"กมธ.ติดตามงบฯ"เรียก"ผู้ว่า สตง.-อธิบดีโยธาฯ"แจงคืบหน้าสอบตึก สตง.ถล่ม ด้าน"มณเฑียร"เผยเตรียมให้ตำรวจอายัดที่ดินเป็นของกลางจนกว่าจะตรวจสอบเสร็จ ระบุให้ผู้รับเหมารับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด พร้อมประกาศทวงเงินเยียวยาจากบริษัทประกัน 900 ล้านคืนให้รัฐ ด้าน"พงษ์นรา"ชี้การออกแบบไม่เป็นไปตามกฎหมาย แต่จะใช่สาเหตุถล่มหรือไม่ รอผลจำลองจากโมเดลก่อน คาดใช้เวลา 90 วัน ขณะที่"วิศวกรรมสถาน"เผยชั้น 3 แตกก่อน แต่สงสัยชั้น 19 ปรับแบบหรือไม่ เชื่อเหล็กไม่ใช่สาเหตุหลักของการถล่ม
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะเป็นประธาน กมธ.ฯ ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจงการใช้งบประมาณในการก่อสร้างตึก สตง.ที่ถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่ง นายมณเฑียร เจริญผล ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) , นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง มาชี้แจงด้วยตนเอง
โดย กมธ.ฯ เริ่มสอบถามถึง ขั้นตอนการอนุมัติงบประมาณในการก่อสร้างและความคืบหน้าในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของโครงการซึ่ง ผู้ว่า สตง.ชี้แจง ชี้แจงว่า สตง.ได้ส่งเอกสารสำคัญไปให้ คณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงที่รัฐบาลตั้งขึ้นและดีเอสไอแล้ว พร้อมมอบเงินช่วยเหลือผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บแล้วด้วย และได้ประสานบริษัทประกันทั้ง 4 บริษัท มาพูดคุย เพราะผู้รับจ้างได้ทำประกันความเสียหายไว้ หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พิสูจน์สาเหตุของความเสียหายได้แล้ว บริษัทประกันควรเป็นผู้จ่ายเงินให้กับผู้เสียหาย เพราะรัฐจ่ายเงินในส่วนนี้ไปกว่า 900 ล้านบาท และเรายืนยันว่า "เราเป็นผู้เสียหาย จึงควรคืนเงินจำนวนนี้มา เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่รัฐได้จ่ายไปทั้งหมด" ส่วนค่าใช้จ่ายในการรื้อถอน ผู้ว่า สตง.ชี้แจงว่า ได้ประสานไปยังผู้รับจ้าง ให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดระหว่างการรื้อถอน ขณะที่ข้อกฎหมายที่จะต้องดำเนินการหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อกฎหมายตามสัญญา หรือข้อกฎหมายอื่นๆ เราจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งส่งหนังสือไปถามสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ซึ่งตอนนี้รอตอบกลับมา
นายมณเฑียร กล่าวต่อว่า สำหรับการส่งมอบพื้นที่นั้น สตง.ได้ทำหนังสือแจ้งตำรวจ ให้อายัดพื้นที่ไว้ก่อน จนกว่าคดีจะแล้วเสร็จ ซึ่งทางตำรวจจะเข้ามาอายัดพื้นที่ หลังจากที่ กทม.ส่งมอบพื้นที่อย่างเป็นทางการแล้ว และตนเองได้เซ็นหนังสือไปยังผู้รับจ้าง ให้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ทั้งหมดด้วย ทั้งนี้ยืนยัน ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการสร้างตึกใหม่ เพราะต้องให้ความสำคัญกับการเยียวยาผู้เสียชีวิต และการสอบสวนหาสาเหตุของตึกถล่มก่อน
จากนั้น ประธาน กมธ.ได้สอบถามความคืบหน้าของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่า ภายใน 90 วัน จะตอบอะไรได้บ้าง โดย นายพงษ์นรา ชี้แจงว่า จะได้รับคำตอบ ตึก สตง.ที่ถล่มเกิดจากความผิดพลาดตรงไหน รัฐบาลได้มอบหมายให้ 6 สถาบันรวมถึงกรมโยธาธิการและผังเมืองรวมเป็น 7 หน่วยงาน ทำแบบโมเดลอาคารถล่ม หลังจากได้แบบแต่ละสถาบันมาแล้วจะนำมาวิเคราะห์ แบบจำลองทางภูมิศาสตร์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 90 วัน ซึ่งขนาดของแรงแผ่นดินไหว ที่จะนำไปใช้กับ แบบจำลองคณิตศาสตร์ จะใช้ขนาดของแรงสั่นสะเทือนที่ตึกกรมโยธาธิการและผังเมืองบนถนนพระราม 6 เป็นค่าตั้ง มาเป็นข้อมูลในการสร้างแบบโมเดล ซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้คำตอบว่าสาเหตุการพังถล่มเกิดจากการออกแบบที่ไม่มั่นคงแข็งแรงหรือไม่
อธิบดีกรมโยธาฯ ยังกล่าวถึงการเก็บตัวอย่างวัสดุการก่อสร้างจากตึก สตง.ที่พังถล่ม โดยการเก็บ เหล็กเส้น ซึ่งตามหลักแล้วไม่สามารถเก็บจากเหล็กที่โผล่มาจากปูนได้ เนื่องจากไปแปรสภาพไปแล้ว ซึ่งจะต้องเก็บเหล็กที่อยู่ในโครงสร้างและต้องกระเทาะเนื้อ คอนกรีตออกมา โดยขณะนี้ได้เก็บตัวอย่างออกมาได้แล้ว โดยในช่วงของการเก็บตัวอย่างมีการกำหนดโซน โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 โซน โดยแต่ละครั้งที่เข้าไปเก็บตัวอย่างนั้นได้เดินเข้าไปพร้อมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมตำรวจพิสูจน์หลักฐานและเจ้าหน้าที่ สตง. โดยกรมโยธาธิการ ทำหน้าที่ในการกำหนดโซน และการเข้าไปเก็บ ก็พบอุปสรรคว่าตัวอาคาร นั้นถล่ม 100% ทำให้ยากต่อการพิสูจน์ว่าสิ่งก่อสร้างนั้นเป็นการก่อสร้างอะไร
นายพงษ์นรา กล่าวต่อว่า โดยตัวอย่างที่เก็บมาได้นั้นแบ่งออกเป็น เหล็กประมาณ 300 - 400 ชิ้น และคอนกรีตประมาณ 300 ตัวอย่าง ส่วนการเก็บตัวอย่างคอลิฟท์ ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสาเหตุของการพังถล่ม แต่จากการลงพื้นที่ พบว่า ฐานคอลิฟท์พังทลายไปหมด เหลือแค่พื้นฐานล่างที่เชื่อมกัน แต่ตัวคอกำแพงพังทลายไปหมดแล้ว
อธิบดีกรมโยธาฯ กล่าวอีกว่า ส่วนปัญหาการออกแบบนั้น ไม่สอดคล้องกับกฎหมาย แต่ตามหลักการก่อสร้างนั้น จะมีเซฟตี้แฟคเตอร์ ซึ่งเป็นหลักการคำนวณเพื่อป้องกันการพังถล่ม ดังนั้น การออกแบบที่ไม่เป็นไปตามกฏหมาย อาจจะไม่ใช่สาเหตุของการพังถล่ม ซึ่งจะต้องไปรอดูผลของการจำลอง แบบคณิตศาสตร์ เพื่อดูว่าการออกแบบนั้นเป็นสาเหตุหรือไม่ แต่เบื้องต้นถือว่า เป็นการทำผิดกฎหมาย แต่จะพังหรือไม่พังขอให้ดูผลการจำลองเสียก่อน
อธิบดีกรมโยธาธิการฯ กล่าวด้วยว่า การจำลองโมเดล จะอ้างอิงข้อมูลจากแบบเป็นหลัก เพื่อนำมาคำนวณความแข็งแรงของตึก เพราะตัวอย่างวัสดุอุปกรณ์ที่เก็บมาจากหน้างาน ไม่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ในการหาความแข็งแรงของตึก แต่สามารถใช้เป็นส่วนประกอบในการหาคำตอบว่าการก่อสร้างเป็นไปตามแบบหรือไม่ได้
ด้าน นายทศพร ศรีเอี่ยม ผอ.สถาบันแบบจำลองสารสนเทศอาคาร วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการนำเสนอวิดีโอ ขณะที่ตึก สตง.ถล่ม ผนังที่แตกไม่ใช่ชั้นล่างสุด แต่เป็นชั้น 3 ซึ่งแตกก่อนเสาด้านหน้า ซึ่งไม่เหมือนกับกรณีตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ถล่ม ที่ชั้นบนร่วงลงมาใส่ชั้นล่าง แต่ สตง.จะเห็นว่า มีการพังทลายของชั้นบน ซึ่งในแบบจะเห็นว่ามีอะไรอยู่ชั้นที่ 19 แต่ตรงนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเพราะแบบผิด แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่แน่ว่ามาจากแบบแรก หรือมีใครสั่งให้เปลี่ยนแปลง เพราะผู้รับผิดชอบจะไม่เหมือนกัน
นายทศพร กล่าวว่า ตึก สตง.ไม่ใช่วิศวกรรมที่ดีหลายจุด เพราะเหล็กเยอะ และคอนกรีตที่หุ้มเหล็ก ผลจากการถล่มทำให้ยากต่อการนำไปตรวจสอบ แต่ก็คิดว่า ไม่ใช่สาเหตุหลัก สิ่งที่กังวลที่สุดในตอนนี้คือ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหล็กข้ออ้อยกับเหล็กตัวที ที่มีการใช้งานตั้งแต่ปี 2548 ซึ่งมีการวางมาตรฐานการผลิตเหล็กในประเทศที่ละเอียดมาก เหล็กที่ผลิตออกมาจะต้องผ่านวุฒิวิศวกรเข้าไปตรวจสอบด้วย จึงต้องย้อนกลับไปย้ำว่า การออกแบบตึก สตง.ไม่สอดคล้องกับกฎกระทรวง โดยเฉพาะชั้น 19 แต่บอกไม่ได้ว่า การออกแบบเป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ต้นหรือไม่ เพราะเมื่อขอดูข้อมูลจากตำรวจและดีเอสไอ บอกว่า เป็นหลักฐานไม่สามารถเปิดเผยได้
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี