‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ โควตา‘รัฐมนตรี’กับ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ย่างก้าวการเมืองที่‘เพื่อไทย’ต้องระวัง

‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ โควตา‘รัฐมนตรี’กับ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ย่างก้าวการเมืองที่‘เพื่อไทย’ต้องระวัง

วันเสาร์ ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.

หลังจาก “ฝุ่นตลบ” กันมาประมาณสัปดาห์เศษๆ กับปม “โควตารัฐมนตรี” ภายใน “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งเชื่อมโยงกับการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำ โดย “เรื่องวุ่นๆ” เริ่มปรากฏตั้งแต่วันที่ 19 ส.ค.2567 เมื่อมีข่าวว่า รายชื่อรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหัวหน้าพรรค พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รับรองเพื่อส่งให้กับพรรคเพื่อไทย จำนวน 4 คน ไม่มีชื่อของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ทำให้บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ภายในพรรค ที่เป็น “ทีมผู้กอง” ออกอาการไม่พอใจ

ต่อมาในวันที่ 20 ส.ค. 2567 ภาพของ “ความแตกแยก” ภายในพรรคพลังประชารัฐปรากฏชัดเจน โดย ร.อ.ธรรมนัส ได้ออกมาเปรยว่า “ทำงานให้คนคนหนึ่งมา 6 ปี
วันนี้ขอประกาศอิสรภาพ” ขณะที่ สส. ซึ่งเป็นทีมผู้กอง ได้ไปรวมตัวกันที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถานที่ทำงานของ ร.อ.ธรรมนัส ในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯตรงข้ามกับ “ทีมลุงป้อม” สส. ฝ่ายสนับสนุน พล.อ.ประวิตร ไปรวมตัวกันที่มูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด


อย่างไรก็ตาม ในการประชุมกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. 2567 ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร เป็นประธานในการประชุม แต่ไม่มี ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งให้เหตุผลว่า ติดภารกิจลงพื้นที่ภาคเหนือเพื่อเยี่ยมประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม บทสรุปของการประชุม พรรคพลังประชารัฐได้เสนอ 4 รายชื่อเดิมจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ที่ครั้งนี้มีชื่อ ร.อ.ธรรมนัส อยู่ด้วย

กระทั่งในช่วงเย็นของวันที่ 27 ส.ค. 2567 มีความชัดเจนจากพรรคเพื่อไทยว่า “รัฐบาลชุดใหม่ไม่เอาพรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งจากการเปิดเผยของเลขาธิการพรรค สรวงศ์เทียนทอง ระบุว่า ในการประชุม สส. ของพรรคเพื่อไทย สส. หลายคน “ไม่สบายใจกับพฤติกรรมของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค-หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลบางคน” ทั้งการไม่มาร่วมโหวตให้ แพทองธาร ชินวัตร ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี และว่ากันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องร้องเรียนที่ทำให้ เศรษฐา ทวีสิน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ

อย่างไรก็ตาม “พรรคเพื่อไทยพร้อมพูดคุยกับกลุ่ม สส. ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” เพราะเป็นกลุ่มที่สนับสนุนการทำงานของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด และในคืนวันเดียวกัน ก็มีรายงานว่า กลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส ได้เสนอชื่อบุคคลเป็นรัฐมนตรี จำนวน 3 คน ประกอบด้วย นฤมล ภิญโญสินวัฒน์, อิทธิ ศิริลัทธยากร และ อัครา พรหมเผ่า ในโควตาพรรคกล้าธรรม โควตาคนนอก และโควตาพรรคเพื่อไทย ตามลำดับ

รายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ทางช่องยูทูบ“แนวหน้าออนไลน์” ในตอนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2567 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะมีมติไม่ให้พรรคพลังประชารัฐมาร่วมรัฐบาลชุดใหม่ สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ความเห็นเรื่องโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) และท่าทีระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคเพื่อไทย ว่า หากมองด้วยสายตาของคนนอกอาจเห็นว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นรอง

ไล่ตั้งแต่ความพยายามตื๊อเพื่อขอเข้าร่วมรัฐบาล มีการออกแถลงการณ์ มีการประชุมกรรมการบริหารพรรค และเมื่อยังไม่ส่งใบกรอกประวัติไปให้ก็ยังพยายามติดตามต่อเนื่อง ภาพเหล่านี้ทำให้หลายคนบอกว่าพรรคพลังประชารัฐสิ้นลายแล้ว ต้องยอมพรรคเพื่อไทยทุกอย่าง แต่หากมองในแง่กระบวนการขั้นตอน พรรคพลังประชารัฐนั้นกระทำตามสิ่งที่ระบุไว้ในกฎหมายแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว

โดยในทางกฎหมาย “เมื่อพรรคการเมืองจะเสนอชื่อบุคคลเพื่อเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จะต้องมีการประกาศชื่อให้สมาชิกทราบอย่างทั่วถึง” เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกได้พูดคุยให้ความเห็นหรือทักท้วง เพื่อให้ได้รายชื่อที่เหมาะสม และหากไปดูข้อบังคับภายในพรรคพลังประชารัฐ ในข้อที่ 92 ได้กล่าวถึงกระบวนการที่สอดคล้องกับกฎหมายพรรคการเมือง

กล่าวคือ ต้องประกาศรายชื่อตัวแทนพรรคที่จะส่งไปเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้สมาชิกพรรคทราบโดยทั่วกัน ก่อนนำเข้าที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อให้ความเห็นชอบ ซึ่งการออกแถลงการณ์ของพรรคพลังประชารัฐยืนยันส่งรายชื่อ 4 บุคคลเข้าร่วมเป็นคณะรัฐมนตรี (ครม.)ก็คือการประกาศให้สมาชิกพรรคได้ทราบโดยทั่วกัน เช่นเดียวกับการประชุมกรรมการบริหารพรรคเพื่อรับรองทั้ง 4 คนก็เป็นการทำตามกฎหมาย

“ทีนี้ถ้าเพื่อไทยบอกว่าฉันเองมีสิทธิ์จะหยิบชื่อไหนก็ได้ใน 4 ชื่อ ก็ไม่ได้แปลว่าต้องหยิบทั้ง 4 ชื่อนะ สิ่งที่พูดมันก็ถูกว่าเพื่อไทยมีสิทธิ์หยิบชื่อใดก็ได้ เพราะท่านเองท่านเป็นนายกฯ ท่านต้องรับผิดชอบ แต่ว่าโดยมารยาททางการเมือง คือเมื่อคุณจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกันแล้วคุณจะต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ถ้าหากว่าคุณไม่หยิบชื่อใดคุณก็จะต้องส่งชื่อคืนมาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เช่น ตรวจสอบแล้วไม่ผ่านคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้าม เป็นต้น แล้วก็ให้พรรคเขาเสนอชื่อใหม่ขึ้นไป” นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า แต่หากเกิดกรณีมีคนในพรรคพลังประชารัฐไปเจรจาต่อรองอย่างไม่เป็นทางการกับพรรคเพื่อไทย เพื่อที่จะขอให้บุคคลใดได้เป็นหรือไม่ได้เป็นรัฐมนตรี แล้วในส่วนที่ไมได้เป็นก็ให้ใส่ชื่อบุคคลอื่นเข้าไปแทน ในเบื้องต้นก็จะเป็นปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐก่อน โดยบุคคลที่กระทำการดังกล่าวจะถือว่าทำผิดวินัยพรรคและอาจฝ่าฝืนข้อบังคับของพรรค ซึ่งกรรมการบริหารพรรคอาจมีมติขับบุคคลดังกล่าวออกจากพรรคได้

ซึ่ง “การขับสมาชิกออกจากพรรค” ที่ผ่านมาจะเห็นใน 2 รูปแบบ คือ 1.ขับออกเพื่อให้ไปทำงานการเมืองที่อื่นแบบนี้เรียกว่าขับกันเล่นๆ เป็นพิธี คนที่ถูกขับออกก็ไปหาพรรคการเมืองอื่นอยู่ให้ได้ภายใน 30 วัน กับ 2.ขับออกแบบมีความผิดติดตัว แบบนี้อาจเป็นการตัดโอกาสในอนาคต เพราะ จะเป็นการประกอบหลักฐานโดยใช้คำว่าไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ก็จะเป็นปัญหาในเชิงจริยธรรม ซึ่งจะอยู่ในมาตรฐานจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ระบุว่าต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง

ดังนั้น “หากเกิดกรณีที่พรรคเพื่อไทยเลือกบุคคลในพรรคพลังประชารัฐเป็นรัฐมนตรี ส่วนหนึ่งอยู่ในรายชื่อที่เป็นมติพรรค แต่อีกส่วนไปเลือกบุคคลอื่น บุคคลที่ถูกเลือกนั้นก็อาจถูกขับออกจากพรรคโดยมีข้อกล่าวหาทางจริยธรรมติดตัว” และอาจนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ถอดถอนจากตำแหน่งทางการเมือง และหาก ป.ป.ช. มีความเห็นไปในทางเดียวกัน ก็จะส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา หากศาลรับเรื่อง บุคคลนั้นก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ และหากศาลตัดสินว่าผิดก็จะต้องพ้นจากตำแหน่ง

“ถามว่ามันจะลามไปยังพรรคเพื่อไทยไหม? ผมก็ใช้คำว่าก็ต้องพึงระวังให้ดี เพราะพอสมมุติว่าปิดฉากสุดท้ายว่าบุคคลดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีปัญหาทางด้านจริยธรรมต้องพ้นจากตำแหน่ง บุคคลที่เสนอ บุคคลที่แต่งตั้ง ก็อาจจะมีสิทธิ์โดนอะไรบางอย่างตามมาไหม? ก็เป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังไว้ ไม่ว่าจะออกมาทางใดก็แล้วแต่ ทางที่ปลอดภัยที่สุดก็คือตามมติพรรค 4 ชื่อไป” นายสมชัย ระบุ

อดีต กกต. ผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า หากพรรคเพื่อไทยตรวจสอบพบว่ารายชื่อที่เสนอมาบางคนไม่ผ่านคุณสมบัติ หรือเกรงว่าจะมีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติ กระบวนการที่ถูกต้องคือการส่งชื่อคืนไปที่พรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้กรรมการบริหารมีมติส่งรายชื่อบุคคลอื่นไปแทน จะเป็นวิธีการที่ตรงไปตรงมาและปลอดภัยที่สุด อีกทั้งเป็นมารยาททางการเมืองที่เหมาะสมเพราะการร่วมรัฐบาลก็ต้องให้เกียรติกันแบบนี้ แต่หากทำนอกเหนือไปจากนี้ ก็อาจเกิดช่องว่างที่ก่อให้เกิดความเสียหายกับทั้งคนแต่งตั้งและคนที่ถูกแต่งตั้งได้

เช่น หากกรณีพรรคเพื่อไทย หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ต้องการให้มีชื่อของ พล.ต.อ.พัชรวาทวงษ์สุวรรณ ในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ก็จะต้องแจ้งกลับไปยังพรรคพลังประชารัฐและต้องอธิบายว่าเหตุผลคืออะไร จากนั้นหากพรรคพลังประชารัฐเคารพการตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาล ก็อาจจะส่งชื่อบุคคลอื่นแทน ส่วนคำถามว่า นายกฯ สามารถตัดชื่อคนที่ไม่ต้องการออกแล้วหาคนอื่นมาแทนได้หรือไม่ เรื่องนี้สามารถทำได้เพราะเป็นอำนาจของนายกฯ และที่ผ่านมาก็จะเห็นว่าโควตารัฐมนตรีมีในส่วนของคนนอกอยู่

อย่างไรก็ตาม “การจะเสนอชื่อบุคคลอื่นเป็นรัฐมนตรีก็ต้องอยู่ในส่วนโควตาของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่ของพรรคร่วมรัฐบาล” หากทำแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ จะให้ใครมาเป็นก็ได้ แต่หากไปใช้โควตาของพรรคร่วมรัฐบาล แต่งตั้งคนนอกที่พรรคนั้นไม่ได้เสนอ แบบนั้นเรื่องจะยาว ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นความลำบากใจพอสมควรว่า นายกฯ หรือพรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าเรื่องนี้อย่างไร ที่สำคัญที่สุด แม้ภายหลังทุกอย่างจะนิ่งแล้ว รายชื่อที่เตรียมทูลเกล้าฯ ก็ยังต้องระมัดระวังว่ามีคนสีเทาๆ อยู่ใน ครม. หรือไม่

ซึ่งหากมีก็อาจถูกร้องเรียนซ้ำรอยกรณีของ เศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ จากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะแต่งตั้งบุคคลที่รู้หรือควรรู้ว่ามีปัญหาเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ หรือมีปัญหาด้านมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยสรุปแล้วนายกรัฐมนตรีคือบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด ในขณะที่ผู้จัดการรัฐบาลไม่มีความเสี่ยงใดๆ จะชงอะไรก็ไม่ต้องรับผิดชอบ แต่คนรับผิดชอบคือนายกฯ แล้วในเส้นแบ่งของจริยธรรมกับกฎหมาย ใช้คำว่าแม้กฎหมายบอกว่าไม่ผิดแต่ก็อาจผิดจริยธรรมได้ เพราะจริยธรรมอยู่สูงกว่ากฎหมาย

ส่วนคำถามว่า พรรคพลังประชารัฐดูเหมือนจะแพ้พรรคเพื่อไทย แต่จริงๆ แล้วไม่แพ้ใช่หรือไม่? ตนมองว่าต้องดูกันยาวๆ ว่าสิ่งที่เขาจะทำคืออะไร เห็นกระบวนการแล้วคนนอกบอกว่าดูเหมือนหงอ พรรคพลังประชารัฐพยายามง้อแล้วง้ออีก แต่ในเชิงขั้นตอนตามกฎหมาย ในฐานะที่ตนพอได้อ่านกฎหมายมาบ้าง บอกได้เลยว่าเป๊ะทุกกระเบียดนิ้ว แต่ถามว่าพรรคพลังประชารัฐต้องการอะไรหรือเปล่า เรื่องนี้ตนไม่รู้ อาจจะเป๊ะแบบซื่อๆ ก็ได้

“ก็อยากให้ตั้งรัฐบาลได้เร็วๆ เพราะว่าประชาชนก็รู้สึกว่าอยากจะได้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามมองทุกอย่างให้รอบคอบสักนิด อะไรที่สุ่มเสี่ยงก็อย่าไปทำ โดยประเด็นเรื่องการครอบงำพรรคก็เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็ต้องพึงระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วแทนที่จะอยู่ได้นานก็จะอยู่ไม่ได้นาน ประเทศก็เสียโอกาสต้องมาตั้งรัฐบาลกันใหม่ อันนี้ก็เป็นปัญหาของประเทศว่ามันไม่เดินก้าวหน้าไปสักทีหนึ่ง” อดีต กกต. สมชัย ฝากทิ้งท้าย

หมายเหตุ : สามารถรับชมรายการ “สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง” ดำเนินรายการโดย บุญระดม จิตรดอน ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” ทุกวันอังคาร-พฤหัสบดี เวลา 11.00-12.00 น. โดยประมาณ

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top