ยอมรับกันไหม ว่า ราว 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยตกอยู่ในบรรยากาศการเมืองที่ “สุดโต่ง-สุดขั้ว”
ประชาชนถูกปลุกปั่น แบ่งแยก เป็นขั้วข้าง จนบางครั้งไม่มีสติ ไม่มีเหตุผล พวกเดียวกันถูกต้องเสมอ
“โกง” ก็ไม่เป็นไร เขาแบ่งให้เรา
“โกง” จนถูกจับได้ ก็บอกว่า “ถูกกลั่นแกล้ง”
“หนีคุก” ไปเอง ก็บอกว่า “อยากกลับบ้าน”
กลับได้ทุกวัน แต่ไม่กลับ
ปลุกปั่นผู้คนจนเกิดการเผชิญหน้า ชนิด “รุมฆ่านายกรัฐมนตรี” ดีที่ฝ่าวงล้อมออกมาได้ ไม่ตายคารถ
ประชาชนถูกตัดต่อพันธุกรรมทางความคิดจนกลายเป็นเอเลี่ยน เป็นอาวุธ เป็นสาวก และเป็นเหยื่อ
“ความรุนแรง” ทั้งทางวาจา ความคิด และการกระทำ กลายเป็นเรื่อง “ปกติ”
ทำผิดกฎหมายก็บอกว่า “กฎหมายผิด”
ยุยงปลุกปั่นเด็กและเยาวชนให้ผิดหลงจนมีคดีติดตัว แล้วโทษว่ารัฐรังแกเยาวชน
ความเลวทรามต่ำช้า และการหลอกใช้ ไม่มีส่วนผสมของ “ความละอาย”
แสงไม่ส่อง ก็แต่งเรื่องให้น่าสงสาร มางานศพพ่อไม่ทัน ถูกอายัดบัญชี พอถูกจับได้ไล่ทัน ก็ให้สาวกปลุกกระแสว่า “ถูกขุด”
“ความวิปริต” พวกนี้ ยังคงถูกใช้ในเวลานี้เวลาที่พรรคการเมืองต่างๆ “อยากชนะ” อยากได้คะแนนจากประชาชน จนไม่ต้องแข่งขันกันที่ความดีความรู้ ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต และนโยบายสร้างสถานการณ์เพื่อ “ผลักตัวเลือกอื่นๆ” ออกไปให้เหลือแต่ตัวเองกับคู่แข่ง
ก่อนหน้านี้ก็ปั่นกระแส “แลนด์สไลด์” จนอีกฝ่ายได้พื้นที่ หวนกลับไปสู่ “เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่”
ยิ่งพรรคเพื่อไทยส่ง “อุ๊งอิ๊ง” ออกมานำขบวนเกินหน้าเกินตาหัวหน้าพรรคธุรการ ยิ่งก่อความกังวลให้แก่มวลชนอีกขั้ว ผสานกับการโผล่มารายวันใน“คลับเห่า” ของบิดาเธอ ยิ่งปั่นกระแสให้“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีราคาขึ้นมา ในฐานะ “ไม้กันหมา-ยันต์กันผี”
นั่นคือยุทธวิธี “ตัดตัวเลือกอื่น” เพื่อให้เกิดคู่เทียบเพียงคู่เดียว ซึ่งแน่นอน พรรคเพื่อไทยไม่ได้กังวลกับ“พล.อ.ประยุทธ์” มีแต่ฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์นี่แหละ ที่กังวลกับพรรคเพื่อไทย เกมนี้ “ครอบครัวเพื่อไทย” เป็นคนกำหนดขึ้น เพื่อย้ำกระแส “เอาประยุทธ์ออกไป ชีวิตคนไทยจะดีขึ้น” ขั้วอนุรักษ์นิยมก็ออกอาการ “ขนหัวลุก”กลัวทักษิน ชินวัตร จะกลับมา ทั้งๆ ที่ก็น่าจะ “รู้สันดาน”เขาแล้ว ว่า ไม่มีวันกลับ หากไม่ได้ “เงื่อนไขที่ดีที่สุด” คือ ไม่ต้องเข้าคุก หรือ “อยู่ในคุกพิเศษ”
พวกหนึ่งเห็น “ทักษิณ” เป็นท้าวมหาพรหมผู้จะมาสร้างความสุข ความอยู่ดีกินดี
ลุงตู่เป็น “ปีศาจ” ที่ครั้งนี้ต้อง “กลบฝัง” ให้มิด อย่าให้กลับขึ้นมาหลอกหลอนได้
อีกข้างก็เห็นทักษิณเป็น “ผีเปรต” ที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด แม้ปากเท่ารูเข็ม แต่ยังมีความสามารถที่จะ “ดูดกิน”ชนิดไม่เคยพอ จึงเห็น “ลุงตู่” เป็นผู้ “ขจัดเปรต”
พอกระแสแลนด์สไลด์แผ่ว เพราะประเมินแล้วว่าแค่ “ราคาคุย” แค่วิธีการ “โฆษณาชวนเชื่อ”
คู่ขัดแย้งใหม่ก็เกิดขึ้น เพื่อ “ขจัดตัวเลือกอื่น” ออกไปเหมือนเดิม บีบความคิดประชาชนให้เลือกจากแค่ 2 ตัวเลือกนี้เท่านั้น
1.พวกจะ “เปลี่ยนประเทศไทย”
กับ 2. ผู้รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พูดง่ายๆ ว่า “ก้าวไกล” กับ “ลุงตู่”
เหตุที่กระแสพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์แผ่วไป เพราะคนจำนวนไม่น้อยไม่ไว้ใจ เนื่องจากมีข่าวว่าพรรคเพื่อไทยจะจับมือกับ “ลุงป้อม” พรรคเพื่อไทยจึงเป็น “ของปลอม” เป็น “นักต่อสู้อุปโลกน์” ที่ “สู้ไปกราบไป”
ดังนั้น คู่เทียบใหม่จึงใช้กลยุทธ์ “หยุด 3 ป.”กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม หาเสียงง่ายไม่ต้องเน้นนโยบาย ไม่ต้องเน้นตัวบุคคล เอาเสาไฟฟ้ามาทาสีส้ม ก็ขอให้คุณเลือก ไม่ว่าคนที่ออกจากพรรคไปจะแฉถึง “ความไม่เป็นประชาธิปไตย-ไม่เท่าเทียม” หลายอย่างที่เกิดขึ้นภายในพรรค ก็มิเกิดผลกระทบ
พอชูกลยุทธ์นี้ขึ้นมา อีกข้างหนึ่งก็ยังชู “ลุงตู่” เป็นสัญลักษณ์ของผู้ปกป้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามเดิม
กีดกันพรรคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ชาติไทยพัฒนา ชาติพัฒนากล้า ฯลฯ ออกจากสมการ ไม่ต้องเลือก เทคะแนนมาเลย ผู้สมัครส่วนหนึ่งที่ไม่มีเครดิต ก็ “ขายลุงตู่-ชูการปกป้อง”เรียกคะแนน
อยากให้ดูตัวอย่างที่จังหวัดนนทบุรี เมื่อเกิดปรากฏการณ์ “แกนนำสามกีบ” ช่วยผู้สมัครพรรคลุงตู่หาเสียง
28 เม.ย. 66 เฟซบุ๊กของ ดร.ปุ๊ก-วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ผู้สมัคร สส.นนทบุรี เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ภาพขณะลงพื้นที่หาเสียงแต่มีประเด็นที่ถูกโฟกัสก็คือ มีภาพของ นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือ ไบรท์ ชินวัตร แกนนำม็อบราษฎรเมืองนนท์ เป็นทีมงานช่วยหาเสียงด้วย
โดยดร.ปุ๊ก ระบุว่า ทีมงานช่วยหาเสียงของปุ๊ก มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม คนเสื้อแดง และแกนนำม็อบ 3 นิ้วโดยทุกคนเคารพในการตัดสินใจ และเดินหน้าตามแนวทางของปุ๊กและพรรค พวกเราต้องการพัฒนาให้เมืองนนท์ของเราดีขึ้น ลดความขัดแย้ง ช่วยกันรวมไทยสร้างชาติอย่างแท้จริง อบอุ่นทุกครั้งที่ลงพื้นที่ ยิ่งเจอพลังเงียบยิ่งมั่นใจ
ขณะที่ ไบรท์ ชินวัตร โพสต์เฟซบุ๊ก กล่าวถึงเหตุผลช่วย ดร.ปุ๊ก-วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา ลงพื้นที่หาเสียงว่า ยืนยันว่าเป็นภาพที่ช่วย ดร.ปุ๊ก-วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา หาเสียงจริงๆ แต่ตนเองยังคงยืนยันอุดมการณ์ในการเรียกร้องประชาธิปไตยในหัวใจดั่งเดิม
สาเหตุที่ผมต้องมาช่วยผู้สมัครท่านนี้หาเสียง อยากให้พี่น้องได้ทราบว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิดที่ผ่านมา ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดใกล้เคียงมีพี่น้องเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก บางคนต้องสูญเสียพ่อแม่และคนรักในครอบครัว ผมจึงเปิดศูนย์อำนวยการเพื่อประสานความช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิดในช่วงนั้นเพราะพี่น้องไม่มีเตียงรักษาโรค มีผู้หญิงคนนี้คือ“ดร.วิภาวัลย์ วรวรรณปรีชา” ที่เป็นคนแรก อาสาเข้ามาที่จะสนับสนุนผลักดันหาเตียงรักษาโรคให้เพียงพอต่อจำนวนที่พี่น้องประสานมายังผมไม่ต่ำกว่า 2,000 คน พี่น้องในพื้นที่ลำบาก มีผู้หญิงคนนี้ที่ยื่นมือมาช่วย นำสิ่งของต่างๆ มามอบให้กับผมเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับพี่น้องเพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อน
ยืนยันว่าไม่มีนักการเมืองคนไหนเลย ที่จะเป็นความหวังและเป็นที่พึ่งของประชาชนในพื้นที่นนทบุรีเขต 1 จึงจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องสนับสนุน ดร.วิภาวัลย์
วรวรรณปรีชา ผู้สมัครหมายเลข 2 เขต 1 นนทบุรี ตำบลบางกระสอ ตำบลบางเขน และตำบลท่าทราย
ผมมีความหวังและความฝันอยากเห็นนักการเมืองแบบนี้ที่ทำเพื่อประชาชน ส่วนสำหรับคุณประยุทธ์ จันทร์โอชาจะอยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับผม ยืนยัน ยังไงก็แล้วแต่ จะต้องสนับสนุนผู้สมัครหมายเลข 2 ผู้นี้ให้เข้าสภาให้จงได้ ขอบคุณพี่น้องในเขตพื้นที่นนทบุรี เขต 1 ที่เข้าใจ และต้องขอโทษหากทำให้พี่น้องท่านใดไม่พอใจ ทุกคนย่อมมีเหตุผลแต่ละพื้นที่ความเดือดร้อนปัญหาต่างๆ ย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การที่พี่น้องหลายคน เข้ามาต่อว่าด่าทอผมเสียๆ หายๆ เชื่อว่าจะทำให้เข้มแข็งขึ้น และอยากฝากบอกทุกท่านว่า ถ้าพวกเรารักประชาธิปไตยจริง ควรเปิดใจให้กว้างสักนิด และรับฟังให้รอบด้าน มิใช่เอาแต่อารมณ์ตัวเอง แล้วด่าคนอื่นว่าเป็นอย่างที่คุณคิด
คนอย่างผม ถึงแม้นจะอายุไม่เท่าไหร่ การต่อสู้ผมก็ต่อสู้มาตั้งแต่ปี’49 ไม่ต่างอะไรจากคนอื่น ผมทนทุกข์ทนลำบาก โดนดูถูกโดนเหยียบย่ำ ผมพยายามที่จะหนักแน่น แต่อยากบอกให้ทุกคนรู้ว่า ไม่ควรผลักมิตรให้เป็นศัตรู ผมมีความหวังและความฝัน อยากเห็นนักการเมืองแบบนี้ที่ทำเพื่อประชาชน
“ตราบใดที่คุณยังไม่รู้ว่า คนที่คุณกล่าวหาเขา มีความคิดเช่นไร #ยืนยันในอุดมการณ์ #ยืนยันในระบอบประชาธิปไตย ผมเคารพการถูกตำหนิในครั้งนี้ แต่การตำหนินั้น จะต้องอยู่ในขอบเขตครับ คนเรามีขีดจำกัดครับ ผมไม่ได้มาด้วยเงิน เพราะผมก็ไม่มีจะแดกเหมือนกันผมทำงานเพื่อที่จะเลี้ยงครอบครัวผม และไม่ใช่เพียงเท่านั้น ผมเชื่อว่าสิ่งที่ผมทำ ผมทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อคนในนนทบุรีบ้านเกิดของผมครับ” ไบรท์ ชินวัตร ระบุ
ล่าสุด ไบรท์ ชินวัตร ยังโพสต์ภาพสนับสนุนดร.เฉลิมพล นิยมสินธุ์ ผู้สมัคร สส.นนทบุรี เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ พร้อมระบุว่า เป็นผู้สมัครอีก 1 ท่าน
ที่ผมช่วยหาเสียงอยู่ที่เขต 2 นนทบุรี ประกอบด้วยตำบลสวนใหญ่ ตำบลตลาดขวัญ ตำบลบางศรีเมือง ตำบลบางกร่าง และ ตำบลบางรักน้อย ขอแรงใจจาก
พี่น้องในเขตพื้นที่เขต 2 วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมนี้เข้าคูหากาเบอร์ 5 เขต 2 นนทบุรีนะครับ
“พี่น้องประชาชนในพื้นที่จะเลือกใคร มาเป็นผู้แทนของท่านก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนครับผมไม่สามารถที่จะไปบังคับใครได้ ขอให้พี่น้องออกมาใช้สิทธิ์ในความเป็นประชาชนของท่านก็พอครับ” ไบรท์ ชินวัตร ระบุ
พึงทราบว่า ดร.ปุ๊ก (วิภาวัลย์) กับ ดร.หน่อง (เฉลิมพล) นี้ เป็นคู่หูกันมานานหลายปี ทำงานในพื้นที่นนทบุรีด้วยใจ ก่อนหน้านี้เป็นผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน แต่ไม่เคยได้รับเลือกให้เป็น สส. เพราะในพื้นที่คลาคล่ำไปด้วย “สีแดง” กับ “สีส้ม”
ช่วงวิกฤตน้ำท่วม และโควิด-19 สองคนนี้ไม่เคยทิ้งพื้นที่ มีจิตสาธารณะ ประสานทุกความช่วยเหลือมายังพี่น้องประชาชน จน “ชนะใจ” ไบรท์ได้
นี่คือตัวอย่าง “การเลือก” ที่ประเทศจะไม่บรรลัย
อุดมการณ์ส่วนตัวเรื่องหนึ่ง การสนับสนุน “คนดี”ให้เป็นตัวแทนอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่ใช่นั่งเมาอุดมการณ์จน “เสาไฟฟ้าที่ทาสีเดียวกับกู” กลายเป็น “ตัวแทน” โดยอัตโนมัติ กลายเป็นว่า “ต้องเลือกเพราะเป็นพวกเรา”
การเลือก สส. (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ไม่ใช่การเลือกข้าง แต่เป็นการเลือก “ตัวแทน” เข้าไปอยู่ในกลไกระดับชาติ ที่สามารถช่วยผลักดันโอกาสและแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนทั่วประเทศ ถ้ามัวแต่เลือกคนที่หมกมุ่นกับ “พวกเดียวกัน” เท่านั้น ประเทศชาติจะเจริญตอนไหน สภาจะดี มีเหตุผล และรวมสติปัญญาเพื่อพัฒนาประเทศ และแก้ไขปัญหาประเทศได้อย่างไร
บัตรเลือกตั้งมี 2 ใบแล้ว บัตรเลือก สส.เขต จงดู “ตัวคน” ที่มีความสุจริต มุ่งมั่น และจดจ่อกับการดูแลผู้คนในพื้นที่ เช่น เจิมมาศ จึงเลิศศิริ เขต 1 กรุงเทพฯ ที่
“ทำงานจริง ไม่ทิ้งพื้นที่”, อภิมุข ฉันทวานิช เขต 3 กรุงเทพฯ ที่ก็เหมือนกับปุ๊ก หน่อง และเจิมมาศเหล่านี้เป็นต้น
อย่าเลือกเพียงเพราะเขาเป็นคนของพรรคใดสวมหน้ากากลุงคนนั้น ป้าคนนี้ คุณหนูคนโน้น มา “ตก” คะแนนจากคุณ
ดูให้ลึกว่า ในยามทุกข์ ใครที่ไม่เคยทอดทิ้ง
ดูให้ชัดว่า ในยามเผชิญปัญหา ใครเหลียวแลและหาทางแก้ไข
อย่าเลือกเพราะบ้าคลั่งกับกระแสและตัวบุคคลจนทิ้งขว้างคนที่เขามีพฤติกรรมและสำนึก “เป็นตัวแทนของคุณและพื้นที่” อย่างแท้จริง เพราะในระยะยาว จะไม่เหลือคนแบบนี้อีกเลย ถ้าคนเลือก “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” คนแบบนี้ ด้วยการทอดทิ้ง ไม่เลือก ไม่ให้คะแนน แต่ใส่คะแนนให้กับ “ใครก็ไม่รู้” ที่ไม่เคยมาอยู่ มาผูกพัน มาช่วยกันเผชิญปัญหา
เราจึงเห็นว่า ผู้สมัครหลายคนมุ่งอาศัย “กระแสพรรค” ชุบตัว และพาเข้าสภา
ซึ่งถึงเวลา พวกเขาก็ “สันดานเดิม” คือ อยู่สภาก็เพียงแค่ทำตามพรรค ทำตามสั่ง ส่วนพื้นที่ ชนะแล้วก็แล้วกัน แล้วเอาสภาเป็นที่ “ห้ำหั่น” กันต่อไป
ประชาชนก็มองตา “คนดีที่ไม่ถูกเลือก” ที่ยังคงแวะเวียนมารับฟังปัญหาและหาทางแก้ไขให้ โดยไม่หลบตา ไม่สะเทิ้นเขินอายกันต่อไป
นี่คือ “ความบรรลัย” ในความเป็นมนุษย์ และการ “เลือกด้วยอารมณ์ !!
โดย...“พิฆาต ไพรี”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี