อนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ แพทยสภา กรณีเทวดาทักษิณ รักษาตัวที่ชั้น 14 เดินหน้าสอบเอกสารที่รพ.ตำรวจส่งมาให้ ก่อนส่งบอร์ดชุดใหญ่ชี้ขาด
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2568 ศ.นพ.อมร ลีลารัศมี ประธานอนุกรรมการสอบสวนเฉพาะกิจ แพทยสภา กรณีนายทักษิณ ชินวัตร พักรักษาตัวที่ชั้น14 โรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลาร่วม 6 เดือน เปิดเผยว่า ในวันนี้อนุกรรมการสอบสวนฯ มีนัดประชุมกันเพื่อพิจารณาข้อมูลที่ทาง รพ.ตำรวจ ได้ส่งมายังแพทยสภา ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่า มีการส่งเอกสารมาเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ก็สามารถนำมาพิจารณาในเบื้องต้นได้ แต่ขอย้ำว่าการพิจารณาของอนุกรรมการสอบสวนฯ ยังไม่ใช่ที่สิ้นสุด เพราะต้องส่งข้อมูลไปยังกรรมการแพทยสภา (บอร์ดแพทยสภา) เพื่อพิจารณาตัดสิน ดังนั้น การพิจารณาข้อมูลของอนุกรรมการสอบสวนฯ จึงต้องเป็นความลับ ไม่สามารถเปิดเผยได้ จะไปเปิดเผยได้ก็ต่อเมื่อมีการตัดสินที่บอร์ดแพทยสภาแล้ว อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าอนุกรรมการสอบสอนฯ ได้ดำเนินการพิจารณาทุกอย่างตามข้อมูลที่ได้รับมาจาก รพ.ตำรวจ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.ที่ผ่านมา นพ.อมร ลีลารัศมี กรรมการแพทยสภาในฐานะประธานอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ที่ตั้งโดยมติที่ประชุมแพทยสภาฯ ได้ทำหนังสือของแพทยสภา ลงวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ถึง แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมสามหน้ากระดาษ มีใจความโดยสรุปว่าคณะอนุกรรมการสอบข้อเท็จจริงเฉพาะกิจตั้งขึ้นตามมติของกรรมการแพทยสภาฯ เมื่อ 10 ต.ค. 2567 ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พรบ.วิชาชีพเวชกรรมพ.ศ.2525 เพื่อสอบสวนกรณีดังกล่าวที่เกิดจาก กรณีมีการย้ายผู้ป่วยจากรพ.ราชทัณฑ์มาที่รพ.ตำรวจ จึงขอข้อมูลเพื่อประโยชน์แก่การสืบสวนสอบสวน อันเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ จึงขอให้ท่าน (แพทย์ใหญ่รพ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ชี้แจงข้อเท็จจริงและส่งพยานหลักฐานหรือวัตถุพยานเพื่อประโยชน์การแก่การพิจารณาจริยธรรม ดังนี้ 1.คำชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับการเข้ารับการรักษาพยาบาล ของผู้ป่วยชาย นายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด 2.ขอทราบ ชื่อ สกุลแพทย์ทั้งหมด ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตร รวมถึงเลขใบประกอบวิชาชีพรวมถึงคำชี้แจงของบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษาในรายผู้ป่วย นายทักษิณ ชินวัตรโดยละเอียด
ที่น่าสนใจ หนังสือดังกล่าวยังระบุอีกว่า เนื่องจาก นายทักษิณ เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำเกินกว่าสามสิบวันและหกสิบวัน -หกสิบวันและหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามลำดับ ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวง(กระทรวงยุติธรรม) การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่กำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำ มีหนังสือขอความเห็นจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวง(ยุติธรรม)และรัฐมนตรีว่าการกระรทวงยุติธรรม ทราบ (ตามลำดับ) ดังนั้นจึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว ที่ก็คือ การขอความเห็นแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ตอนที่แพทย์ทำรายงานสามครั้ง คือถึง อธิบดีกรมราชทัณฑ์-ปลัดกระทรวงยุติธรรมและรมว.ยุติธรรม ในช่วงครบ 30 วัน 60 วันและ 120 วันตามลำดับ โดยให้ส่งรวมมาให้อนุกรรมการฯทั้งหมด
นอกจากนี้อนุกรรมการสอบสวน ของแพทยสภา ยังขอให้ส่งสำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ สำเนาเวชระเบียน สำนาบันทึกการผ่าตัด สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก สำเนาบันทึกการพยาบาล สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสารหรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล เช่นภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสาร และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองเอกสารทุกหน้าด้วย“ขอตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปที่รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจากรพ. ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้ โดยขอให้ท่านทำคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรตามประเด็นข้างต้น โดยให้ส่งมาให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจภายใน วันที่ 15 มกราคม 2568 “เอกสารสำคัญของแพทยสภาดังกล่าวระบุ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี