คุกกปปส.ชุดกลาง
‘จิตภัสร์-ทนายนกเขา’/คดีไล่ยิ่งลักษณ์
ศาลเมตตารอลงอาญา2ปี
จำเลยไม่ผิดข้อหากบฏ
ทสท.ซัดรัฐบาลเศรษฐา
เลิกขายฝันแจกเงิน1หมื่น
“เพื่อไทย” ร่ายนโยบาย “เศรษฐา” มาเป็นแพ็กเกจ “ควิกวิน” ควบคู่แก้โครงสร้าง นายกฯ เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการและประชุม ครม.สัญจร ครั้งที่ 1/66 ณ พื้นที่ จ.หนองบัวลำภู 3-4 ธันวาคมนี้ “ไทยสร้างไทย” ห่วงธุรกิจร้านอาหารซบเซาหนัก จี้รัฐบาลอย่ามัวขายฝันเงินดิจิทัล1 หมื่น แนะแจกเครดิต ปชช. 2 พันบาท กระตุ้นท่องเที่ยวและบริโภค ศาลอาญาสั่งจำคุก “ทนายนกเขา-ตั๊น จิตภัสร์”กับพวก กบฏ กปปส.ชุดกลางไล่รัฐบาล‘ยิ่งลักษณ์’ศาลปราณี ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ส่วน “อ.กิตติศักดิ์” ยกฟ้อง ชี้ปราศรัยโดยสุจริต ตามหลักวิชาการ
เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 นายธชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เรื่องนิรโทษกรรม112 มีเนื้อหาว่า การนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ที่ถูกดำเนินคดีอันเนื่องมาจากการแสดงออกทางการเมืองหรือความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองหรือการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสังคมไทย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อถกเถียงสำคัญสำหรับการนิรโทษกรรมคดีการเมืองในปัจจุบันคือ เราควรนิรโทษกรรมผู้ที่ถูกดำเนินคดีในความผิดตามกฎหมายอาญาม.112 ด้วยหรือไม่ เหตุผลของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งเราควรนำมาพิจารณาร่วมกันคือ หากเรานิรโทษกรรมคดี 112 ไปแล้ว จะเป็นการไม่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่หรือจะเป็นการปล่อยให้เกิดการแสดงความคิดเห็นหรือการแสดงออกทางการเมืองที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปอีกหรือไม่ สำหรับประเด็นนี้ ผมยังเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า สถาบันพระมหากษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่อย่างมั่นคงในสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่ได้ ก็ด้วยความรักความศรัทธาหรือความยินยอมพร้อมใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยการใช้อำนาจกดบังคับหรือการสร้างความกลัว ดังนั้น การบังคับใช้ ม.112 อย่างรุนแรงดังที่เป็นอยู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงไม่ใช่การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างยั่งยืน ซ้ำร้ายยังส่งผลบ่อนทำลายสายใยความสัมพันธ์อันดีระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับประชาชนในระยะยาวอีกด้วย
ก.ก.อ้างนิรโทษม.112เพื่อรักษาสถาบัน
ในสภาพการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ปรารถนาดีหรือจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงใจ ควรต้องร่วมกันตั้งหลักในการพิจารณากุศโลบายที่สอดคล้องกับสถานการณ์และพลวัตของสังคมไทย เราต้องช่วยกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปเกี่ยวพันกับความขัดแย้งทางการเมืองได้จัดวางพระราชสถานะอย่างประณีตภายใต้รัฐธรรมนูญ ระมัดระวังอย่าให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างพระราชอำนาจกับหลักการ“ปกเกล้า แต่ไม่ปกครอง” ของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข “ผมเชื่อมั่นว่า มีแต่หนทางนี้เท่านั้น ที่จะธำรงรักษาให้องค์พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะตามรัฐธรรมนูญอย่างมั่นคง สังคมไทยในห้วงยามนี้ต้องการทุกคนมาร่วมกันคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างมีสติ มิใช่การอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์และ ม.112 มาคุ้มครองผลประโยชน์ หรืออำนาจของตนเอง
‘พท.’ชูนโยบาย’ควิกวินคู่แก้โครงสร้าง
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี รัฐบาลทยอยออกนโยบายและมาตรการเร่งด่วนเป็นแพ็คเกจเพื่อช่วยเหลือลดค่าครองชีพของประชาชน แต่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติขึ้นค่าไฟฟ้าเป็น 4.68บาท/หน่วย ทำให้นายกฯ ถึงกับประกาศยอมรับไม่ได้ เพราะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชน เตรียมเรียกประชุมบอร์ด กกพ.ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นนายกรัฐมนตรีที่ขยันทำงาน ทุ่มเททุกสรรพกำลังอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ตัวเลขที่ กกพ.เสนอมาน่าจะยังสามารถประชุมหาทางออกร่วมกันได้ เพราะถ้าขึ้นเยอะเกินไป ประชาชนก็เดือดร้อน
ลดรายจ่ายปชช.-เพิ่มรายได้เกษตรกร
ดังนั้นต้องจัดสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคให้ทุกฝ่ายสามารถอยู่ร่วมกันได้ รัฐบาลพยายามดำเนินการตามแนวทางนโยบาย ลดค่าครองชีพ เพื่อลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส ให้ประชาชนเป็นแพ็คเกจ ทั้งนโยบายเรือธงดิจิทัลวอลเล็ต 1หมื่นบาท แก้หนี้นอกระบบ–ในระบบ ปลดพันธนาการประชาชนไม่ให้เป็นทาสยุคใหม่ โครงการปั้น 1ครอบครัว 1ซอฟต์พาวเวอร์ ยกระดับสินค้าโอทอป เสริมเรื่องการตลาดเพื่อนำสินค้าผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นไปสู่สายตาชาวโลก ยกระดับสตาร์ตอัพสู่ธุรกิจมูลค่าเกิน 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปั้นยูนิคอร์นไทยให้มากขึ้น ใช้ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ลดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง ลดราคาน้ำมัน รถไฟฟ้า 20บาทตลอดสาย เคาะปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการบรรจุใหม่ 18,000 บาทต่อเดือน ปรับฐานเงินเดือนข้าราชการเก่า และเตรียมปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เติมเงินเข้ากระเป๋าประชาชนอย่างเป็นระบบ “รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการแค่เรื่องเฉพาะหน้า แต่ภารกิจเร่งด่วน“ควิกวิน” ต้องแก้ปัญหาให้ได้โดยเร็ว ส่วนการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษฯ ก้าวข้ามความขัดแย้ง รัฐบาลก็ให้ความสำคัญและสามารถดำเนินการควบคู่กันไปได้
ทสท.แนะแจกคนละ2พันใช้เที่ยวไทย
นายสรเทพ โรจพจนารัช รองโฆษกและหัวหน้าคณะทำงานด้านการท่องเที่ยว พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กล่าวแนะนำรัฐบาลว่า ให้กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า ก่อนที่รากหญ้าจะเน่าตายหมด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเวลานี้ซบเซาเป็นอย่างมาก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย ร้านอาหารข้างทางไปจนถึงร้านค้าปลีกต่างๆ บ่นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายหายไปอย่างมาก ไม่ว่าจากผลกระทบที่นักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศน้อยลงมาก หรือแม้แต่กำลังซื้อของคนไทยด้วยกันเองก็แทบจะไม่เหลือเพราะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ แทนที่รัฐจะใช้เวลาพูดแต่เรื่อง 10,000 บาท ดิจิทัล ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไหม ได้เมื่อใด อย่างไร และที่สำคัญไม่สามารถหมุนลงไปถึงรากหญ้าได้ เพราะกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมาย ดังนั้นรัฐไม่จำเป็นต้องรอเงินดิจิทัล 10,000บาท ซึ่งจะเป็นภาระให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่สามารถกระตุ้นและหมุนเวียนในระบบได้ ดังนั้น ขอเสนอและเร่งทำ 2 ข้อนี้ทันที เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าโดยใช้เงินที่น้อยกว่านโยบายเงินดิจิทัล ดังนี้ 1.แจกเครดิตการท่องเที่ยวให้ประชาชนคนละ 2,000บาท เพื่อใช้สำหรับกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เป็นการโปรโมทให้คนไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นด้วย โดยสามารถนำไปใช้จ่ายกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งห้องพักตั้งแต่ โฮมสเตย์ โฮสเทล ไปถึงโรงแรมขนาดใหญ่ รวมถึงรถเช่าในประเทศ บริษัทท่องเที่ยว ไกด์ในประเทศด้วย ซึ่งเงินส่วนนี้จะหมุนเวียนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและหมุนกลับมาเป็นภาษีเข้ารัฐหลายรอบ รวมถึงช่วยสร้างงานให้กับกลุ่มคนในธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย 2.แจกเครดิตประชาชน 2,000 บาท เพื่อบริโภคกลุ่มธุรกิจร้านอาหารตั้งแต่ Street Food ไปถึงกลุ่ม SMEs ร้านอาหารต่างๆ ซึ่งเงินจะกระจายหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 8 รอบ เพราะกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเป็นกลุ่มที่มี ห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใหญ่มาก เช่นจะหมุนไปถึงตลาดร้านค้าอาหารสดต่างๆในตลาด ถึงเกษตกรที่ทำไร่ผัก ปตุสัตว์ ไร่พืชผลไม้ด้วย โดยจะเห็นว่า รัฐใช้เงินไม่ถึงครึ่งของเงินดิจิทัลด้วยซ้ำ แต่จะให้ผลที่ดีกว่ามากมายหลายด้าน
ถกครม.สัญจรหนองบัวลำภู3-4ธ.ค.
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เตรียมเดินทางไป จ.หนองบัวลำภู เพื่อตรวจราชการและเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1/2566 ณ พื้นที่ จังหวัดหนองบัวลำภู ในวันที่ 3-4ธันวาคม2566 โดยมีกำหนดการ ดังนี้ วันที่ 3ธันวาคม2566 เวลาประมาณ 14.00น.นายกฯตรวจติดตามประเด็นการแก้ไขปัญหายาเสพติด กลไกการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment : CBTx) ณ บ้านภูดินทอง หมู่ที่ 13 ตำบลกุดดินจี่ อำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยนายกรัฐมนตรีและคณะจะได้ร่วมรับฟังการนำเสนอผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด กลไกการบำบัดฟื้นฟูผู้ใช้ยาเสพติดโดยชุมชนเป็นฐาน (Community Based Treatment : CBTx) ก่อนเดินทางต่อไปยังหน้าที่ว่าการอำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อตรวจติดตามประเด็นการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู
ให้กำลังใจชรบ.4พันคนปราบยาเสพติด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ในเวลาประมาณ 15.10น.นายกฯเข้าสักการะศาลหลักเมืองพระยาไชยเชษฐาธิราชและเข้าสักการะอนุสาวรีย์ไทยอาสาป้องกันชาติ (ทสปช.) ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสุวรรณคูหา โดยนายกฯจะรับความเคารพจากกองกำลังชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) พร้อมกล่าวพบปะและมอบโอวาทให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทีม 5เสือPlus ระดับตำบล ชรบ.จำนวน 4,000คน พร้อมตรวจเยี่ยมแถวกองกำลัง ชรบ.จำนวน 3,000นาย ที่ปฏิบัติงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัด “หนองบัวลำภู โมเดล” ต่อด้วย นายกรัฐมนตรีรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัด“หนองบัวลำภู โมเดล”และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด แล้วเยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด จังหวัด “หนองบัวลำภู โมเดล” และการดูแลผู้ป่วยจิตเวชจากการใช้ยาเสพติด จำนวน 6บูธ จาก 6อำเภอ คือ อ.สุวรรณคูหา นากลาง ศรีบุญเรือง อำเภอเมืองหนองบัวลำภู โนนสังและอ.นาวัง
ร่วมเตะฟุตบอลกับเยาวชนสุวรรณคูหา
สำหรับภารกิจในช่วงเย็น เวลาประมาณ 17.00น.นายกรัฐมนตรีร่วมการแข่งขันฟุตบอลกับทีมเยาวชนฮีโร่สุวรรณคูหา ณ สนามฟุตบอลโรงเรียนอนุบาลสุวรรณคูหา เสร็จแล้วนายกรัฐมนตรีจะไปเยี่ยมชมกิจกรรมประเพณีวิถีพื้นถิ่น และรับประทานอาหารพื้นบ้าน ณ วัดสุวรรณาราม อำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู สำหรับภารกิจในวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2566เวลา 09.00น.นายกฯเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2566 ณ ห้องประชุมโรงแรมณัฐพงษ์แกรนด์ อำเภอเมืองหนองบัวลำภู หลังเสร็จสิ้นประชุมครม.เวลาประมาณ 14.00น.นายกรัฐมนตรีและคณะ จะชมการทำเกษตรผสมผสานแบบพื้นบ้านของนางหนูปาน พรมโคตร แปลง สปก.เลขที่1 กลุ่ม839 เนื้อที่ 10-0-00 ไร่ วันที่ออกหนังสืออนุญาต 2มิ.ย.2551 ที่ดินตั้งอยู่ที่ หมู่ที่14 ตำบลยางหล่อ อำเภอศรีบุญเรือง
หนุนซอฟเพาเวอร์-ผ้าไหม-แจกสปก.
จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะ เดินทางต่อไปยังวัดสว่างชัยศรี หมู่3 ตำบลยางหล่อ อำเภอศรีบุญเรือง เพื่อ 1.เยี่ยมชมตลาดชุมชน ยลวิถีชาวบ้าน 2.รับฟังแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อลดการใช้สารเคมีในพื้นที่แนวทางการแก้จนภาคการเกษตร การขับเคลื่อนเกษตรแปลงใหญ่ young smart famer 3.รับฟังแนวทางการยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพกลุ่มแปรรูป โดยกรมประมงและประธานกลุ่มแปรรูปปลาบ้านห้วยบง ตรา 1 เดียว 4.ชมการจักสานจากคล้าของผู้สูงอายุ 5.รับฟังแนวทางการยกระดับและผลักดัน ผ้าขิดสลับหมี่ ลายบัวลุ่มภู ผ้าฝ้ายแกมไหมทอมือลายอัตลักษณ์ประจำจังหวัด เป็น “Soft power” ตามนโยบายรัฐบาล โดยกรมหม่อนไหม 6.มอบ สปก.4-01 (จำนวน 100 ราย) โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (สปก.) ซึ่งนายกฯจะมอบนโยบายการแก้จน แนวทางการพัฒนาด้านการเกษตรและพบปะประชาชน โดยเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการตรวจราชการ นายกฯเดินทางกลับ จ.อุดรธานี
‘อนุทิน’ยินดี’บิ๊กตู่’เป็นองคมนตรี
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวแสดงความยินดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นองคมนตรี นายอนุทิน กล่าวว่า ตนดีใจ ภาคภูมิใจแทน เพราะเคยเป็นคณะรัฐมนตรีในสมัยรัฐบาลของ พลเอกประยุทธ์ ทันทีที่ตนทราบข่าวก็ดีใจและส่งข้อความไปแสดงความยินดีกับท่าน และท่านตอบกลับมาว่า ขอบคุณ ช่วยกันทำงานให้บ้านเมือง ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อพลเอกประยุทธ์
สั่งปราบบ่อนเถื่อนทั่วประเทศ
นายอนุทิน ยังกล่าวถึงประเด็นการจับกุมบ่อนเถื่อน ใน จ.นนทบุรี ว่า ตนได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีแล้วและมั่นใจว่าหลังจากนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะประสานงานบูรณาการภารกิจร่วมกัน ถือเป็นข้อตกลง ไม่จำเป็นต้องลง MOU เพราะถือเป็นข้อตกลงของผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องว่าเราจะปราบปรามสิ่งผิดกฏหมายทั่วประเทศด้วยกัน
ทสท.จี้รัฐอย่ามัวขายฝันดิจิทัล1หมื่น
นายสรเทพ โรจพจนารัช รองโฆษกและหัวหน้าคณะทำงานด้านการท่องเที่ยว พรรคไทยสร้างไทย กล่าวแนะนำรัฐบาลว่า ให้กระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า ก่อนที่รากหญ้าจะเน่าตายหมด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเวลานี้ซบเซาเป็นอย่างมาก ทั้งพ่อค้าแม่ขาย ร้านอาหารข้างทางไปจนถึงร้านค้าปลีกต่างๆ บ่นเสียงเดียวกันว่า ยอดขายหายไปอย่างมาก ไม่ว่าจากผลกระทบที่นักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศน้อยลงมาก หรือแม้แต่กำลังซื้อของคนไทยด้วยกันเองก็แทบจะไม่เหลือเพราะหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ แทนที่รัฐจะใช้เวลาพูดแต่เรื่อง 10,000 บาท ดิจิทัล ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้หรือไหม ได้เมื่อใด อย่างไร และที่สำคัญไม่สามารถหมุนลงไปถึงรากหญ้าได้ เพราะกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมาย ดังนั้นรัฐไม่จำเป็นต้องรอเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งจะเป็นภาระให้กับประชาชนคนไทยทั้งประเทศ โดยไม่สามารถกระตุ้นและหมุนเวียนในระบบได้
แนะแจกเครดิตปชช.2พัน/กระตุ้น
ขอเสนอและเร่งทำ 2 ข้อนี้ทันที เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าโดยใช้เงินที่น้อยกว่านโยบายเงินดิจิทัล ดังนี้ 1.แจกเครดิตการท่องเที่ยวให้ประชาชนคนละ 2,000 บาท เพื่อใช้สำหรับกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ เป็นการโปรโมทให้คนไทยเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นด้วย โดยสามารถนำไปใช้จ่ายกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งห้องพักตั้งแต่ โฮมสเตย์ โฮสเทล ไปถึงโรงแรมขนาดใหญ่ รวมถึงรถเช่าในประเทศ บริษัทท่องเที่ยว ไกด์ในประเทศด้วย ซึ่งเงินส่วนนี้จะหมุนเวียนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและหมุนกลับมาเป็นภาษีเข้ารัฐหลายรอบ รวมถึงช่วยสร้างงานให้กับกลุ่มคนในธุรกิจการท่องเที่ยวด้วย
2.แจกเครดิตประชาชน 2,000 บาท เพื่อบริโภคกลุ่มธุรกิจร้านอาหารตั้งแต่ Street Food ไปถึงกลุ่ม SMEs ร้านอาหารต่างๆ ซึ่งเงินจะกระจายหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 8 รอบ เพราะกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเป็นกลุ่มที่มี ห่วงโซ่ซัพพลายเชนที่ใหญ่มาก เช่นจะหมุนไปถึงตลาดร้านค้าอาหารสดต่างๆในตลาด ถึงเกษตกรที่ทำไร่ผัก ปตุสัตว์ ไร่พืชผลไม้ด้วย โดยจะเห็นว่า รัฐใช้เงินไม่ถึงครึ่งของเงินดิจิทัลด้วยซ้ำ แต่จะให้ผลที่ดีกว่ามากมายหลายด้าน.
ลุ้นคดีกปปส.ชุดเล็กขับไล่‘ยิ่งลักษณ์’
เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ห้องพิจารณา801 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี กปปส. ชุดเล็ก ร่วมกันกบฏ ก่อการร้าย คดีหมายเลขดำ อ.2732/2562 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ4 เป็นโจทก์ฟ้องนายนัสเซอร์ ยีหมะ,นายอุทัย ยอดมณี,นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา น.ส.จิตภัสร์ หรือตั๊น กฤดากร ,นายพานสุวรรณ ณ แก้ว,นายประกอบกิจ อินทร์ทอง และนายกิตติศักดิ์ ปรกติ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-7ในความผิด ฐาน ร่วมกันมั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ฯ
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2562 สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 – 1 พ.ค. 2557 จำเลยกับพวกซึ่งเป็นแกนนำกลุ่มคณะกรรมกาประชาชน เพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข( กปปส.) โดยมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จำเลย ที่ศาลพิพากษาลงโทษได้ร่วมกันกับพวกจำเลยคดีนี้ มั่วสุม เป็นกบฏสมคบกันใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ต่อต้านการบริหารราชการแผ่นดินและขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้พ้นจากตำแหน่งยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนกระด้างกระเดื่อง พวกจำเลยให้การปฏิเสธและได้รับการประกันตัว
“จตุพร”เดินทางมาให้กำลังใจ
วันนี้กลุ่มจำเลยทยอยเดินทางมาศาล รวมถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ เดินทางมาให้กำลังใจ
ด้านนายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความในคดี กล่าวว่า คดีนี้เป็นกบฎ กปปส. ชุดกลาง จำเลย 7 คน โดยศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมฯ เช่นเดียวกับกรณีของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำ กปปส.
เมื่อถามถึงแนวโน้มคำพิพากษาของศาลจะเป็นไปในลักษณะเช่นเดียวของนายสุเทพ ที่พิพากษาจำคุกหรือไม่ นายสวัสดิ์ ตอบว่า ต้องยอมรับว่า การชุมนุมมีผู้รักชาติรักแผ่นดินมาเป็นร่วมจำนวนมากดังนั้นพฤติการณ์ก็จะแยกออกเป็นกลุ่มและในแต่ละกลุ่มพฤติการณ์ก็จะต้องแยกออกเป็นรายบุคคลอีก ซึ่งมองว่า ตามหลักการทางอาญาแล้ว การจะพิจารณาแบบเหมารวมไม่สามารถทำได้
ส่วนแนวทางในการต่อสู้ทางคดีนั้นขอยืนยันว่า เป็นการใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ใช้ความรุนแรง รวมถึงลักษณะของการปราศรัยเช่นน.ส.จิตภัสร์ กฤดากร ก็เป็นการแปลเนื้อหาข่าวสารให้ผู้สื่อข่าวต่างประเทศเข้าใจ เพื่อไม่ให้เกิดความคาดเคลื่อนในการรายงานข่าวอย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และพร้อมน้อมรับคำตัดสินของศาล
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี