"นายกฯ"ถึงทำเนียบฯนายกรัฐมนตรีอิตาลี จับมือกระชับความสัมพันธ์ ก่อนหารือในรูปแบบสองต่อสอง
ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจวันสุดท้ายที่กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี ของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในช่วงบ่าย ว่า เมื่อเวลา 12.50 น.วันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ตามเวลาท้องถิ่นที่กรุงโรม ซึ่งช้ากว่ากรุงเทพ 5 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีเดินทางถึงทำเนียบนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี โดยทันทีที่ถึง นางสาวจอร์จา เมโลนี (Madame President Ms. Giorgia Meloni) นายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐอิตาลี รอรับ ณ ลานบริเวณอาคารทําเนียบฯ ก่อนสัมผัสมือทักทาย
จากนั้น หัวหน้ากองทหารเกียรติยศกล่าวรายงาน วงดุริยางค์บรรเลงเพลงชาติไทย และเพลงชาตสาธารณรัฐอิตาลี ตามลําดับ ก่อนหัวหน้ากองทหารเกียรติยศเชิญ นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐอิตาลีเดินตรวจแถว กองทหารเกียรติยศ หลังจากเดินผ่านกองดุริยางค์ทหาร นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี สาธารณรัฐอิตาลี หยุดทําความเคารพธงชาติสาธารณรัฐอิตาลี ก่อนเดินผ่านกองทหารเกียรติยศ ณ ปลายพรมแดง นายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีแห่ง สาธารณรัฐอิตาลี กลับหลังหันมายังกองทหารเกียรติย จากนั้น หัวหน้ากองทหารเกียรติยศกล่าวรายงานสิ้นสุดการตรวจแถวกองทหารกองเกียรติยศ
จากนั้น นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เชิญนายกรัฐมนตรีไปในอาคารทําเนียบนายกรัฐมนตรีอิตาลี เพื่อแนะนําบุคคลในคณะของ ทั้งสองฝ่าย ก่อนที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พบและหารือกับ นางสาวจอรร์จา เมโลนี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี ในรูปแบบสองต่อสอง (Four Eyes) ก่อนที่นายกรัฐมนตรีร่วมการหารือระหว่างอาหารกลางวัน (Working Lunch) โดยมี นางสาวจอร์จา เมโลนี นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี เป็นเจ้าภาพ ที่ ห้อง Sala delle Marine ชั้น 3 ทําเนียบ นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐอิตาลี
ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลังได้หาคือกับบริษัทบริษัท บาริลลา ฟราเตลลี (Barilla G.e.R. Fratelli S.p.A.) และบริษัท Eni (เอนี่) เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (20 พ.ค.67) ว่า บริษัท บาริลลา ฟราเตลลี เป็นบริษัททำเส้นพาสต้า ซึ่งเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี และต้องการขยายการลงทุนไปที่ประเทศไทย แทนที่จะขายแค่เส้นพาสต้าหรือว่าอาหารสำเร็จรูป โดยบริษัทดังกล่าวมั่นใจว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่ดี มีทักษะที่เหมาะสม โดย BOI ก็ให้การสนับสนุน อยากจะให้นำสิ่งเหล่านี้เป็นฐานการผลิต และกระจายไปยังประเทศในอาเซียน ตนจึงได้แนะนำบริษัทดังกล่าวไปว่าหากไม่เกี่ยวกับหมู ก็อยากให้มาตั้งโรงงานที่ไทยเพื่อผลิตสินค้าฮาลาล ซึ่งบริษัท Barilla ก็ให้ความสนใจพร้อมกับให้คำแนะนำว่าอาหารฮาลาลมีตลาดใหญ่อยู่ที่ทวีปแอฟริกา และตะวันออกกลาง ที่สามารถมารองรับได้ โดยจะต้องหาพาร์ทเนอร์ให้กับทางบริษัท ที่พยายามคุยอยู่ 2-3 บริษัท และเร่งหาโดยเร็ว เพื่อจะได้มาซื้อวัสดุของไทย
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้พูดคุยกับผู้บริหาร บริษัท Eni (เอนี่) ซึ่งเป็นบริษัทปิโตรเลียมเคมีที่ใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่ง ซึ่งได้ทำการค้าขายกับ ประเทศไทยอยู่แล้ว กับ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และมีการซื้อก๊าซจากบริษัทนี้อยู่แล้ว ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความชำนาญในการขุดหาแหล่งก๊าซธรรมชาติ เรียกได้ว่าเป็นเบอร์หนึ่ง หากประเทศไทยแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA)ได้ บริษัทดังกล่าวก็สนใจที่จะเข้าร่วมการลงทุน และเข้ามามีส่วนร่วมในการขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติ และความตั้งใจของตนเองก็อยากให้บริษัท Eni มาตั้งบริษัทที่ไทยด้วยเช่นเดียวกับบริษัท Barilla ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี นอกจากนี้จะมีการจัดทำเรื่องน้ำมันเครื่องบินที่ทำจาก Biofil ด้วย ซึ่งบริษัทต่างๆ ก็อยากจะมาตั้งโรงงานแต่อยู่ในช่วงระหว่างจัดทำข้อมูล หากมีความคุ้มค่า และเหมาะสมก็จะมาตั้งโรงงานที่ไทย
ส่วนเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เข้าหารือกับผู้บริหารบริษัท Bvlgari ซึ่งสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้มาฝึกงานที่นี่เป็นเวลา2 ปี ระหว่างปี 2010 - 2011 รัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับงานฝีมือจึงอยากให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ที่มีความชำนาญ ให้คนไทยได้มีส่วนร่วม และเข้ามาฝึกงานที่นี่ เพราะประเทศไทยก็มีอุตสาหกรรมอัญมณีที่มีชื่อเสียง และบริษัท Bvlgari เองก็ได้ซื้อหินที่มีค่า เช่น พลอยจากประเทศไทย และมีตัวแทนตัวแทนจำหน่ายที่เป็นคนไทย
นอกจากนี้ เป็นปีที่ครบรอบ 140 ปี และจะมีการออกโชว์ครั้งยิ่งใหญ่ ซึ่งเข้าใจว่าคนไทยถูกเชิญมาร่วมงานหลายคน
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังพูดถึงภาพรวมการเดินทางมาเยือนสาธารณรัฐอิตาลีและพบปะกับนักธุรกิจหลายบริษัทว่า หลายสิ่งที่จะได้กลับไปประเทศไทยก็คือเรื่อง การแลกเปลี่ยน และการลงทุนข้ามชาติจากทั้งสองฝ่าย เพราะอิตาลีมีความชำนาญเรื่องการออกแบบการดีไซน์ และแฟชั่นต่าง ๆ ตั้งแต่เสื้อผ้ายันเครื่องเพชร ซึ่งเป็นสินค้าไฮเอนด์ ที่มีความชำนาญมาก ประเทศไทยก็อยากจะมีการแลกเปลี่ยนในเรื่องนี้ อุตสาหกรรมการออกแบบก็ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญ แต่เราไม่สามารถยกระดับให้มีมูลค่าสูงเทียบเท่าเขาได้ อย่างเช่นสินค้าของ Bvlgari เพียงหนึ่งชิ้น ซึ่งชิ้นเดียวมีมูลค่า 40 ล้านยูโร หรือประมาณ 1,600 ล้านบาท ถือเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงมาก เพราะมีกระบวนการผลิตหลายขั้นตอนตั้งแต่ การเลือกวัตถุดิบและการเจียระไน
ในขณะที่เรื่องการค้าขายข้ามชาติ เช่น เรื่องอุตสาหกรรมด้านกลาโหม ประเทศไทยก็จะได้ประโยชน์เยอะมาก และจะต้องไปหารือกับนายกรัฐมนตรีของอิตาลีในรูปแบบ Four eyes ซึ่งจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องของการทหาร พลังงานอาหาร การออกแบบ และดีไซน์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวต้องรอเพราะมีสำนวนสุภาษิตที่ว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว แต่ในใจก็ไม่ได้อยากให้นานเท่ากับการสร้างกรุงโรม และในหลายเรื่องที่รัฐบาลไปติดต่อพูดคุยก็มีความคิดที่อยากจะให้สำเร็จโดยเร็ว ซึ่งหลายเรื่องได้ทำต่อจากรัฐบาลที่แล้วมา และรัฐบาลนี้ก็เข้ามาสานต่อซึ่งหลายเรื่องเราอาจจะทำได้ทันที แต่อีกหลายเรื่องก็ต้องรอเวลาบ้าง เพราะการลงทุนหนึ่งครั้ง หลักหมื่นล้าน แสนล้านก็ต้องดูให้รอบครอบในหลายๆ เรื่องหลายๆ มิติ เพราะฉะนั้น รัฐบาลก็จะผลักดันอย่างเต็มที่และมีการพูดคุยกับทีมงานว่าหลังจากนี้จะต้องติดตามงาน ซึ่งเรื่องการลงทุนต้องใช้เวลา ในขณะที่หลายเรื่องก็เริ่มเห็นแล้ว เช่น Microsoft ที่ประกาศว่าจะเข้ามาลงทุน โดยเข้าใจว่ามีเสียงที่แสดงความเป็นห่วงว่าจะสามารถทำได้รวดเร็วขนาดไหน แต่สิ่งที่ตนได้เตรียมมาได้ทำทุกอย่างครบหมดแล้ว แต่เรื่องของผลลัพธ์ เราก็มีความทะเยอทะยาน ที่อยากจะได้เยอะ เพราะหลายๆ บริษัทที่จะเข้ามาลงทุนก็บอกว่าขอดูจำนวน และความคุ้มค่าก่อน จึงได้แนะนำไปว่าให้มาสร้างสำนักงานในไทยก่อน จะเป็นไข่ก่อนไก่หรือไก่ก่อนไข่ หากนำคนมานั่งทำงานในประเทศไทยได้ ก็อาจจะสามารถเกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตามเรื่องการต่อรอง นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เป็นเรื่องที่เราจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี