อีก 10 กว่าวันที่จะถึงนี้เราจะได้รู้กันว่าเสียงของประชาชนคือเสียงสวรรค์อย่างที่นักคิดทางการเมืองของฝรั่งได้สรุปเอาไว้หรือไม่
บรรดาผู้นำพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งช่วงนี้มือไม้อ่อนอ้อนวอนขอคะแนนเสียงกันถึงหน้าประตูบ้านจนจำไม่ได้ว่าใครอยู่พรรคไหน อีกด้านหนึ่งเราก็ได้เห็นการจัดเวทีดีเบต ประชุม เสวนานำเสนอนโยบายกันอย่างแข็งขัน ส่วนใหญ่ก็มักจะออกแนวประชานิยม จนไม่รู้เหมือนกันว่าถึงเวลาจะต้องทำกันจริงๆ จะเอาเงินมาจากไหน เงินจะเพียงพอหรือไม่
แต่เวทีประชุมโฟกัสกรุ๊ป เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 ที่โรงแรมแกรนด์ฟอร์จูน กรุงเทพฯ ซึ่งจัดโดย มูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) เรื่อง “สื่อมวลชนพบพรรคการเมือง : ถามหานโยบายสร้างเสริมสุขภาพคนไทย” 6 พรรคการเมืองมาร่วมด้วยมี นายวิเชษฐ์ พิชัยรัตน์ สื่อมวลชนอาวุโส เป็นคนคอยซักคอยถามบนเวทีนั้นน่าสนใจมาก
เริ่มจาก นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี จากพรรคเพื่อไทยบอกว่าจะยกระดับทั้งโครงสร้างระบบบริการสาธารณสุขไทยยกระดับไอทีทุกโรงพยาบาลเชื่อมโยงเข้าหากัน ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค จองคิวล่วงหน้ารับยาใกล้บ้าน บัตรประชาชนใบเดียวรักษาทั่วไทย เลือกหมอ เลือกพยาบาลด้วยตัวเอง คนไทยจะปลอดภัยจากมะเร็งเพราะจะตรวจหาสาเหตุฟรี รับยาป้องกันฟรี รับวัคซีนมะเร็งปากมดลูกฟรีพร้อมปฏิรูปงบประมาณทั้งระบบ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการโครงการ โดยจะโอนมอบภารกิจในการเป็นหน่วยงานรับประกันด้านสุขภาพของประชาชนให้กับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แทนที่โรงพยาบาลเหมือนในอดีต เพิ่มงบประมาณในโครงการเป็น 1.6-1.7 แสนล้านบาทต่อปี เพื่อให้สปสช.ดำเนินโครงการอย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา จากพรรครวมไทยสร้างชาติวันนั้นทิ้งเรื่องการเมืองร้อนๆ มาพูดเรื่องสุขภาพบอกว่า บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำเนินนโยบายด้านสุขภาพให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และพร้อมให้การสนับสนุนแนวทางการทำงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ครั้งนี้มีนโยบาย 3 สนับสนุน 1 พัฒนา คือสนับสนุนนโยบายสาธารณะเพื่อเปลี่ยนแปลงเชิงสังคมและสิ่งแวดล้อม สนับสนุนภาคีสื่อสารรณรงค์สุขศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและวิถีชีวิต สนับสนุนชุมชนเข้มแข็งและพัฒนาระบบบริการสุขภาพและสังคมทั้งในเขตเมืองใหญ่และชนบท โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายโรงพยาบาลวิสาหกิจเพื่อสังคม จะสร้างสถานพยาบาลนำร่อง ที่ให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุขครบวงจร เริ่มจากเมืองใหญ่ๆ เช่น กรุงเทพมหานคร โดยทำให้ครบทั้ง 50 เขต จากนั้นจะขยายไปจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ
ด้าน นายนิกร จำนง ประธานจัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา คนที่มีบทบาท สำคัญต่อการกำหนดนโยบายของพรรค บอกว่าสนใจงานสร้างเสริมสุขภาพตั้งแต่เป็น รมช.คมนาคม ตอนนั้นร่วมกับสสส.ผลักดันนโยบายประมูลเลขทะเบียนรถสวย นำมาตั้งกองทุนเลขสวย เพื่อนำรายได้มาใช้รักษาผู้ป่วยและรณรงค์การเกิดอุบัติเหตุตามท้องถนน ซึ่งหากได้เป็นรัฐบาลก็จะดำเนินโครงการต่อไป เพราะแนวคิดของพรรคชาติไทยพัฒนาคือ เน้นการป้องกันสุขภาพมากกว่าการรักษา เนื่องจากใช้งบประมาณที่ต่ำกว่า แต่ละปีรัฐบาลจะต้องใช้งบฯในส่วนนี้มากถึงปีละ 5 แสนล้านบาท โดยพรรคฯจะเสนอนโยบาย “สุขภาพดีมีเงินคืน” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยหันมาใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น
นพ.เธียรชัย สุวรรณเพ็ญ จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคไม่เน้นสร้างนโยบายสาธารณสุขอย่างเป็นทางการ หรือมีรายละเอียดมากเกินไป เพราะมีประสบการณ์ที่ว่า พูดแล้วไม่ทำ หรือทำไม่ได้ แต่จะเน้นการทำงานที่มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะการตรวจสอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงตั้งแต่ต้นทาง เช่น การตรวจสอบฮอร์โมนในกลุ่มคุณแม่ตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันปัญหาความพิการในเด็กแรกเกิด การตรวจสอบกลุ่มคนที่มีประวัติและความเสี่ยงของโรคมะเร็ง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ครอบครัวเคยมีประวัติการป่วยมาก่อน นอกจากนี้ ยังมีนโยบายด้านการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาด้านสุขภาพ รวมถึงการใช้นโยบายด้านภาษีเพื่อดูแลสุขภาพของคนไทย ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการจัดเก็บภาษีความหวานมาบ้างแล้ว
ส่วน ร.อ.ดร.นพ.พิชาญศักดิ์ บุญมาศ ร.น. หมอหนุ่มจากเมืองนครศรีธรรมราช พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันว่าพร้อมจะดำเนินนโยบาย คนไทยแข็งแกร่ง ประเทศไทยแข็งแรง ก้าวสู่มหาอำนาจด้านสุขภาพ โดยการสนับสนุนการถ่ายโอนรพ.สต.สู่ท้องถิ่นและยกระดับไปสู่การเป็นโรงพยาบาลชุมชนที่เข้มแข็ง พาหมอมาหา พายาไปส่ง มีการเชื่อมโยงข้อมูลลดระยะเวลาการเดินทาง รวมทั้งจะเสริมความรู้ให้ทุนการศึกษาแก่ อสม.และอสส.เพื่อเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชนในพื้นที่ด้วยการทำให้เกิดการแพทย์ทั่วถึงและเท่าเทียม การปฏิรูปโครงสร้างการบริหารจัดการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ โดยเฉพาะการนำระบบเทเลเมดิคัล เฮลท์ มาใช้ทั้งการป้องกันก่อนป่วยและการตรวจรักษา
ขณะที่หมอผู้ผ่านเวทีประกวดร้องเพลงเดอะสตาร์มาแล้วอย่างนพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง พรรคก้าวไกล ย้ำว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจะต้องเพิ่มงบประมาณด้านสาธารณสุขให้มากกว่าปัจจุบันนี้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ทำงานหนักเกินไป ส่งผลกระทบทั้งกายและจิตใจอย่างมาก จึงมีแนวคิดที่ลดชั่วโมงการทำงานจากเดิม 87 ชม.ต่อสัปดาห์ เหลือเพียง 60 ชม.ต่อสัปดาห์ พร้อมกับลดสัดส่วนในการดูแลผู้ป่วยของแพทย์ในโรงพยาบาลของรัฐจาก 1 ต่อ 200 คนให้เหลือน้อยลง แม้จะไม่เท่ากับแพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนที่มีอัตรา 1 ต่อ 20-40 คนก็ตาม นอกจากนี้พรรคจะเน้นทำให้แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลแต่ละแห่งเป็นแผนกฉุกเฉินจริงๆ รองรับกรณีการเจ็บป่วยแบบฉุกเฉิน เช่นเดียวกันจะต้องใช้เทคโนโลยีนำระบบเทเลเมดิซีนมาใช้ในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ
ตัวแทนสื่อมวลชนที่เข้าร่วมประชุมได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นหลายคน ทั้งนายศักดา แซ่เอียว หรือ “เซียร์ ไทยรัฐ” การ์ตูนนิสต์ชื่อดัง นายจิระ ห้องสำเริง
นายถวัลย์ ไชยรัตน์ ฯลฯ โดยเฉพาะเรื่องร้อนๆ อย่างปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าว่าแต่ละพรรคจะมีจุดยืนอย่างไร คำตอบที่ได้คือทุกพรรคบอกไม่เห็นด้วยให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายเพราะเป็นห่วงผลกระทบกับเด็กและเยาวชน ส่วนเรื่องยอดฮิตคือกัญชาที่วันนั้นพรรคภูมิใจไทยไม่ได้ส่งคนมาร่วมด้วย ทุกพรรคก็พูดตรงกันว่าถ้ากัญชาเสรีไม่สนับสนุนแน่ แต่ถ้าทางการแพทย์ก็ต้องมาดูรายละเอียดกันอีกที
ปิดท้ายด้วยคำกล่าวขอบคุณจาก นายอภิวัชร์ เกตุทัตประธานมูลนิธิสื่อเพื่อสุขภาวะ(มสส.) ย้ำว่าการจัดประชุมครั้งนี้มีประโยชน์มาก และหวังว่าจะได้พบปะร่วมกันระหว่างสื่อมวลชนกับพรรคการเมืองที่จะเป็นรัฐบาลเพื่อส่งผ่านข้อเสนอเชิงนโยบาย รวมทั้งฝ่ายค้านที่จะอภิปรายเสนอแนะต่อรัฐบาลในสภาได้
ครับ..การสร้างเสริมสุขภาพคนไทยให้แข็งแรงย่อมดีกว่าเสียเงินรักษาทีหลังแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี