมาชิกที่แสดงความจำนงจะลงสมัครในเขตนั้นถูกตัดชื่อ โดยมีชื่อคนอื่นมาแทน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานในสาขาพรรค เช่น เขตบางขุนเทียน นครศรีธรรมราช สงขลา กาฬสินธุ์ เป็นต้น
โดยในเขตบางขุนเทียน มีการนำคนที่เคยแสดงความประสงค์จะลงสมัครในเขตบางกอกน้อยมาใส่แทนชื่อตน เรื่องนี้ได้เรียกร้องความเป็นธรรมต่อพรรคกรณีถูกตัดชื่อแล้ว และขอให้เลื่อนการคัดเลือกออกไปก่อน แต่ไม่ได้รับการแก้ไข ยังคงมีการคัดเลือกในวันที่ 13-14 ธ.ค. 2561 ที่ผ่านมา เหมือนพรรคไม่เห็นความสำคัญกับสมาชิก ทั้งๆ ที่ผ่านมาพวกตนลงพื้นที่หาสมาชิกให้กับพรรคอย่างเต็มที่
“เมื่อทักท้วงเข้าในกลุ่มไลน์ของพรรคก็ถูกดูแคลนว่าไม่ได้รับการคัดสรรแล้วเข้ามาตีรวน หรือกล่าวหาว่าเป็นคนของพรรคอื่นที่เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ส่วนเรื่องอุดมการณ์จะเอาขนาดไหน ผมต่อสู้เผด็จการมาตั้งแต่สมัยพฤษภาทมิฬ ที่ออกมาเพราะกลัวว่าสมาชิกจะกล่าวหาว่าหลอกลวงพวกเขา เพราะเข้ามาเป็นสมาชิกตามคำเชิญชวนของผม แต่กลับไม่มีชื่อผมเป็นผู้สมัคร ผมไม่มีความสามารถจะไปบอกได้ว่าพรรคจะเป็นความหวังของพวกเราได้หรือไม่ และอยากถามหัวหน้าพรรคด้วยว่าปัญหาแค่นี้ยังแก้ไขไม่ได้ แล้วจะไปแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างไร” ณัฐวรรธน์ ระบุ
จากนั้นในวันที่ 28 ต.ค. 2562 อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ จำนวน 30 คน และสมาชิกพรรคกว่า 90 คน นำโดย นิพนธ์ แจ่มจำรัส อดีตผู้สมัคร สส.ชลบุรี เขต 2 เดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อแสดงความจำนงขอลาออกจากพรรค โดยให้เหตุผลว่า “พรรคเปลี่ยนไปหลังการเลือกตั้ง” และยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งทางการเมือง
“สมาชิกทุกคนไม่มีใครต่อรองหรือเรียกร้องเรื่องนี้ แต่เราต้องการที่จะสื่อให้เห็นว่า ตรงนี้เป็นแค่ส่วนย่อยที่ทำให้เกิดปัญหา แต่เรื่องสัญญาและสัจจะของผู้นำนั้น เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราไม่มีสัจจะในฐานะผู้นำแล้ว เราจะนำประชาชนทั้งประเทศให้ไปสู่จุดมุ่งหมายตามนโยบายได้อย่างไร ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการต่อรองตำแหน่งแต่อย่างใด
ในส่วนของการให้สัญญาผมเคยให้ข่าวหลายครั้งแล้วว่า การต่อรองตำแหน่งไม่ได้เกิดจากการที่พวกเราเรียกร้องหรือร้องขอ แต่เป็นสัญญาจากพรรคที่ให้สัญญาจากที่ประชุม เมื่อคำมั่นสัญญาต่างๆ เหล่านั้น มีเรื่องอื่นทับถมขึ้นมาเรื่อยๆ เราจึงรู้สึกว่าผู้นำของดราไม่รักษาคำพูด เรื่องเล็กๆน้อยๆยังรักษาคำพูดไม่ได้แล้วจะไปทำนโยบายที่ลงไปสู่ประชาชนอีก 60ล้านคนได้อย่างไร” นิพนธ์ กล่าว
ด้าน ธนาธร หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ว่า เป็นสิทธิของสมาชิกทุกท่าน มองว่าไม่มีผลกระทบอะไรกับพรรค อนาคตใหม่มีสมาชิก 6 หมื่นคน ยืนยันที่จะเดินก้าวต่อไปข้างหน้าโดยให้ความสำคัญกับสมาชิก ให้สมาชิกมีบทบาท มีสิทธิ มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็น ไม่กังวลใจอะไร ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์พวกเราว่า เราจะสร้างพรรคที่ยึดโยงกับประชาชน ยึดโยงกับสมาชิกได้จริงหรือไม่
โดยกรณีอดีตผู้สมัคร ส.ส.รวมถึงสมาชิกท่านอื่นที่ไปลาออกจากสมาชิกพรรคถือเป็นกระบวนการตามปกติ ไม่ได้ทำให้หวั่นไหวสั่นคลอน ขอเดินหน้าต่อ ให้เวลาพิสูจน์ว่าจะสร้างพรรคที่เข้มแข็งได้หรือไม่ พอเราเข้ามาทำการเมือง แน่นอนที่สุดตอนเลือกผู้สมัคร ส.ส.เรามีเวลาสั้นมาก กว่าที่เราจะได้รับรองเป็นพรรคเดือน ต.ค. 2561 เลือกตั้ง มี.ค. 2562 ใช้เวลาแค่ 2 เดือน ในการคัดสรรผู้สมัคร กระบวนการที่สั้นทำให้เราไม่สามารถที่จะคัดกรองคนที่มีอุดมการณ์ คนที่มีหลักการ คนที่เชื่ออย่างพรรคได้ 100เ% มันเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นเมื่อเวลาเดินเข้ามา สถานการณ์และเวลาก็พิสูจน์คนว่า ใครยืนหยัดร่วมกับพรรคว่า ใครมีอุดมการณ์ตรงกับพรรค ไม่ใช่เรื่องแปลก คิดว่าทุกพรรคก็เป็นอย่างนี้ เมื่อกาลเวลาเดินผ่านไปก็มีคนเดินเข้าและมีคนเดินออกตามปกติของการเดินทาง สิ่งที่ตนยังยินดีคือ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ขอสมัครเป็นสมาชิกพรรค มีคนเป็นจำนวนมากอยากเข้ามาร่วมทำงานกับเรา เราไม่มองว่าเป็นปัญหาสำหรับการก้าวต่อไปของเรา
“คงเป็นธรรมดา โดยเฉพาะในจังหวะที่พรรคอนาคตใหม่กำลังถูกผู้มีอำนาจตั้งใจจะทำร้าย ตั้งใจจะลดความน่าเชื่อถือของแกนนำพรรค ต้องการจะดิสเครดิตเรา เมื่อเกิดอะไรที่เป็นเรื่องเล็กน้อย ถามจริงถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่พรรคอื่นๆ จะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ไหม ท่านลองคิดลองตัดสินเรื่องนี้ด้วยใจเป็นธรรม พรรคอื่นมีเหตุการณ์อย่างนี้ไหม ทุกท่านน่าจะรู้คำตอบอยู่ว่า พรรคไหนมีเหตุการณ์ความขัดแย้งภายในพรรคอย่างไรบ้าง พออนาคตใหม่มีปัญหาภายในก็ถูกนำมาจู่โจม ทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ขอให้มองสถานการณ์การเมืองอย่างเป็นธรรม” ธนาธร กล่าว
ต่อมาในวันที่ 29 ต.ค. 2562 ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย แก้วคำปอด อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 จ.อุบลราชธานี พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก หลัง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ออกมาโต้ว่าสมาชิกพรรคที่ลาออก มีเพียง 0.2% เท่านั้นว่า จริงๆไม่อยากตอบโต้กันเองหรือสาวไส้ให้กากินอะไรหรอกครับ (ด่าเผด็จการมันกว่า) แต่พอเห็นคำดูถูกจาก ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ว่าสหายร่วมรบที่ลาออก เป็นแค่ 0.2% ของสมาชิกพรรคมันน่าเป็นข่าวตรงไหน เหมือนประหนึ่งว่า ไม่มีความสำคัญอะไรเลยนั้น
“ขอชี้แจงตามความเห็นส่วนตัวของผมคนเดียวนะครับ 1.สมาชิกพรรค 60,000 คนนั้น ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกรายปี ที่สมัครตอนปีที่แล้ว เพื่อรับรองพรรคและใช้ในการทำไพรมารี่โหวตผู้สมัคร ส.ส.เขต (ค่าสมัคร 100 บาท) ซึ่งจะหมดอายุช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน2562 นี้ ลองเช็คอีกครั้งนะครับว่าสิ้นปีนี้ จะเหลือสมาชิก 60,000 คน เช่นเดิมหรือไม่ ยิ่งปีนี้เพิ่มค่าสมัครรายปีเป็น200บาท ก็พิจารณาดูแล้วกันครับ
2.อดีตผู้สมัครที่ลาออกประมาณ50คน ที่คุณบอกว่า เป็นแค่ส่วนน้อยนั้น ตอนช่วงเลือกตั้งพวกเขาช่วยกันรณรงค์หาเสียง พรรคได้คะแนนเสียงทั้งประเทศ 6,265,950 คะแนน เฉลี่ยคะแนนแต่ละเขต17,902 คะแนน ผู้สมัคร50คนก็ประมาณ 895,135 คะแนน ทำให้พรรคได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลีสต์ ปากดีปากเก่งได้ประมาณ11คน ทุกคนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เพื่อให้พรรคได้มองเห็นปัญหาต่างๆและแก้ไขอย่างจริงจังสักที เพราะพรรคอนาคตใหม่ เป็นพรรคที่เป็นความหวังของประเทศไทยและคนรุ่นใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีกว่าเดิม” ว่าที่ ร.ต.ฉัตรชัย กล่าว
หรือก่อนหน้านั้น ในวันที่ 23 ต.ค. 2562 ชาญวิทย์ ใจสว่าง อดีตผู้สมัคร ส.ส.ชุมพร เขต 1 พรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Chanwit Jaisawang” กล่าวถึงปัญหาภายในพรรคโดยเฉพาะการแบ่งชนชั้นและการอภิปรายนโยบายต่างๆว่า ไม่ได้ตั้งอยู่บนการศึกษาข้อมูลที่แท้จริง นำมาสู่ความไม่พอใจของทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบแบ่งเขตของพรรค ตลอดจนสมาชิกพรรคจำนวนไม่น้อย ดังนี้
“อนค. โกหกหน้าตาย..ต้องตอบโต้กันบ้าง เมื่อไม่เห็นหัวกัน โดยเฉพาะคำเหยียดหยาม มองผู้แพ้ เป็นแค่ขยะ ของพรรค อนค. ผมเป็นผู้แพ้ ผมจึงเป็นขยะของพรรคด้วยคนหนึ่ง หลังเลือกตั้งมาย่ำยี ผู้แพ้มาพอสมควรแล้ว แบ่งระดับ ส.ส. ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มเพื่อนหัวหน้า เลขาฯ ก้อนหนึ่ง เป็นชนชั้นสูง จบนอก แนวคิดประเสริฐกว่า ใคร ในไทยนี้ มีอำนาจ เหนือ ส.ส. และผู้แพ้ ทั้งหมด ปกครองเด็ดขาด โต้แย้งและเสนอแนะอะไรไม่ได้ ไม่คุย ไม่รับฟัง ส.ส. และผู้แพ้ ในตำแหน่งตลาดล่างทุกกรณี กลุ่ม 2 คือ ส.ส. สอบได้ ก็คือ บัญชีรายชื่อ ที่เป็นคนใกล้ชิดและสนิทกับกลุ่มชั้นสูงเท่านั้น จึงได้ลง ส่วนคนนอกที่ได้ ส.ส. เขตเข้ามา หืออือ ไม่ได้ กลุ่ม 3 คือ ผู้แพ้ทั้งหมด 320 เขต เล็ดลอดไปเป็นผู้ช่วยบ้าง ไม่กี่คน กลุ่มนี้ คือ “ขยะ” ในมุมมองของพรรค” ชาญวิทย์ กล่าว
รวมถึงเมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2562 วรพจน์ บุ่นจันทึก อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 13 นครราชสีมา พรรคอนาคตใหม่ 1 ใน 120 ที่ร่วมตบเท้าลาออกจากพรรค ออกมาเปิดเผยว่า การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) พรรคอนาคตใหม่จะส่งผู้สมัครลงแข่งขัน แต่ในการคัดเลือกผู้สมัครทุกคนจะต้องไปแสดงวิสัยทัศน์เพื่อคัดเลือก แต่สุดท้ายพรรคก็เลือกคนของตนเองไปสมัคร ซึ่งเป็นการสร้างวาทกรรมให้ประชาชนรับรู้ว่าพรรคอนาคตใหม่เป็นพรรคที่เปิด แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่
“ในพรรคจะฟังแค่ 2 คนเท่านั้น ซึ่งเรามองว่ามันไม่ตรงกับอุดมการณ์ของ 120 คน จึงเดินออกจากพรรค ใครจะว่า 120 คน เผาบ้านเผาพรรค เราไม่ได้เผา แต่เดินออกด้วยอุดมการณ์ ถึงแม้ว่าทางพรรคใหญ่บางพรรคได้ทาบทามมา แต่พวกเราไม่ไป และจะไม่กลับไปอยู่พรรคอนาคตใหม่ แต่ยังอยู่ฝั่งประชาธิปไตย” วรพจน์ กล่าว
หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่ทราบกันว่า พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบในวันที่ 21 ก.พ. 2563 ตามมติศาลรัฐธรรมนูญ ขณะที่หัวหน้าพรรคอย่าง ธนาธร รวมถึงคณะกรรมการบริหารพรรค ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี ส่วนบรรดา ส.ส. รวมถึงสมาชิกคนอื่นๆ ก็ย้ายไปอยู่กับพรรครุ่นที่ 2 อย่างพรรคก้าวไกล ภายใต้การนำของ “ไฮโซทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แต่ดูเหมือนปัญหา “ชนชั้นในพรรค” จะยังคงตามมาหลอกหลอนการขับเคลื่อนงานของพรรคดังกล่าวเช่นเดิม
เพราะเมื่อดูจากโพสต์ของ คริส โปตระนันท์ ข้างต้น ที่ตอนหนึ่งระบุว่า ตนในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกตลอดชีพทั้งพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ตอบได้เลยว่า เรื่องทั้งหมดที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากทั้งสิ้น ล้วนเป็นเรื่องของการตัดสินใจของคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้น ตนให้ชื่อเล่นกลุ่มนี้ว่า “โปลิตบูโร” หากการบริหารพรรคยังเป็นอย่างนี้ หากพรรคก้าวไกลได้อำนาจในการบริหารประเทศ พรรคก้าวไกลจะบริหารประเทศอย่างไร ก็คงต้องอยู่ที่คนกลุ่มนี้ ไม่ได้อยู่สมาชิกพรรคแต่อย่างใด
ซึ่งการเลือกใช้คำว่า “โปลิตบูโร (Politburo)” นั้นถือเป็นคำที่ค่อนข้าง “แรง” อยู่ไม่น้อย เพราะคำคำนี้ผู้ที่เรียนมาทางรัฐศาสตร์หรือผู้ศึกษารุปแบบการเมืองการปกครองเปรียบเทียบ จะทราบดีว่าใช้เรียกคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่อยู่ในประเทศที่ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย คำนี้เดิมทีเป็นภาษารัสเซียว่า “Политбюро (อ่านออกเรียกแบบรัสเซียคือ Politbyuro)” เกิดขึ้นมาประเทศรัสเซียในยุคก่อตั้งสหภาพโซเวียด โดยสมาชิกหลักคือแกนนำผู้ก่อตั้งพรรคบอลเชวิก ส่วนปัจจุบันรูปแบบโปลิตบูโรนั้น ยังใช้ในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
คงต้องติดตามกันต่อไปว่า พรรคก้าวไกลจะมีท่าทีเช่นไร แล้วจะสามารถ “แก้ปม-กู้ภาพลักษณ์” ได้หรือไม่ หลังจากที่มีอดีตคนในพรรคคอยออกมา “แฉ” อยู่เป็นระยะๆ แบบนี้!!!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ก้าวไกลสะเทือน! 'คริส'ผู้ร่วมก่อตั้ง'อนค.'ทิ้งบอมบ์ 3 ข้อ เปิดใจเบื้องหลังลาออก
- ‘ไพร่หมื่นล้าน’กระอัก! ลูกพรรคสาวไส้เละหลอกลวง ตบเท้าแห่ลาออก
- 120สมาชิกแห่ยื่นลาออก ทิ้งอนาคตใหม่ เหตุผู้นำไม่รักษาสัจจะ
- ขยะโผล่ลากไส้‘อนค.’แฉข้างใน สุดแบ่งชนชั้นโกหกหน้าตาย
- เลือดไหลโกรก!! 'อนาคตใหม่'สะเทือน สมาชิกพรรคเตรียมตบเท้าลาออกล็อตสอง
- ด่วนที่สุด!!! มติศาลรธน.สั่ง'ยุบพรรคอนาคตใหม่' ตัดสิทธิกก.บห.10 ปี
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี