“การนำนโยบายไปถึงประชาชน กระทรวงหลักคือกระทรวงมหาดไทย วันนี้มันไม่ค่อยถึง เพราะว่ากระทรวงมหาดไทยยังไม่ค่อยทำเต็มที่ เวลามันเหลือ 2 ปีแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่มหาดไทยต้องทำงานให้เต็มที่”
คำพูดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สวมบท บก.คนที่ 4 ที่ให้สัมภาษณ์กับ 3 บก.เครือเนชั่น วิเคราะห์สถานการณ์การเมืองไทย เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา กลายเป็นประโยคที่ทำให้การเมืองไทยร้อนระอุอีกครั้ง
ส่วนประเด็นที่ว่าพรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลจะกล้ายึดกระทรวงมหาดไทยจริงหรือไม่ว่า ตนยังไม่ได้ถามหัวหน้าพรรค ถ้าให้วิเคราะห์ก็เป็นเรื่องที่คงต้องพูดกันว่าให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปทำบ้าง จะได้ทำนโยบายถึงเพื่อประชาชนได้สักที เพราะเวลาเหลือน้อยแล้ว อีก 2 ปีจะเลือกตั้งแล้ว
“มันเป็นเรื่องการทำงานเพื่อประชาชน ถ้าอยากทำงานให้ได้ผล พรรคเพื่อไทยต้องตัดสินใจเพื่อให้นโยบายถึงประชาชนจริงๆ ก็ต้องให้กระทรวงมหาดไทยอยู่ในความดูแลของพรรคเพื่อไทย นี่คือหลักการ”
ส่วนคำถามที่ว่า นอกจากกระทรวงมหาดไทย ยังต้องมีกระทรวงไหนอีกที่สามารถทำให้รัฐบาลทำงานกระฉับกระเฉง และสามารถชนะเลือกตั้งครั้งต่อไป นายทักษิณตอบว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, กระทรวงพาณิชย์, กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม
คำพูดดังกล่าว ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังพรรคร่วมรัฐบาลที่คุมกระทรวงเหล่านี้อยู่ แล้วจะส่งผลกระทบรุนแรงแค่ไหนกับรัฐบาล จะอยู่ด้วยกันต่อไปได้หรือเปล่า โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ที่ดูแลกระทรวงมหาดไทย
นายทักษิณบอกว่า “คิดว่าน่าจะคุยกันรู้เรื่อง คงไม่ถอนมั้ง เราไม่อยากให้เขาถอนอ่ะ ก็อยู่ด้วยกันมา”
ถามต่อเนื่องว่า แต่ถ้าเขาอยู่ไม่ได้ นายทักษิณ ตอบว่า อันนั้นก็เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของแต่ละพรรคได้
บ่งบอกว่า “อยากให้อยู่ด้วยกันต่อ แต่ถ้าจะไปก็ไม่ง้อนะ”
หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง มาดูท่าทีของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้กัน
ทางฝั่งพรรคภูมิใจไทย ในฐานะที่ถูกพาดพิงแบบเต็มๆ งานนี้ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ออกมายืนยันว่า ที่ผ่านมาก็ทำงานทั้งจับบุหรี่เถื่อน และเรื่องงานอื่นๆ ด้วย ไม่เชื่อไปดูข่าวต่างๆ ได้
ส่วนการพูดของนายทักษิณ จะเป็นเหตุให้ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน ตอบว่า มันยังไม่มีอะไร ยังไม่มีการพูดคุยกันเลย และว่าเรื่องนี้คงต้องมีการคุยกับนายกรัฐมนตรี
ทางด้าน “เสี่ยตือ” นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และอดีต สส. หลายสมัย บิดาของ นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.พรรคภูมิใจไทย และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 รวมถึง นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส. พรรคภูมิใจไทย ได้โพสต์แสดงจุดยืนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เขาคือใคร? อย่างนี้ก็ได้หรือ
มาตรา 28 แห่ง พ.ร.ป. พรรคการเมือง พ.ศ. 2560 “ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคการเมือง กระทำการครอบงำ หรือชี้นำพรรคการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม…”
มาตรา 29 ห้ามผู้ใดที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคกระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจการของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรค หรือสมาชิกขาดความเป็นอิสระ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ประเด็นครอบงำพรรคหรือไม่ นี่ก็น่าสนุกนะ
ส่วนพรรคกล้าธรรม ซึ่งดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็มีการให้สัมภาษณ์ของ ร.อ.ธรรมมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา และประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม ที่ประกาศชัดเจนว่า “ในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ผมไม่ทราบ แต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องเป็นพรรคกล้าธรรมดูแล” และว่า ที่ผ่านมาในช่วงที่ตนเป็น รมว.เกษตรและสหกรณ์ ตนทำดีที่สุด ช่วงเป็นรัฐมนตรีช่วยก็ได้ดูเรื่องที่ดินทำกินให้เกษตรกร และการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตร อย่าไปกังวล เรื่องพวกนี้ ไม่มีใครมาแตะกล้าธรรมหรอก
พร้อมทั้งยืนยันว่าในส่วนของกล้าธรรมยังเหมือนเดิม ส่วนกระทรวงอื่นตนไม่ทราบ “เรื่องการปรับ ครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ผมคงพูดไม่ได้”
ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ไม่มี ยังไม่มีอะไรเลย” และเมื่อถูกถามว่า ตอนนี้ถูกมองว่านายทักษิณครอบงำพรรคเพื่อไทยไปแล้ว นายกฯ กล่าวว่า “ไม่ครอบๆ”
อย่างไรก็ตาม การที่พรรคเพื่อไทยจะเขี่ยพรรคร่วมรัฐบาลออกจากการดูแลกระทรวงต่างๆ เพื่อเอามาควบคุมเอง ตามที่นั้นทักษิณพูดนั้น ก็มีความเป็นไปได้ ถ้าจะหักหาญเอากันจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ
เหตุผลคือ เรื่องของเสียง สส.ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในส่วนของพรรคภูมิใจไทยมีอยู่ 69 เสียง พรรคกล้าธรรม 26 เสียง และเห็นว่าจะเอามาเพิ่มอีกราว 10 เสียง สองพรรคนี้รวมกันก็จะมี สส.ร่วม 100 เสียงเข้าไปแล้ว รัฐบาลจะยอมเสียไปได้หรือ
อีกอย่าง การที่จะยึดกระทรวงจากพรรคการเมืองที่ดูแลอยู่นั้น ก็ต้องมีเหตุผลความชอบธรรม เช่น พบการทุจริตในกระทรวง หรือมีปัญหาในการทำงานในกระทรวงอย่างหนัก ไม่เช่นนั้น หากทำแบบหักดิบไปเลย ก็อาจถูกมองว่าใช้เหตุผลทางการเมืองมากเกินไปก็ได้
ทิศทางความเคลื่อนไหวของพรรคร่วมรัฐบาลต่อจากนี้น่าจับตาว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป จะถึงขั้นแตกหักต้องแยกออกไปอยู่กันคนละฝ่าย หรือจับมือกันทำงานต่อไป โดยทำเป็นลืมๆ รอยร้าวลึกที่เกิดขึ้น ไม่ต้องคิดต้องพูดถึงมันอีก ตรงนี้มีโอกาสเป็นไปได้หมด เพราะนี่คือการเมืองที่ไร้มิตรแท้และศัตรูถาวร
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี