(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)
4) ผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้อุทธรณ์คำสั่งขององค์การบริหารส่วนจังหวัดดังกล่าว โดยนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด พิจารณาแล้วไม่เห็นด้วยกับคำอุทธรณ์ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าว และเห็นว่าการออกคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามความเห็นของผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่อาจวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แตกต่างจากเดิมได้ จึงได้รายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อพิจารณาคำอุทธรณ์ ตามมาตรา 45 วรรคสาม แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ประกอบข้อ 2(10)ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2540)
5) ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่า ตนเองไม่อาจพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นผู้พิจารณาทางปกครองเรื่องนี้ และแจ้งให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หากพิจารณาคำอุทธรณ์ในเรื่องนี้จะเป็นการพิจารณาทางปกครอง ซึ่งมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางได้ ตามมาตรา 16 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติพ.ศ.2539 จึงเสนอเรื่องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้พิจารณาอุทธรณ์ตามข้อ 2(11) ของกฎกระทรวงฉบับที่ 4 (พ.ศ.2540) ดังกล่าวข้างต้น
6) ตรงนี้มีประเด็นว่า ผู้ที่มีอำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนครั้งนี้จะเป็นใคร กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นและสำนักกฎหมายของสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มีความเห็นแตกต่างกัน จึงเป็นที่มาของการหาข้อสรุปในประเด็นดังกล่าว
7.คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยพิจารณาแล้ว มีความเห็นโดยสรุป ดังนี้
1) การวินิจฉัยอุทธรณ์ถือเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
2) ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้พิจารณาทางปกครองจะต้องมีความเป็นกลางในการพิจารณาทางปกครองและอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติมาตรา 13 และมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
3) มีข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ว่าราชการจังหวัด (นาย ช.) ในขณะนั้นเป็นผู้พิจารณาให้ความเห็นในฐานะผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามข้อ 17 วรรคหนึ่งของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 โดยเห็นชอบเกี่ยวข้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวน 4 ราย
4) ต่อมาในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดคนเดิมจะต้องเป็นผู้พิจารณาทบทวนคำสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 46 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 อีก เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการขัดกันในการปฏิบัติหน้าที่เพราะการใช้ดุลพินิจของผู้ว่าราชการจังหวัด ย่อมมีความโน้มเอียงไปตามความเห็นเดิมอันอาจทำให้การพิจารณาอุทธรณ์ไม่เป็นกลางได้ จึงเป็นกรณีมีสภาพร้ายแรงอันอาจทำให้การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางและถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียในการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา 13 และมาตรา 16 แห่งพ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539
5) ผู้ว่าราชการจังหวัดจึงไม่อาจพิจารณาทางปกครองในเรื่องนั้นได้
6) กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2540) ข้อ 2(11) ดังกล่าว ได้กำหนดไว้ว่าในกรณีที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะผู้บริหารองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือในฐานะราชการส่วนภูมิภาคให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์
7) ดังนั้นผู้กำกับดูแลซึ่งเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยฯอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดในกรณีนี้จึงได้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตามข้อ 2(11) ดังกล่าวข้างต้น (มติของคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายกระทรวงมหาดไทย ในการประชุม ครั้งที่ 7/2566วันพุธที่ 8 มีนาคม 2566 ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 335/2550)
8.เรื่องนี้ ประเด็นสำคัญคือ การพิจารณาทางปกครองเป็นการใช้ดุลพินิจอย่างเป็นกลางหรือไม่นั่นเองนะ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี