‘วรวัจน์’สรุปอภิปราบงบฯ67 ชี้รัฐบาลต้องปรับ 3 แผน‘งาน-เงิน-คน’ขับเคลื่อนงบฯ
7 เมษายน 2567 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล สส.แพร่ พรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุถึงการอภิปรายในงบประมาณปี 67 ที่ผ่านมาว่า การซักถามของสว. และสส. พบว่า ส่วนหนึ่งเป็นข้อเสนอแนะที่น่ารับฟังเพื่อนำไปปฏิบัติ อีกส่วนหนึ่งเป็นข้อซักถามเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลถึงยังไม่ปฏิบัติตาม นโยบายและแนวทางที่กำหนดไว้ ซึ่งเมื่อดูจากข้อมูลทั้งหมดแล้วก็พบว่าปัญหาของรัฐบาลอยู่ที่ 3 ส่วนคือ แผนงาน แผนเงิน และแผนคน ซึ่งถ้าจะ ดำเนินการ แก้ไข จะต้องเข้าสู่การปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ของรัฐบาล
1.แผนงาน คือ แผนการใช้งบประมาณ ของรัฐบาลมาจากแผนคำขอของหน่วยงานในระดับจังหวัด ซึ่งจะต้องมา จากแผนพัฒนาจังหวัด ที่เป็นเพียงข้อมูลโครงการความต้องการของพื้นที่ ซึ่งยังไม่สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ที่มีแนวคิดแบบมองปัญหาในภาพกว้างและมีแนวคิดใหม่ๆ คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงไม่มีงบประมาณใช้ตามทิศทาง และแนวนโยบายในรูปแบบใหม่ที่แถลงต่อสภาฯไว้อย่างแท้จริง ดังนั้นนอกจากแผนงานพื้นฐานแผนงานยุทธศาสตร์ ที่ทำให้ระบบราชการขับเคลื่อนได้แล้ว สภาพัฒน์และสำนักงบประมาณจะต้องกำหนดแผนยุทธศาสตร์ตามนโยบายไว้เพิ่มเติมอีกด้วยเพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารราชการ หากปรับกรอบไม่ทัน อาจจะต้อง ขยายกรอบงบกลางในหมวดนโยบายเอาไว้เพราะยังไม่เห็นปรากฏแนวทางการปฏิบัติตามนโยบายไว้ในหน่วยงานของรัฐที่ตรงกับนโยบาย ของรัฐบาลอย่างแท้จริงเลย
นอกจากนี้ ข้อจำกัด ของรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ก็ไม่อำนวยให้สภาผู้แทนราษฎรนำเสนอความต้องการของประชาชนเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการได้เลย ซึ่งที่จริงแล้วในยุคโซเชียลมีเดีย ประชาชนและฝ่ายค้านสามารถตรวจสอบการบรรจุการปรับงบประมาณของกรรมาธิการได้อยู่แล้วว่าถูกต้องหรือไม่จึงไม่ จำเป็นต้องจำกัดอำนาจหน้าที่ในการแก้ไขจุดอ่อนและจุดด้อยของงบประมาณจนกระทั่งไม่สามารถนำเสนอความต้องการของประชาชนผ่านระบบนิติบัญญัติได้เลย
2.ปัญหาของแผนเงิน คือระบบงบประมาณที่ถูกกำหนดไว้อย่างแข็งตัว ทำให้ทุก หน่วยงาน ต้องปฏิบัติตามกรอบเดิมที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ โดยไม่สามารถนำเสนอ การขอใช้งบประมาณตามความต้องการจริงๆได้เลย ซึ่งทำให้ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานเสนอกฎหมายไม่ต้องนำเม็ดเงินจัดเก็บจากรายได้นำส่งเข้ากระทรวงการคลังเพื่อให้เป็นงบประมาณตามกรอบที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้จึงทำให้มีเงินประเภท ใหม่คือเงินนอกงบประมาณเกิดขึ้นเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าเงินงบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 3.48 ล้านล้านบาท ถึง 5.9 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 67 แล้ว โดยส่วนของแผนงบประมาณนี้จึงเป็นส่วนสำคัญที่รัฐบาลจะต้องเร่งปฏิรูปโดยเร่งด่วนอย่างยิ่ง
3.แผนคน พบว่า มีการเกิดขึ้นของหน่วยงานใหม่จำนวนมาก มีความซ้ำซ้อน และบางหน่วยก็ปฏิบัติงานไม่ได้จริงรวมถึงแนวทางการดำเนินการของการบริหารราชการนั้น ดำเนินการตามรูปแบบเดิมมีความแข็งตัว และอุ้ยอ้ายทำให้ครม.ไม่สามารถสั่งงานได้จริง จึงพบข้อขัดแย้งในการบริหารราชการแผ่นดินเกิดขึ้นในเกือบทุกกระทรวงทบวงกรม ซึ่งถ้าดูง่ายๆจากการสั่งการปราบปรามปัญหายาเสพติด การแก้ไขพีเอ็ม 2.5 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่นั้น จะพบว่า การแต่งตั้งโยกย้ายผู้ปฏิบัติงานในภาวะวิกฤตของประชาชนรัฐบาลยังต้องรอปฏิบัติตามแนวทางและกรอบการบริหารบุคลากรตามรูปแบบของราชการแบบเดิมๆ ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาล่าช้าและไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตของประชาชน ทำให้เห็นว่า หากรัฐบาลจะต้องการดำเนินการ แก้ไขปัญหาวิกฤติของประเทศที่สะสมมายังช้านาน รัฐบาลจะต้องเร่งการปฏิรูประบบราชการทั้งแผนงานแผนเงินและแผนคน ให้เกิดขึ้น โดยเร่งด่วน มิเช่นนั้นปัญหาแบบเดิมก็จะวนกลับมาแบบนี้ทุกปีไม่มีจบสิ้น
ทั้งนี้ ต้องขอขอบคุณข้อเสนอแนะและความเห็นดีๆ จากทุกฝ่ายที่ นำเสนอด้วยความจริงใจ และเชื่อว่ารัฐบาลน่าจะเข้าใจและนำไปปฏิบัติและแก้ไขเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลตามนโยบายและทำให้เกิดผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนต่อไป
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี