“ละครการเมือง” ฉากหนึ่ง ที่น่าสนใจ แต่ไม่น่าเชื่อ คือการออกมาประกาศ ไม่จับมือกับ 2 ป. ที่ทำรัฐประหาร
โดยนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวปราศรัยที่โรงเรียนบ้านวังสะพุง อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ท่ามกลางประชาชนร่วมรับฟังกว่า 3,000 คนว่า มีคำถามตลอดว่าพรรคเพื่อไทยจะ ไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่
พี่น้องอยากให้ไปร่วมหรือไม่ พอแล้ว 8 ปีที่ผ่านมายืนยันชัดเจนว่าไม่จับมือกับสองพรรคนี้ เพราะ 2 พรรคนี้มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ปล้นอำนาจ อธิปไตยประชาชน บอกว่าเราเป็นเรือใหญ่ เขาเป็นเรือเล็กพายอยู่ข้างๆ ไม่ต้องมาอยู่ข้างๆ ต่างคนต่างอยู่ ไม่ร่วมกันแน่นอน
“วันนี้ พี่น้องเดือดร้อนเรื่องค่าไฟฟ้า เพื่อไทยเป็นรัฐบาล ภายใน 4 ปี ค่าไฟจะลดลงทันที และรายได้ของพี่น้องเกษตรกรจะเพิ่มขึ้น 3 เท่า ผ่านการทำตลาดที่เฉลียวฉลาด
รัฐบาลที่ผ่านมาทำให้เกิดภาวะแล้ง ปัญหานี้จะหมดถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล พรรคเพื่อไทยคิดใหญ่ ทำเป็นมาโดยตลอด ไม่ใช่รัฐบาลที่ผ่านมา คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปจะมี 10,000 บาท จากดิจิทัลวอลเล็ต คนรุ่นใหม่ หากไม่อยากเป็นทหารเราจะมีนโยบายให้สมัครใจเป็นทหาร ไม่จำเป็นต้องคัดเลือก อย่าให้ใครมาว่าเขาชังชาติ เรามีวิธีรักชาติต่างกันไป บางคนอยากเป็นหมอ เป็นครู ก็รักชาติได้ ส่วนเรื่องยาเสพติด ปัจจุบันซื้อได้ง่าย และลูกหลานติดยา พรรคเพื่อไทยจะบำบัดผู้ป่วยและป้องกันไม่ให้เขาเป็นผู้เสพยาอีกครั้ง มีการหาวิธีประกอบอาชีพที่เหมาะสม สำหรับผู้ค้าเราต้องมีความเด็ดขาด และนายกรัฐมนตรีต้องนั่งหัวโต๊ะจัดการปัญหานี้ให้เด็ดขาด
“ผมในฐานะมือใหม่ทางการเมือง ผมเห็นแววตาที่พี่น้องเดือดร้อน ผมอายุ 62 ปี ถึงจุดที่ว่าไม่ไหวแล้ว ประเทศชาติต้องเดินไปข้างหน้า วันที่ 14 พฤษภาคมเข้าคูหากาเพื่อไทย 2 ใบ ให้ผู้สมัคร สส.เลยทั้ง 4 คน ได้เข้าสู่สภา และเลือกเบอร์ 29 ของพรรคเพื่อไทย เลือกพรรคเพื่อไทยให้แลนด์สไลด์ยกจังหวัด และให้นายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย” นายเศรษฐา กล่าว
สิ่งที่ควร “รู้ทัน” ก็คือ
1) การเมือง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ประกาศวันนี้ ไม่ใช่ “พันธสัญญา” ถึงวันหน้า บอกไม่จับมือวันนี้ ไม่ใช่ข้อยุติที่แท้จริงของวันหน้า เพราะพอถึงเวลา ก็จะหา “ข้ออ้าง” สารพัดมา มาทำให้เป็น “เหตุผลที่ต้องจับมือกัน”
2) พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ใช่พรรคที่ยึดมั่นในสัจจะวาจาเช่น เสนอชื่อนายกฯ ไว้ 3 ชื่อ สุดท้ายตอนเสนอจริง กลับไปเสนอชื่อ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แข่งชิงเก้าอี้นายกฯ ในสภากับ“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยมีจำนวน สส.ในสภามากกว่า
3) เศรษฐาพูด “ในนามของใคร” ในทางการเมืองต่างวิเคราะห์ว่า เศรษฐาไม่มีตัวตน เศรษฐาเข้ามาเป็น “ตัวละครในช่วงหาเสียง” เพื่อผ่อนและผลัดให้ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” ที่กำลังท้องแก่ และเสร็จภารกิจเรื่องการตอกย้ำว่า “เราคือชินวัตร เราคือทักษิณ” แล้ว ได้พัก ได้เตรียมตัวคลอด ประกอบกับอุ๊งอิ๊งไม่มีบทอะไรให้เล่นต่อแล้ว โดยเฉพาะบท “นักบริหารมืออาชีพ” เขาจึงเอาเศรษฐามาเล่นบทนี้ในช่วงเวลานี้ยังไงล่ะ
4) ทุกประเด็นที่เศรษฐากล่าวโจมตีรัฐบาลนั้น ผลกระทบ มันเกิดกับ “ลุงตู่” ไม่ใช่ “ลุงป้อม” เอาจริงๆครึ่งหลังของรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ถูกกีดกันและ “ผลักออก” จากงาน จากอำนาจ อย่างเห็นได้ชัดโดย “น้องตู่สุดที่รัก” ยิ่งพอย้ายพรรคไปอยู่รวมไทยสร้างชาติแล้ว ตั้งคนนั้น ตั้งคนนี้ ให้มีตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ตำแหน่งเหล่านั้นสามารถตั้งคนในพรรคพลังประชารัฐได้ตลอดเวลาแต่ก็ไม่เคยมีน้ำใจให้ คนจึงวิเคราะห์กันว่า ลุงป้อมผู้สวมบท “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” พร้อมจะ “เติม”ให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล มากกว่าผลักดันลุงตู่เป็นนายกฯอีกรอบ
5) ดังนั้น ไม่ว่าจะคิดในมุมไหน บทสะบัดสะบิ้งเรื่อง “ไม่จับมือ” กับคนทำรัฐประหาร ก็ยังสลัดลุงป้อมไม่หลุดอยู่ดี เพราะลุงป้อมแกก็ประกาศหลายครั้ง ทั้งในสภา และในจดหมายน้อยของแก ว่า “ผมไม่ใช่คนทำรัฐประหาร” บทนี้ของเศรษฐา จึงเข้ากับสำนวนสมัยใหม่ว่า “ไม่เนียน ไปเรียนมาใหม่”
6) และสุดท้าย คนที่จะเจรจากับพรรคต่างๆ เพื่อตั้งรัฐบาล ก็ไม่ใช่ “เศรษฐา” ด้วย แต่เป็นคนอื่น ซึ่งทุกคนก็พุ่งเป้าไปที่ “คณะลูกน้องใกล้ชิดทักษิณ” ที่นั่งเป็น“นักรบห้องแอร์” ควบคุมบริวารในพรรคเพื่อไทยมาตลอดเด็ดขาดที่สุดคือ คนมองไปที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่คนส่วนมากยังเชื่อว่า “เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย” ที่สั่งซ้ายหันขวาหันได้การออกมาพูดของเศรษฐา จึงไม่มีความหมาย
7) คำถามที่สำคัญก็คือ ประชาชนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทย เขาแคร์ไหม ที่พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับใครตั้งรัฐบาล ต่อให้รวมกันทั้ง “ลุงป้อม” และ “ลุงตู่” เพื่อถีบ
“พรรคก้าวไกล” ที่เป็นอุปสรรคในหลายๆ เรื่องออกไปมวลชนของพรรคเพื่อไทยก็รับได้ เพราะพวกเขาไม่ต่างอะไรจากคนในพรรคเพื่อไทย ที่ “คำสั่งของนาย” เป็นใหญ่ว่าไงก็ว่างั้น
8) ถามว่าถ้ามวลชนที่จะใส่คะแนนให้พรรคเพื่อไทยมีสติ มีกระบวนการคิด กลั่นกรอง จะยังเลือกพรรคเพื่อไทยทำไม และจะไม่เลือกเพียงเพราะพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับ “ลุงป้อม” จริงๆ หรือในเมื่อสิ่งที่พรรคเพื่อไทยทำมันร้ายแรงยิ่งกว่าการรัฐประหารเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นการทุจริตคอร์รัปชั่น โกงแล้วหนี ยุให้เผาแล้วทิ้งให้เข้าคุก พาคนไปตายแล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ฆาตกร ถามอีกครั้งว่า คนที่มีสติ มีความคิด แยกไม่ออกหรือว่าพฤติกรรมไหน “ระยำ” กว่ากัน?
9) มันก็มีพื้นที่หวั่นไหวอยู่แค่ใน กทม. เท่านั้น ที่พรรคเพื่อไทยเกรงว่า ถ้าไม่ประกาศเรื่องนี้ จะเสียคะแนนบางส่วนให้แก่พรรคก้าวไกล ซึ่งชัดเจนหนักแน่นกว่า ในแง่ของความจริงจัง มุทะลุ และมีจุดยืนที่ไม่คลอนแคลนหรือสับปลับ
ฟากโรงละครฝั่ง “ลุงป้อม” ก็ไม่เบา ส่ง “มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ออกโรง !!
โดย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาทุนจีนสีเทา พร้อมทั้งแปลงให้เป็นการหารายได้เข้าประเทศ และระบบตรวจสอบทหาร ตำรวจ เมื่อกระทำความผิดของพรรคพลังประชารัฐ ไว้ที่เวทีดีเบตของช่อง MCOT ในรายการ เจาะลึกเลือกตั้ง 66โดยระบุว่า มูลเหตุของปัญหานี้ ต้องย้อนกลับไปดูที่ตัวแปรก่อน อย่างแรกคือ ปัจจุบันคนหนุ่มคนสาวในไทยมีน้อย เนื่องจากอัตราการเกิดลดลง จึงจำเป็นต้องมีการดึงแรงงานต่างด้าวเข้ามาช่วยในจุดนี้
อย่างที่สองคือ ประเทศที่มีประชากรมากระดับพันล้านคน ที่ปฏิเสธไม่ได้คือ ประเทศจีน คนจีนเข้ามาในประเทศไทยมากมาย ซึ่งมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ซึ่งในส่วนของ “ทุนจีนสีเทา” ก็ปฏิเสธได้ยากที่จะไหลเข้ามาในประเทศไทยพอสมควร ซึ่งจากนี้ไทยต้องเข้มงวดเด็ดขาด กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ตรวจหมดทุกอย่าง ทั้งที่มาของเงิน แหล่งเงิน หากชี้แจงไม่ได้จะยึดเป็นรายได้ของรัฐทั้งหมด
“ผมบอกเลยนะครับว่า ผมจะสร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาลจากทุนจีนสีเทา หรือทุนไหนก็ตามที่เป็นสีเทา ขออำนาจศาลพิพากษา ขอให้มีหน่วยงานพิเศษตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ เพราะที่มีอยู่ปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอ และผมบอกเลยว่าต้องทำอย่างรวดเร็ว นี่คือเคล็ดลับในการหารายได้เข้าประเทศที่ดีที่สุด”นายมิ่งขวัญ กล่าว
ต่อมา นายมิ่งขวัญ ได้พูดถึงเรื่องการกลืนชาติ โดยระบุว่า “เมื่อคนจีนเข้ามาในประเทศไทยแล้ว เราไม่รู้ว่าเขาจะเข้ามาทำอะไร แต่สิ่งที่เรายอมให้เกิดขึ้นไม่ได้คือการกลืนชาติ เพราะประเทศไทยต้องเป็นประเทศไทย เราจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาครอบงำ แม้เราจะเป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรแค่ 60-70 ล้านคน แต่ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด” พร้อมย้ำด้วยว่า “บอกเลยนะครับว่ากรีดเลือดผมออกมาเลือดรักชาติเข้มข้น”
หลังจากนั้นนายมิ่งขวัญได้กล่าวถึงประเด็นบุคลากรด้านความมั่นคง โดยระบุว่า “ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไรแต่ผมคิดว่าได้เวลาที่จะต้องปลุกทุกคนแล้วว่าทุกคนต้องทำงาน ผมอาจจะคิดต่างจากคนอื่น เช่น ผมคิดว่าเราต้องมีหน่วยงานตำรวจเพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อเข้มงวดต่อเข้าหน้าที่ของรัฐ ไม่ใช่ตำรวจกลายเป็นโจรเสียเอง พอมีความผิดก็มานั่งพิจารณาและไล่ออกวนไปแบบนี้ไม่ได้
“ดังนั้น ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องทุนจีนสีเทา หรือทุนสีเทาใดๆ ก็ตามเลย ผมจะเด็ดขาด ท่านยังไม่เคยเห็นบทนี้ของผม ไว้รอผมเป็นรัฐมนตรี หรือรองนายกฯ ก่อน” นายมิ่งขวัญกล่าว
ทั้งนี้ ช่วงหนึ่งของรายการได้เปิดโอกาสให้ผู้ดีเบตได้ตั้งคำถามถึงผู้ร่วมดีเบตท่านอื่นๆ ผ่านการจับสลาก ซึ่งนายมิ่งขวัญจับสลากได้พรรคเพื่อไทย โดยตั้งคำถามต่อตัวแทนพรรคอย่าง “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดชในหัวข้อ “เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ที่กำลังเป็นประเด็นกันอยู่ในขณะนี้ ว่า “เรื่องดิจิทัลวอลเล็ตคือสิ่งที่ผมสงสัยเหมือนๆ กับคนไทยทั้งประเทศ อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไรมาอย่างไร? เพราะหากฟังฝั่งหนึ่งก็รู้สึกดีให้เงินประชาชน แต่พอคิดอีกด้านก็มีคำถามครับว่า
1.จะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย
2.กำหนดขอบเขตการใช้จ่ายอย่างไร?
3.มีมาตรการป้องกันเงินไหลออกนอกระบบหรือไม่?
โดย นพ.พรหมินทร์ ได้ตอบคำถามดังกล่าวด้วยภาพกว้างๆ และไม่ได้ลงรายละเอียดถึงตัวเลขที่จะมาอุดหนุนการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แค่แจ้งว่าเตรียมไว้แล้ว ทำให้นายมิ่งขวัญ กล่าวเชิงห่วงทิ้งท้ายว่า “หากเงินไหลออกนอกประเทศ เราไม่เจ๊งตายเลยหรือ?”
เรื่อง “แจกเงินดิจิทัล” นี้ เป็นกระบวนการหาเสียงแบบ “นักพนัน” เทลงไปให้หมดหน้าตัก ซื้อคะแนนได้จากทั่วประเทศ เพราะเป็นการ “แจกแหลก” ครอบคลุมกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งครบทุกกลุ่ม การโจมตีหรือวิเคราะห์ ชวนคิด จากพรรคอื่น เพียงหวังผลชะลอความแรงของกระแสนิยมเรื่องนี้เท่านั้น เพราะชาวบ้านร้านตลาดมีข้อสงสัยแค่เพียงว่า เขาจะรับเงินทางไหน และใช้มันอย่างไร ไม่มีข้อกริ่งเกรงเรื่องเอาเงินมาจากไหนจะขึ้นภาษีเท่าไร ขอแค่ได้ “เงินหมื่นฟรี” ก็ดีแล้ว
สิ่งเดียวที่จะ “เป็นปัญหา” คือ กกต. กับ ข้อกฎหมาย“การโต้กลับ” ด้วยเงื่อนไขนี้ จึงเป็นการสั่งสอนเศรษฐาที่“แรง” กว่าเยอะ
โดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครสส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ยื่นคำร้องต่อ กกต. ขอให้ตรวจสอบใน 3 ประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย ทั้งประเด็นนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย ขึ้นเวทีปราศรัย รวมถึงประเด็นการหาเสียง และนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท
โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า วันนี้ยื่นขอให้ กกต.ตรวจสอบใน 3 ประเด็น โดยประเด็นแรกจากกรณีที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยนายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายณัฐวุฒิ ได้ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยถ้อยคำว่า “รับเงินหมา กาเพื่อไทย”ว่า คำพูดดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสส. มาตรา 73 (5)จึงได้รวบรวมหลักฐานประกอบด้วยคลิปวีดีโอ ในการปราศรัยที่ จ.อุดรธานี เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงข้อความจากแพลตฟอร์มจากพรรคเพื่อไทย ทั้งเฟซบุ๊ก และเว็บไซต์ของพรรค
ประเด็นที่ 2 กรณีที่นายณัฐวุฒิ ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย แต่ขึ้นเวทีไปปราศรัยช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงได้อย่างไร เนื่องจากนายณัฐวุฒิ นอกจากไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว ยังต้องคำพิพากษาคดีบุกรุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นองคมนตรี โดยเจ้าตัวอ้างว่าอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
โดยการกระทำของนายณัฐวุฒิ บ่งบอกถึงการเป็นดาวเด่นของพรรคเพื่อไทย จึงเกิดคำถามว่าเป็นการชี้นำครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาเคยยื่นร้องในประเด็นดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่ง ขณะนั้น กกต. ได้ชี้แจงว่านายณัฐวุฒิ ได้ขึ้นไปแค่สวมเสื้อของพรรคอย่างเดียวจึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 28 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง โดยเรื่องนี้ตนเทียบเคียงกรณีที่นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อปี 2562 และสวมเสื้อของพรรคโดยไม่ได้ปราศรัยแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมหลักฐานเพื่อให้กกต. พิจารณาเพราะถ้าเกิดว่าการกระทำของนายณัฐวุฒิเข้าข่ายผิดมาตรา 28, 29 ของ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคต่อไป
ละครเรื่อง “ไม่จับมือ” จึงมีความ “ไม่น่าเชื่อถือ”และเราได้เห็น “ลุง” ตบสั่งสอนกลับไปด้วย!!
พิฆาต ไพรี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี