'ประธานป.ป.ช.-สมคิด-มานิตย์' เห็นพ้องเวทีเสวนาการสรรหาและคุณสมบัติ ป.ป.ช. มีปัญหา ตั้งสเปคไร้คนลงสมัคร งานหนัก-เงินน้อย ต้องต่อสู้กับอิทธิพล-ถูกวิจารณ์ หวั่นหากมีที่มาจากการเมือง จะถูกครอบงำ เห็นควรปรับลดตำแหน่งอธิบดีจาก 5 ปีเหลือ 2 ปี
เมื่อวันที่ 2 ก.ค.2567 ที่โรงแรมทีเคพาเลซ แอนด์ คอนเวนชั่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดเวทีเสวนาแสดงความคิดเห็น มีผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมแสดงความคิดเห็นเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการสรรหา และคุณสมบัติของคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. และคุณสมบัติของผู้ที่จะมาทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการ ป. ป.ช. ประกอบด้วย นายกล้าณรงค์ จันทิก ประธานคณะกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ วุฒิสภา นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2550 นายมานิตย์ จุมปา อาจารย์คณะนิติศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.พรรคก้าวไกล ร่วมแลกเปลี่ยน เสนอความเห็นเกี่ยวกับ คุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกรรมการสรรหา และกรรมการป.ป.ช. โดยมีการนำรัฐธรรมนูญปี 2540 2550 และ 2560 มาเทียบเคียง ให้เห็นถึงปัญหา
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ผู้ที่เป็นอธิบดีหรือเทียบเท่าที่อยากมาเป็น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีจำนวนมาก แต่ไม่อยากมาเป็น เพราะค่าตอบแทนน้อย แต่ทำงาน และความรับผิดชอบค่อนข้างหนัก อีกทั้งคนที่ทำงานในองค์กรอิสระจะต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ตั้งแต่ประวัติในอดีต จึงต้องคิดว่าทำอย่างไรให้มีคนสนใจเข้ามาสมัครดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ และหากลดมาตรฐานตำแหน่งลงไปจะมีปัญหา เพราะป.ป.ช. ดำเนินการเสร็จไปอัยการสูงสุด จากอัยการสูงสุด ไปศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ดังนั้นคุณสมบัติการเป็นกรรมการป.ป.ช. ได้ นอกจากการสุจริตเที่ยงธรรม ต้องมีความกล้าหาญ ส่วนเกณฑ์อายุงานเป็นอธิบดี 5 ปี มองว่าค่อนข้างเป็นปัญหา ควรปรับให้มีความเหมาะสมมากกว่านี้
ด้านนายสมคิด กล่าวว่า มีการกำหนด คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นป.ป.ช. ต้องจบการศึกษาอะไร แต่อาจไม่มีความเชี่ยวชาญ ส่วนคุณสมบัติเฉพาะที่กำหนดไว้ ในมาตรา 232 เช่น ต้องเป็นผู้พิพากษาอัยการระดับอธิบดี 5 ปี และกำหนดอายุระหว่าง 45 ถึง 70 ปี เพราะผู้พิพากษาก็ทำงานถึง 70 ปีอยู่แล้ว ไม่ได้ถูกใครฟ้องด้วย และได้รับความปลอดภัยในเรื่องต่างๆ จึงทำให้หาคนได้น้อย เมื่อกำหนดว่าคุณสมบัติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องอายุ 70 ปีก็ไม่มีใครอยากมาสมัคร เมื่อเทียบกับศาลรัฐธรรมนูญที่ขยายเกณฑ์อายุออกไปเป็น 75 ปี เพราะหากไม่ขยาย ทางศาลรัฐธรรมนูญรู้ดีว่าจะไม่มีใครมาสมัคร ซึ่งช่วงหลังพบว่าป.ป.ช.คนมาให้เราเลือกน้อย เพราะงานหนัก เงินน้อยและต้องต่อสู้กับอิทธิพลต่างๆ พร้อมกับถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทำให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทางเลือกน้อยลง ผู้ที่เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ก็เป็นคนของป.ป.ช.เอง ส่วนตัวมองว่าไม่มีความหลากหลาย จึงมองว่าหาก ป.ป.ช. ขยายเกณฑ์อายุก็อาจมีคนอยากมาสมัครมากขึ้น
นายสมคิด กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับความคิดที่บอกว่าต้องการให้กรรมการป.ป.ช.ยึดโยงกับประชาชน โดยให้สส.ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากประชาชนเป็นผู้ที่มีส่วนในกระบวนการสรรหากรรมการป.ป.ช. เพราะป.ป.ช.มีหน้าที่ตรวจสอบนักการเมือง สส. สว. ซึ่งถามว่า แล้วเขาจะกล้าไปตรวจสอบคนที่เลือกเขามาหรือไม่ และหากใครมีเสียงข้างมากในสภา คนนั้นก็สามารถตั้งองค์กรอิสระได้หรือไม่ พร้อมระบุปัจจุบันในบรรดา 3 ศาล ศาลยุติธรรมได้รับการยอมรับมากที่สุด ส่วนศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับการยอมรับน้อยมากทั้งที่มีจุดยึดโยงกับจากประชาชน พร้อมยอมรับว่าตนเองก็หาทางออกที่ดีที่สุดให้ประเทศไทยไม่ได้
“ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้ระบบการเมืองแท้ๆ กับองค์กรอิสระ เพราะหากเมื่อใดที่วางให้องค์กรอิสระมาจากการเมือง เชื่อว่าองค์กรอิสระจะถูกครอบงำไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ถ้าถามว่าวุฒิสภามีประโยชน์อะไรนั้น อย่างน้อยเหนี่ยวรั้งสส. ไว้ และไม่ให้ประเทศสวิงไปตามการเมือง ผมโชคดีไม่ต้องไปร่างรัฐธรรมนูญอีก ทุกครั้งเถียงกันเรื่องจะมีสว. หรือไม่ ฝากให้คนที่ต้องไปแก้ไขทำยังไงให้ป.ป.ช. ดีที่สุดให้การทุจริตน้อยที่สุด" นายสมคิด กล่าว
ขณะที่นายมานิตย์ กล่าวว่า การกำหนดคุณสมบัติกรรมการป.ป.ช.ต้องเป็นระดับอธิบดี 5 ปี เพราะต้องการได้คนมีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ แต่คนที่ครบหลักเกณฑ์นี้ มีน้อย จึงควรต้องขยายคุณสมบัติให้กว้างขึ้น จาก 5 ปีลดมา 3 หรือ 2 ปี ซึ่งจะเป็นการแก้อย่างง่ายในระยะสั้น แต่ระยะยาวควรจะกลับไปใช้ระบบเดิม เช่น ให้ที่ประชุมอธิการบดีเลือกกันเองแล้วส่งตัวแทนเข้ามาเป็นกรรมการสรรหา ทั้งนี้ อยากเห็นผู้ที่มีประสบการณ์ภาคเอกชนที่ไม่มีประวัติมัวหมอง ไม่ทำการทุจริต แต่รู้ข้อมูล ช่องทางการทุจริต ใช้สายสัมพันธ์ในทางบวก เพื่อให้คนเหล่านี้ เข้ามาทำหน้าที่ป.ป.ช. เพื่อหามาตรการป้องกันปราบปรามการทุจริต
"องค์กรอิสระยังมีความจำเป็นต่อประเทศไทย แต่สิ่งสำคัญคือการรักษาให้ปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอิสระ องค์กรป.ป.ช.เป็นที่หมายปองนัมเบอร์วัน เพราะถ้าต้องการหลุดรอดการตรวจสอบ ต้องเข้ามายึดป.ป.ช. แต่การจะมายึดป.ป.ช.ต้องยึดสว. ให้ได้เสียก่อน ดังนั้นต่อให้วางกระบวนการสรรหาอย่างไร หากจบที่สว. และสว.ไม่มีหลักประกันอิสระ ก็ทำให้ท้าทายว่าป.ป.ช.ก็จะไม่อิสระ บางคนบอกว่าถ้าคิดไม่ออกบอกไม่ถูกให้เลือกตั้งป.ป.ช.ไปเสียเลย แต่เมืองไทยก็มีปัญหา เพราะไม่ได้เลือกคนดีเป็นการเลือกผู้แทน ทางทฤษฎีเป็นเครื่องที่ดีการเลือกตั้งยึดโยงประชาชน จุดเชื่อมโยงมาสู่สว. ไม่ได้รับความเชื่อถือ สว. ที่จะกำลังเข้ารับตำแหน่งมีหลักประกันที่มั่นคงว่าเป็นอิสระ กระบวนการสรรหาป.ป.ช.ก็จะอิสระ หรือวันข้างหน้า หากเราตัดสินใจจะไม่มีสว.จะมีเพียงสส. จะมีหลักประกันอะไรที่จะทำให้ป.ป.ช.มีอิสระ"นายมานิตย์ กล่าว
ด้านนายพริษฐ์ กล่าวว่า ประสิทธิภาพ และความไว้วางใจที่ป.ป.ช. มีต่อประชาชนส่งผลต่อการพิจารณาคดีสำคัญ มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง และระดมความเห็นจากภาพส่วนต่างๆ นำมาสู่การแก้ไข ทั้งนี้เห็นว่าจากเรื่องคุณสมบัติไปถึงการเสนอชื่อการสรรหาและการรับรอง มีอยู่ 3 หลัก ที่อยากเห็นป.ป.ช.กว้างขึ้น ให้มีการแข่งขัน ให้คนมาสมัครที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย รวมถึงอยากเห็นป.ป.ช. มีความยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น และอยากให้ป.ป.ช.เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายมากขึ้น
นายพริษฐ์ กล่าวว่า มีหลักสูตรต่างๆ ที่ทำให้มีโอกาสเข้าถึงตัวกรรมการสรรหาได้ จึงต้องสร้างกลไกป้องกันระบบอุปถัมภ์ขณะที่ มองว่า สว.ชุดใหม่ห่างเหินจากการเลือกตั้งเพราะให้ผู้สมัครคัดเลือกกันเองจาก 20 กลุ่มอาชีพ และการที่ไม่ได้รับรองจากองค์กรที่มาจากการเลือกตั้งจะขาดความยึดโยงจากประชาชน พร้อมเสนอแนวคิดที่พบจากประเทศญี่ปุ่นให้ประชาชนรับรอง ผู้ได้รับการสรรหา เข้ามาเป็น ป.ป.ช.โดย กำหนดเกณฑ์ว่าจำนวนเท่าใดถึงจะผ่านเกณฑ์ ทั้งนี้ เห็นว่าการแก้ไขกำหนดคุณสมบัติ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องแตกต่างองค์กรอิสระอื่นๆ และตั้งคำถามว่าจำเป็นหรือไม่ที่ต้องกำหนดคุณสมบัติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นเฉพาะทาง หรือผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ทั้งนี้เห็นว่าต้องออกแบบระบบเลือกตั้งสว.ให้แตกต่างจากสส. เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งสว. จะเป็นการเชื่อมโยงจากประชาชนตรงที่สุด และสิ่งสำคัญคือจำเป็นต้องมีวุฒิสภาหรือไม่ ซึ่งทั้งหมดเป็นการออกแบบที่ไม่ง่ายต้องคู่ขนานกับสถาบันการเมืองอื่นๆด้วย
"เราต้องการให้ป.ป.ช.ตรวจสอบทุจริตเข้มข้นที่สุดในสังคม แต่มีมุมมองเรื่อง มาตรฐานทาง จริยธรรม ต่างกัน การให้องค์กรใดมาผูกขาดคำนิยามเรื่องจริยธรรมและมีผลทางกฎหมายอาจเป็นความท้าทาย พยายามแก้ไขและสร้างวัฒนธรรมให้ผู้มีอำนาจแสดงความรับผิดชอบทางกลไกทางการเมืองน่าจะยั่งยืนและมีช่องโหว่น้อยกว่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างกันและกัน มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายว่ากระบวนการแต่งตั้งรับรองจะไปจบที่ไหน ถ้าเราจะแก้กระบวนการสรรหาหรือที่มาขององค์กรอิสระแยกจากการออกแบบสถาบันทางการเมืองทั้งหมด" นายพริษฐ์ กล่าว
ส่วนพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า เห็นด้วยในหลายประเด็น จากประสบการณ์ที่ทำงานมา 8 ปีกว่า เห็นว่าการกำหนดคุณสมบัตินั้นทำไว้ดีแล้ว ที่จะต้องมีคุณสมบัติที่ชัดเจน อย่าง การบริหารราชการแผ่นดิน การบัญชี เศรษฐศาสตร์ ฯ ซึ่งปัจจุบันผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการป.ป.ช จะต้องเกี่ยวกับเรื่องคดีที่มีความต่อเนื่องถึง 9 ปี ปัจจุบันเราไม่มีสัดส่วนของอัยการ มีตุลาการเพียง 4 ท่าน และตำรวจก็กำลังหมดวาระลง และคาดว่าจะไม่มีเข้ามาอีก เพราะ 5 ปี เป็นเรื่องที่ยากมากจะมีตำแหน่งอธิบดีเข้ามา ทั้งนี้ตนเห็นด้วยในเรื่องคณะกรรมการสรรหาที่จะลดระดับลงมา เพราะการนำตัวแทนขององค์กรอิสระ ไปเป็นกรรมการสรรหาในองค์กรอิสระ จะมีปัญหามากกว่าจะให้คนในองค์กรอิสระนั้นเข้าไป ตามที่วงเสวนาได้เสนอ เพราะกระบวนการสรรหาวันนี้มีผู้ที่สมัครเข้ามาเป็นคณะกรรมการป.ป.ช. ไม่น้อยในแต่ละรอบ และหากลดคุณสมบัติลงมาก็จะมีผู้สมัครมากขึ้น และแบ่งแยกสายที่ชัดเจน ดังนั้นจึงขอให้ดูที่มาตรา 13 วรรค 3 ที่ระบุว่า “วิธีการอื่นใดที่เหมาะสม” เช่นการ “ให้คะเเนน” ยกตัวอย่างมีผู้สมัคร 100 ท่าน มีตำแหน่งว่างแค่ 1-5 ตำแหน่ง จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ผู้สมัครที่เหลือสูญเปล่า
ประธานกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวอีกว่า ดังนั้นจึงเสนอเเนะให้มีการ ให้คะเเนนจากประสบการณ์ ความรู้ ความสามารถจากคุณวุฒิ เพื่อคัดเลือกตามสัดส่วนของกรรมการที่ว่างลง และให้กรรมการสรรหาเป็นผู้สรรหา เพื่อไม่ให้สูญเปล่า ซึ่งคนที่ผ่านเข้ามาทุกคนควรที่จะมีคะแนนอยู่ เมื่อกลั่นกรองมาในระดับหนึ่งแล้ว คนที่ได้อันดับ 1 คือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ และผู้ที่ได้คะแนนรองลงมาเป็นตัวสำรอง เพื่อลดขั้นตอน หากผู้ที่ได้คะแนนอันดับ 1 ไม่ผ่านการคัดเลือก ก็นำผู้ที่ได้คะเเนนรองลงมาคัดเลือก เเต่ปัจจุบันหากผู้ที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งไม่ผ่าน ก็จะสูญเปล่าทั้ง 100 คน ถือว่า “เป็นการสูญเปล่าในการบริหารงานบุคคล” เห็นด้วยในแก้ไขกระบวนการคัดเลือกคณะกรรมการสรรหา เพื่อออกเป็นอนุบัญญัติให้ชัดเจนโปร่งใส
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี