(ต่อจากอาทิตย์ที่แล้ว)
6.ศาลปกครองสูงสุดได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 บัญญัติว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องให้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
1) เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2553 โดยพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้เพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานของรัฐที่ลงโทษของศาลปกครองชั้นต้น จึงเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานของรัฐที่ลงโทษปลดผู้ฟ้องคดี ออกจากการเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีเนื่องจากการออกคำสั่งดังกล่าวไม่ได้ดำเนินการตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่งแห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และศาลปกครองชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาดังกล่าวให้คู่กรณีทราบแล้วเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2553
2) ผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวของศาลปกครองสูงสุดข้างต้น นอกจากจะมีผลเป็นการเพิกถอนคำสั่งของหน่วยงานของรัฐและทำให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องดำเนินการพิจารณาทางปกครองเกี่ยวกับการสอบสวนทางวินัยแก่ผู้ฟ้องคดีใหม่ตามอำนาจหน้าที่ของงานให้ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนหรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ตามมาตรา 30 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 แล้วยังมีผลผูกพันให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาในการรับผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทำงานเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีในระหว่างการพิจารณาทางปกครองดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 ด้วย
3) เมื่อคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้การเพิกถอนคำสั่งปลดออกจากราชการมีผลเมื่อใด แต่เมื่อคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงย่อมมีผลเป็นการเพิกถอนนับแต่วันที่ออกคำสั่ง และแม้จะเป็นการเพิกถอนโดยวินิจฉัยถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคำสั่งในส่วนที่เป็นรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญของการออกคำสั่งโดยไม่ได้วินิจฉัยถึงความไม่ชอบด้วยกฎหมายในส่วนที่เป็นเนื้อหาของคำสั่งก็ตาม แต่เมื่อคำสั่งดังกล่าวถูกเพิกถอนแล้วย่อมมีผลเสมือนว่าไม่เคยมีคำสั่งดังกล่าวมาก่อน รวมถึงย่อมมีผลให้ในขณะออกคำสั่งดังกล่าวผู้ฟ้องคดียังมิใช่เป็นผู้กระทำความผิด ผู้ฟ้องคดีจึงต้องกลับสู่สภาพการเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดีตามเดิม เสมือนว่าไม่เคยถูกปลดออกมาก่อน ประกอบกับเหตุที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถปฏิบัติงานให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีในระหว่างถูกคำสั่งลงโทษปลดออกจากการเป็นพนักงานของผู้ถูกฟ้องคดี เกิดจากผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องคืนเงินเดือนและสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้ตามกฎหมายให้แก่ผู้ฟ้องคดีในระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีถูกลงโทษปลดออกจากคำสั่งของหน่วยงานรัฐ ลงวันที่ 10 เมษายน 2546ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2546 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว
(อ่านต่ออาทิตย์หน้า)
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี