ใส่สีตีไข่!ควันหลงอภิปราย เนื้อหาฝ่ายค้านมี 2 ข้อ วาดภาพเลวร้ายเกินจริง
19 กุมภาพันธ์ 2566 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr มีเนื้อหาดังนี้...
“ตลอดการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติที่ผ่านมาของฝ่ายค้าน มีเนื้อหาที่สามารถสรุปได้ 2 ข้อดังนี้
1. ประเทศไทยมีสภาพย่ำแย่เลวร้ายที่สุดในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่คนกำลังจะอดตาย การจัดการโควิดที่มีคนตายตามถนน การทุจริตคอรัปชั่น ธุรกิจสีเทา ยาเสพติด การพนัน อาชญากรรม ด้านสังคม มีการยิงกราดทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก เรือหลวงจมทำให้ทหารเรือเสียชีวิต เยาวชนที่เพียงแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างถูกจับขังคุก และอื่นๆอีกมากมาย
2. ความย่ำแย่เลวร้ายทั้งหมดทุกประการ ล้วนเกิดจากความล้มเหลวในการบริหารประเทศของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์ชาและรัฐบาลของพลเอก ประยุทธ์ ซึ่งตลอด 8 ปีไม่ได้มีผลงานอะไรเลย
วิญญูชนที่มีใจเป็นธรรมฟังแล้วคงตัดสินได้ว่า ความย่ำแย่เลวร้ายของประเทศเราไม่ใช่ไม่มี แต่ฝ่ายค้านพยายามวาดภาพระบายสีให้เลวร้ายเกินจริง และความเลวร้ายที่เป็นอยู่หลายเรื่องก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแก้ปัญหาได้รวมทั้งรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็ไม่สามารถแก้ได้
ในที่นี้ จึงจะขอหยิบยกเรื่องเศรษฐกิจมาขยายความ สภาพเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านมักอ้างเสมอว่า แม้ในช่วงโควิดรัฐบาลก็ควรจะบริหารเศรษฐกิจให้ดีกว่านี้ได้ และเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดของประเทศเราเป็นอันดับสุดท้ายของภูมิภาค ตามหลังประเทศอื่นๆทั้งหมด
คราวนี้ เรามาลองดูข้อเท็จจริงกันสักนิด จริงอยู่อัตราการเติบโตของ GDP ของไทยใน 3 ไตรมาสแรกของปี 2565 อยู่ในอันดับท้ายๆในอาเซียนจริงใกล้เคียงกับประเทศบรูไน แต่ที่ฝ่ายค้านเลือกที่จะไม่พูดก็คือ ประเทศสิงคโปร์ก็ไม่ได้ดีกว่าเราสักเท่าใด และเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตของ GDP 4.5% สูงกว่าใน 2 ไตรมาสแรกเกือบ 2 เท่า ในขณะที่สิงคโปร์เติบโต 4.4% ใกล้เคียงกับไทย แต่ต้องยกให้ประเทศมาเลเซียที่โตถึง 14.2% ในไตรมาสเดียวกัน
อย่างไรก็ดี การดูเฉพาะอัตราการเพิ่มขึ้นของ GDP เพื่อประเมินสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เป็นการใช้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ จำเป็นต้องดูตัวเลขขนาดเศรษฐกิจของประเทศ และตัวเลข GDP ต่อหัวของประเทศนั้นๆด้วย หากไปดูตัวเลขขนาดเศรษฐกิจของไทยก็จะพบว่า ไทยมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 รองจากประเทศอินโดนีเซีย และหากดูตัวเลข GDP ต่อหัวก็จะพบว่าไทยอยู่ในอันดับที่ 4 อันดับ 1 คือบรูไน รองลงมาคือสิงคโปร์และมาเลเซียตามลำดับ
การที่มีขนาดเศรษฐกิจค่อนข้างใหญ่เช่นนี้ เมื่อคำนวณอัตราการเติบโตของ GDP จึงต้องคำนวณจากฐานที่ใหญ่ อัตราจึงมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าการคำนวณจากฐานที่เล็กกว่า อีกประการ ประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์ ทั้ง 2 ประเทศต้องพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวค่อนข้างมาก เมื่อเกิดสถานการณ์โควิดจึงถูกกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ จะเห็นว่าประเทศไทยมีสัญญานที่ดีขึ้นมากจากตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 และเมื่อจีนเริ่มอนุญาตให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศได้ เชื่อได้เลยว่า ตัวเลข GDP ของทั้งไทยและสิงคโปร์จะพุ่งขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 และตลอดปี 2566 แน่ๆ
ดังนั้นเมื่อเราฟังการอภิปราย เราต้องให้รู้ทันในสิ่งที่ผู้อภิปรายพยายามใส่สีตีไข่ แต่น่าเสียดายที่มีคนเป็นจำนวนมากที่เมื่อฟังแล้วก็เชื่อทันที ซึ่งนักการเมืองเหล่านี้ก็ทราบดี จึงใช้วิธีการเช่นนี้มาโดยตลอด เช่นนี้แล้วเมื่อใดการเมืองบ้านเราจะดีขึ้นกว่านี้สักที”........-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี