‘นายกฯ’ถกสมช.ยันไม่ปะทะ
ยังท่องคาถาเดิมใช้สันติวิธี
‘ภูมิธรรม’โต้นอบน้อมกัมพูชา
ยันรัฐบาล-กองทัพเนื้อเดียวกัน
“นายกฯอิ๊งค์” ประชุม สมช.ยันรบ.-กองทัพเป็นเอกภาพ มอบอำนาจทหารประเมินสถานการณ์ปะทะเมื่อใด แต่ยึดสันติให้มากสุด ชี้ปะทะไปเสียหายมากกว่าแรงเชียร์ เผย “บิ๊กอ้วน” คุยรมว.กลาโหมเขมรสองฝ่ายโอเคหมด ด้าน“ภูมิธรรม”ย้ำปกป้องอธิปไตย - ไม่ทำ ปท.เสียประโยชน์-รักษาสัมพันธ์ระหว่างปท. ปรับการสื่อสาร “บัวแก้ว” เผย การทหาร-การต่างประเทศไปทิศทางเดียวกัน ย้ำ ใช้กลไกทวิภาคี ไม่รับอำนาจศาลโลก เบรกสื่ออย่าเปิดประเด็น จำกัดแค่พื้นที่ปะทะ เซ็นตั้งกก.เฉพาะกิจติดตามข้อพิพาทไทย-เขมร ย้ำ ยึดหลักเจรจาสันติ แต่เตรียมมาตรการต่างๆไว้แล้ว ถ้าจำเป็นก็ต้องยกระดับ ยัน “กองทัพ” ไม่แข็งกร้าว เชื่อปลุกระดมรักชาติ ไม่เป็นชนวน รปห. โต้ครหานอบน้อมเขมร ย้ำ “ไม่มีถนอม” ขณะที่ ผบ.ทสส. พร้อมหนุนแนวทาง รบ.-สมช.ยึดสันติวิธี ส่วนเขมรระดมทหาร 1.3 หมื่น-อาวุธอื้อเข้าพื้นที่ปะทะ กลาโหมเขมรแถลงฉีกหน้า “บิ๊กอ้วน”ยันไม่ถอย กลับที่เดิม
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 มิถุนายน ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. และหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในการพิจารณามาตรการตอบโต้
นายกฯโชว์เอกภาพรบ.-กองทัพแก้ปมเขมร
หลังประชุม น.ส.แพทองธารนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุมหารือมาตรการพร้อมรับมือ อย่างภาพที่ออกไปเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เห็นว่านายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม นำทีมกองทัพไปคุยกับกัมพูชา ทุกอย่างตอนนี้โอเค ได้คุยกันว่าทุกหน่วยทุกฝ่าย ทั้งกองทัพหรือรัฐบาลมาปรึกษากันก่อนดำเนินการใดๆตลอด และทราบหน้าที่ของตัวเองอย่างดี สิ่งที่ต้องการขณะนี้คือ ความเป็นเอกภาพในการทำงานทั้งหมด ซึ่งได้คุยกับนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่อยากให้เกิดกระแสหรือการปลุกปั่นใดๆว่า รัฐบาลหรือกองทัพมีปัญหากัน จริงๆไม่มีปัญหาอะไรเลย ทำงานสนับสนุนกันอย่างดีเสมอ เคลียร์กันในเนื้องานทั้งหาดแล้วว่าถึงหน้างานกองทัพสามารถตัดสินใจได้เลย เรื่องรายละเอียดการเจรจาลงรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมด แต่เข้าใจกัน ยังไม่มีความรุนแรงที่ขยายมากขึ้น กองทัพยืนยันจำกัดความรุนแรงไม่ให้เกิดขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุน
ย้ำ“อ้วน”คุยเขมรแล้วโอเคหมด
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องอ่อนไหว ประชาชนรอฟังว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร ขณะที่คนข้างชาติก็เป็นเพื่อนบ้าน หากมีคนบุกไปที่บ้านจันทร์ส่องหน้าไปปักหลักอยู่ นายกฯจะทำอย่างไร โดยเฉพาะพื้นที่ 200 เมตร ที่มีกระแสว่ารุกล้ำเข้มา นายกฯมีวิธีแก้อย่างไรให้รวดเร็วกว่านี้ นายกฯกล่าวว่า วันที่ 5 มิถุนายนคุยกันแล้ว แต่เรื่องที่คุยตกลงกันเราต้องเคารพทั้งสองฝ่ายว่ารายละเอียดให้ได้แค่ไหน เพราะอยู่ในขั้นตอนเจรจา ทราบดีว่าอยากได้เนื้อข่าว ได้ข้อมูลเพิ่ม แต่ตอนนี้ที่คุยสองฝ่ายโอเคหมด
ให้กองทัพประเมินแต่ใช้สันติวิธีมากที่สุด
นายกฯระบุด้วยว่า กองทัพก็ยืนยันแล้วว่าเตรียมพร้อมทุกรูปแบบสำหรับทุกสถานการณ์ ซึ่งกองทัพเองทราบว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร ต้องปะทะหรือยัง เป็นการตัดสินใจของกองทัพ ก็ให้หน้างานดูเลยว่าต้องปะทะหรือเปล่า แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องปะทะ การที่เราจะปะทะไป ความเสียหายมากกว่าแรงเชียร์ที่จะให้เกิดการปะทะ ตรงนั้นต้องใช้สันติวิธีให้มากที่สุด ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครช้าเรื่องนี้ ทุกคนทำกันและคุยกันหมดแล้ว แล้วแต่เลือกว่าเราจะฟังส่วนไหนไม่ฟังส่วนไหนมากกว่า เพราะรัฐบาลออกแถลงการณ์มาสองฉบับในการดำเนินการและข้อตกลงแนวทางที่ประเทศไทยจะไปต่อ
การันตีคุยเนื้อเดียวกันปกป้องอธิปไตย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแถลงว่า ได้พูดคุยกันบนหลักการที่ว่า เราต้องยึดมั่นหลักปกป้องอธิปไตยของประเทศ ดำรงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด การพูดคุยวันนี้มีหลักสำคัญสามด้านคือ ด้านต่างประเทศ ด้านกองทัพและด้านสื่อสาร ที่ได้ปรับให้ชัดเจนและร่วมกันทำงานให้มากขึ้น กองทัพยืนยันว่า เราพร้อมรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ และบูรณภาพแห่งดินแดนเป็นเรื่องชัดเจน ได้คุยเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ส่วนเรื่องการสื่อสารตกลงกันว่า กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพหลัก โดยประสานโฆษกกระทรวงกลาโหม โฆษกกองทัพบก โฆษกกระทรวงดิจิทัลฯทำงานร่วมกัน ไม่ให้เกิดบรรยากาศที่ทำให้การเจรจา การหาข้อสรุปเกิดขึ้นยากลำบาก
“ยืนยันว่าสมช.ตกลงเห็นพ้องกันว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญ หลักที่เราต้องดูแลเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นเราจะประคองให้เกิดสัมพันธ์ที่ดี ไม่เกิดการเสียประโยชน์ทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเรายังมีภาระความจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันอีก อยากให้จำกัดความขัดแย้งอยู่ในวงมากที่สุด”นายภูมิธรรม กล่าว
ทหาร-ตปท.ต้องไปด้วยกัน-ยันใช้ทวิภาคี
ขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศแถลงเพิ่มเติมว่า การประชุมวันนี้เพื่อให้เกิดบูรณาการทำงาน มีเอกภาพ ส่วนการต่างประเทศและการทหารต้องไปด้วยกันเป็นเนื้อเดียวกัน ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสองประเทศมีสัมพันธ์ที่ดีมานาน เราเห็นพ้องกันว่า การเจรจากับฝ่ายกัมพูชาต้องใช้กลไกที่เรามีอยู่ปัจจุบันเป็นหลักคือ ทวิภาคี โดยเฉพาะใช้กลไกที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น JBC RBC GBC เป็นกลไกหลักขณะนี้ และเป้าหมายการเจรจาโดยเฉพาะวันที่ 14 มิถุนายนที่จะเกิดขึ้นของคณะกรรมการร่วมสองฝ่าย จะเน้นเรื่องจุดปะทะ เพื่อแก้ปัญหากระทบกระทั่ง ส่วนเรื่องอื่น เราจะยังไม่ให้ความสำคัญตอนนี้ เราจะพูดถึงการแก้ปัญหาเรื่องการเผชิญหน้า ลดความตรึงเครียดของกำลังทหารให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน
“เจบีซีมีหน้าที่เจรจาเรื่องเขตแดน จะดำเนินการไปพร้อมกัน สำคัญคือ เป็นการพูดคุยเพื่อลดความรุนแรงและลดบรรยากาศกระทบกระทั่งกันเป็นหลัก ยืนยันว่า เราจะใช้กลไกที่มีอยู่แล้วคือ ทวิภาคีเป็นหลัก”นายมาริษกล่าว และย้ำว่า ส่วนการชี้แจงจะประสานกลไกกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบก และกระทรวงกลาโหม สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงเรื่องข่าวสาร จึงขอความกรุณาช่วยกัน เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดมากไปกว่านี้
ทหารหนุนแนวทางรบ.ใช้สันติวิธี
พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) กล่าวว่า เรื่องแรกต้องเน้นย้ำว่า กองทัพสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลในการแก้ปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนไทย- กัมพูชาด้วยสันติวิธี เรื่องที่สอง กองทัพปฎิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาอธิปไตย และคุ้มครองปกป้องประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งได้ดำเนินการมาตลอด เรื่องที่สาม การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพวันนี้เป็นการประชุมตามวงรอบปกติทุกสองเดือน ซึ่งจะพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ไทย-กัมพูชาในลักษณะสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลและสมช. โดยการสื่อสารจะให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ กระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล และกระทรวงกลาโหม กองทัพในฐานะผู้ปฏิบัติงานและขออนุญาตสงวนการให้ข้อมูลในส่วนข่าวประชาสัมพันธ์
ไม่ได้บอกเขมรถอย200ม.ให้ปรับกำลัง
หลังแถลงข่าว นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนอีกครั้งถึงกรณีจะมีการปิดชายแดนไทย–กัมพูชาหรือไม่ว่า เราพิจารณาทุกมาตรการ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ทุกอย่างเตรียมการพร้อมหมดแล้ว ส่วนจะมีมาตรการห้ามคนไทยข้ามไปบ่อนการพนันฝั่งกัมพูชาหรือไม่ ยังไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านี้ได้ รอให้เกิดสถานการณ์แต่ละขั้นเราก็หยิบมาตรการมาใช้ได้ กองทัพหน้างานว่าอย่างไร กระทรวงการต่างประเทศยืนยันหลักกฎหมายแล้วว่าอย่างไร วันนี้คุยกับทุกหน่วยงานแล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อเสนอของไทยให้กัมพูชาถอนกำลังทหารออกไป 200 เมตร ในจุดที่เกิดความขัดแย้ง กัมพูชาตอบกลับมาอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ได้บอกให้เขาถอย แต่บอกให้เขาปรับกำลังเหมือนข้อตกลงปี 2567 ซึ่งขณะนั้นมีกำลังที่มาด้วยกันอยู่แล้วไม่มีปัญหา ให้ปรับกำลังเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นเราให้ใช้วิธีการพูดคุยแบบทวิภาคี และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาแก้ปัญหา
ตั้งกก.เฉพาะกิจดูแลปมไทย-เขมรแล้ว
นายภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า การประชุมวันนี้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแลเรื่องนี้แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีขั้นตอนจะเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับมาหรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ทุกขั้นตอนที่ควรใช้กับสถานการณ์ต่างๆ ต้องทำงานร่วมกัน 3 ส่วนคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพ ซึ่งเราคุยกันตลอดว่าจะดำเนินการทุกมาตรการ ตอนนี้กลไกต่างๆวางรายละเอียดแล้ว ที่ผ่านมาก็ทำมาแล้ว แต่วันนี้กำหนดให้ชัดเจนขึ้น
ย้ำสถานการณ์ปกติ-ใช้JBCแก้ปัญหา
ถามต่อว่า สังคมออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการตอบโต้บ้าง แต่วันนี้รัฐบาลยึดหลักการเจรจาจะชี้แจงอย่างไร นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างยังปกติ การมาเจอและพูดคุยของสองกองทัพเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน เป็นไปด้วยดี ทุกฝ่ายสบายใจ เราอยากหาทางสันติมากที่สุด ขณะนี้ทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดสงคราม อยากให้ทำกลไกทวิภาคี หรือ JBC ซึ่งเราใช้มา 20 ปีแก้ปัญหามาตลอด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ ทหารมีหน้าที่โดยตรงที่ต้องปกป้องอธิปไตยไม่ได้วางเฉย ก็พยายามตรึงกำลัง ขอย้ำว่า รัฐบาลจะยึดแนวทางสันติวิธี ซึ่งได้ตกลงกันไปแล้วว่าหากวันข้างหน้ามีอะไร เราได้เตรียมการไว้หมดแล้ว
เลี่ยงกระทบสัมพันธ์เพราะต้องพึ่งพากัน
นายภูมิธรรมกล่าวด้วยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องประเทศชาติ อธิปไตยของประเทศ ก็ต้องคุยกับตัวแทนของประเทศคือรัฐบาล ส่วนการคุยนอกรอบทำอยู่แล้ว อย่างตนกับรองนายกฯ และรมว.กลาโหมกัมพูชาก็ทำอยู่ตลอด ยืนยันว่า เราใช้ทุกกลไก
“เรากำลังเดินหน้าไปยังสิ่งที่พึงประสงค์คือ หลีกเลี่ยงกระทบความสัมพันธ์ เพราะถ้ากระทบจะเป็นบาดแผลลึก จะทำให้การทำงานยากขึ้น เพราะเรายังต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ขอให้จำกัดวงแค่ตรงนี้อย่าไปถามเรื่องศาลโลก เพราะเราไม่รับอยู่แล้ว อย่าไปเปิดประเด็น เรากำลังแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่แก้ได้ ขอให้ช่วยกันทำให้เห็นว่าการไม่เกิดสงครามเป็นเรื่องดีที่สุด”นายภูมิธรรมกล่าว
ยันกับทหารคุยกันดีไร้สัญญาณรัฐประหาร
ถามถึงว่าความแข็งกร้าวของกองทัพบก จะเป็นชนวนรัฐประหารหรือไม่ นายภูมิธรรมระบุว่า กองทัพบกมีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่มีอะไรขัดแย้งกับรัฐบาล รวมถึงการเตรียมความพร้อมรักษาประเทศ รักษาอธิปไตย ถามย้ำว่า ยุคบิ๊กอ้วนจะไม่กังวลว่าจะมีการทำรัฐประหารใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบกลับว่า ไม่มีสัญญาณเลย คุยกันดีมาตลอด
โต้นอบน้อมเขมรย้ำ“ไม่ถนอม”
ส่วนที่มีการวิเคราะห์ท่าทีการแถลงของไทยดูนอบน้อมกว่ากัมพูชาที่แข็งกร้าวนั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นการนอบน้อม อย่างกรณีมีคนบอกว่าตนไปกัมพูชา ไปเป็นข้าของเขา ก็ไม่จริง เพราะการคุยกันวันที่ 5 มิถุนายน เขามาหาเราถึงที่ ทำไมถึงไม่บอกบ้างว่าเขานอบน้อมเรา อย่าไปดูอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องการนอบน้อม นายภูมิธรรมย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า เป็นในสายตาใคร เพราะในทางการทูตก็ถือว่าใช้ได้แล้ว ทัศนคติของแต่ละคนก็ต่างกัน พร้อมย้ำว่า “ไม่ถนอมเลย ไม่ถนอม”
ถก“เตีย เซยฮา”ให้ถอยทหารกลับที่เดิม
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้า นายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์กรณีหารือกับพล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯและรมว.กลาโหมกัมพูชาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาว่า เป็นการพูดคุยไม่ให้เกิดความรุนแรง เป็นการเจอกันครั้งแรกโดยส่วนตัว เน้นคลี่คลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลไทยยืนยัน ไม่อยากเห็นสงคราม ตนฝากรมว.กลาโหมกัมพูชาไปว่า เมื่อเราเข้าใจจุดยืนของแต่ละฝ่าย ก็อยากให้คุยกันแบบเฉพาะที่ ส่วนเรื่องอื่นเป็นสิทธิ์ของเขา แต่เรายืนยันว่า จะไม่นำเรื่องเข้าสู่ศาลโลก เพราะเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503
นายภูมิธรรมกล่าวว่า ข้อเสนอตนคือให้ถอยออกไปเหมือนปี 2024 ที่เคยตกลงกันไว้ ถอยออกไปบริเวณศาลาตรีมุข ถอยออกไปประมาณ 150-200 เมตร และการประชุมเจบีซีวันที่ 14 มิถุนายนต้องนำแผนที่มาคุยกัน ถ้าติดขัดไม่สามารถตกลงได้ ก็ให้ตัวแทน JBC ลงไปดูในสถานที่เกิดเหตุเพื่อสรุป ซึ่งกัมพูชาบอกว่า อยากหลีกเลี่ยงสงคราม ไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลาย จากข้อเสนอทั้งหมดที่ตนได้บอกไป จะบอกว่าเขาเห็นชอบก็ไม่ได้ แต่กัมพูชาบอกว่า เป็นข้อเสนอน่าสนใจ ฝากนำเรียนพล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เพื่อให้พิจารณา
ปภ.ย้ำ7จว.เหตุบานปลายอพยพได้ทันที
นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมการปกครองเผยถึงการเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดเหตุรุนแรงในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชาว่า ปกติเรามีแผนซักซ้อมเรื่องการอพยพอยู่แล้ว ได้กำชับเจ้าหน้าที่ 7 จังหวัดติดชายแดนไทย -กัมพูชา และถ้าสถานการณ์บานปลายอพยพได้ทันที ส่วนหลุมหลบภัย ยืนยันว่ามีจำนวนเพียงพอ โดยแต่ละพื้นที่ต้องกำหนดจุดที่ชัดเจน
เขมรซ้อมรบแค่แอคชั่น-ทร.พร้อมหนุนทบ.
อีกด้านมีความเคลื่อนไหวของเหล่าทัพที่พร้อมใจออกมาประกาศความพร้อมรับสถานการณ์ อย่าง พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผบ.ทร. กล่าวถึงการระวังป้องกันชายแดนทางทะเลไทย-กัมพูชา หลังกองทัพเรือกัมพูชาเตรียมซ้อมรบด้วยกระสุนจริงใกล้เกาะกูดของไทยว่า กองทัพเรือของกัมพูชาว่างเว้นจากการซ้อมรบมานาน พอมาถึงจุดนี้ ถ้าตนเป็นผบ.ทร.กัมพูชา เมื่อรัฐบาลเขาสั่งให้มีความพร้อม ก็เป็นแอคชั่นที่กัมพูชาต้องทำ อย่าไปตื่นเต้นตกใจว่าทำไมแอคชั่นตอนนี้ การซ้อมรบของฝั่งไทยเราไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ ฝึกทุกปีและฝึกมาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ส่วนการซ้อมรบครั้งนี้มีนัยยะอะไรหรือไม่นั้น ผบ.ทร. กล่าวว่า มีความชัดเจนอยู่แล้ว เพราะความตึงเครียดเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ทำให้ความตั้งใจของรัฐบาลมันถูกถ่ายทอดไปยังกองทัพต่างๆ สำหรับกองทัพเรือไทย เรามีพื้นที่ติดกับกัมพูชาตั้งแต่ จ.จันทบุรี ถึง จ.ตราด ซึ่งมีกองกำลังป้องกันชายแดนดูแลอยู่ ตนสั่งดูแลความพร้อมของทุกหน่วย ซึ่ง ผบ.กองกำลังได้ดำเนินการเรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องออกข่าว
ผบ.ทร.ยืนยันด้วยว่า ถ้าสถานการณ์ตึงเครียดมีคำสั่งจากรัฐบาลกองทัพเรือพร้อมสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก เรามีแผนแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับป้องกันชายแดน หรือแผนป้องกันประเทศ อยู่ที่สั่งการจากส่วนกลาง ถ้าสั่งมาเราก็พร้อมทำ แผ่นดินที่เป็นของไทย ก็ไม่ควรจะให้มีใครเข้ามาใช้ประโยชน์ เมื่อเขาเข้ามาเราก็ต้องผลักดันออกไป
กองบิน3สระแก้วซ้อมแผนกางม่านเหล็กฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบิน 3 จังหวัดสระแก้ว ซ้อมแผน “กางม่านเหล็กระบบป้องกันฐานบิน” ซึ่งไม่ใช่การซ้อมปกติ แต่คือการบูรณาการขีดความสามารถขั้นสูง เพื่อการป้องกันเชิงรุก ได้สนธิขีดความสามารถระบบตรวจจับทั้งภาคพื้นและอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ร่วมกับกำลังภาคพื้น และควบคุมทั้งหมดผ่านระบบบัญชาการและควบคุม (C2) สร้างเป็น “ม่านเหล็กป้องกัน” ที่มองไม่เห็นแต่มีอยู่จริง ทุกความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
“เสียงการฝึกซ้อม คือเสียงแห่งความมั่นคงปลอดภัย คือคำยืนยันว่าเราอยู่ที่นี่ เคียงข้างท่าน ขอให้ทุกท่านอุ่นใจและใช้ชีวิตตามปกติ ทหารอากาศทุกนายพร้อมเป็นเกราะกำบังให้ท่านเสมอ ไม่ให้ใครมารุกรานอธิปไตยของไทยอย่างแน่นอน”
ฉก.นย.ตราดฝึกทบทวนใช้อาวุธ
เช่นเดียวกับ ที่หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด ต.ตะกาง อ.เมือง จ.ตราด นาวาเอกภริศวร์ วงษ์เพ็ญศรี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด สั่งให้กองพันทหารราบหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด (พัน.ร.ฉก.นย.ตราด) ฝึกทบทวนการใช้อาวุธ และปฏิบัติการทางทหารเตรียมความพร้อมกำลังพลของหน่วย พร้อมรับภารกิจจากหน่วยเหนือทุกสถานการณ์ เมื่อมีการสั่งการปฏิบัติหน้าที่ชายแดน พร้อมกันนี้ ได้จัดกำลังพลเดินลาดตระเวนตรวจตราตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการรุกล้ำอธิปไตย และปรามปรามการกระทำผิดกฎหมายที่ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติ
กห.เขมรเมินคำขอถอยทหารพ้นช่องบก
วันเดียวกัน มีความเคลื่อนไหวของฝั่งทหารกัมพูชาต่อกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้หารือกับพล.อ.เตีย เซยฮา รองนายกฯและรมว.กลาโหมกัมพูชา เพื่อแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวานนี้ ( 5 มิถุนายน) โดยนายภูมิธรรม ให้สัมภาษณ์ว่า ไทยมีข้อเสนอให้ถอยออกไปเหมือนปี2024 ที่เคยตกลงกันไว้ ถอยออกไป 150-200 เมตร บริเวณศาลาตรีมุข โดยกัมพูชายังไม่เห็นชอบ และจะนำเสนอรัฐบาลต่อไป
โดยเพจเฟซบุ๊ก “กระทรวงกลาโหมกัมพูชา” โพสต์ข้อความกรณีดังกล่าวว่า จากการพูดคุยทั้งสองฝ่ายตกลงจะลดความตึงเครียด โดยรักษาการสื่อสาร ความเข้าใจ และการเจรจาอย่างสันติ เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ อย่างไรก็ตาม “ในส่วนของคำขอของฝ่ายไทย ให้กัมพูชาถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งในพื้นที่มอมเตย (ช่องบก) ซึ่งเกิดการสู้รบเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมนั้น ฝ่ายกัมพูชาขอปฏิเสธที่จะทำตามคำขอดังกล่าว” เนื่องจากจุดที่ตั้งดังกล่าวอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ซึ่งประจำการอย่างถาวรมาตั้งแต่ต้น ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถถอนทหารออกจากจุดที่ตั้งที่กองทัพกัมพูชาประจำการมาเป็นเวลานานและอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาได้
ย้ำส่ง4จุดพิพาทให้ศาลโลกตัดสิน
กระทรวงกลาโหมเขมรกล่าวด้วยว่า ตราบใดที่ไทยยังใช้แผนที่และมาตราส่วนที่แตกต่างกัน เราจะไม่สามารถหาจุดกึ่งกลางในการรักษาเสถียรภาพชายแดนได้ ฝ่ายกัมพูชายังยึดมั่นเคารพบันทึกความเข้าใจปี 2543 (MOU 2543) เช่นเดียวกับที่เคยทำมาในอดีต ดังนั้น กัมพูชาตัดสินใจเตรียมส่งพื้นที่พิพาททั้ง 4 แห่ง คือ มอมเตย ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโตช และปราสาทตาควาย ให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ยุติข้อพิพาทและกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน กัมพูชายอมรับเฉพาะสันติภาพ เสถียรภาพ และผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองฝ่ายเท่านั้น
ในเรื่องนี้ ฝ่ายไทยยังแสดงความเคารพต่อสิทธิของกัมพูชาในการยื่นประเด็นทั้ง 4 พื้นที่ดังกล่าวต่อศาลโลก นอกจากนี้ เรายังตกลงดำเนินกลไกเจรจาต่อไปในการประชุม GBC/JBC/RBC ในอนาคต
ผบ.ทบ.เขมรปัดข้อเสนออ้วนไม่ถอยทหาร
Khmer Times รายงานด้วยว่า ระหว่างการเจรจา ไทยเสนอให้กองทัพกัมพูชาถอนกำลังออกจากตำแหน่งปัจจุบันที่เป็นข้อพิพาท ให้กลับสู่สถานะเดิมในปี 2024 ก่อนที่สำนักงานร่วมจะถูกไฟไหม้เสียหายอย่างไรก็ตาม กัมพูชาปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างหนักแน่น โดยพล.อ.เซยฮายืนกรานว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตอธิปไตยกัมพูชา และอยู่ในการควบคุมของกัมพูชามานาน กัมพูชาไม่สามารถถอยจากจุดยืนนี้ได้ เนื่องจากไม่สามารถบรรลุความเข้าใจร่วมกันได้เหตุจากความขัดแย้งเกี่ยวกับแผนที่และมาตรฐานที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตชายแดน กัมพูชา จึงตัดสินใจยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการต่อ ICJ เพื่อตัดสิน 4 พื้นที่พิพาท โดย ย้ำว่าเพื่อแก้ไขข้อพิพาทอย่างสันติและถาวร กัมพูชายังคงยึดมั่นใน สันติภาพ เสถียรภาพ และ ผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน เขากล่าว และ เสริมว่า ไทยยอมรับสิทธิของกัมพูชาในการนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
พล.อ.เซยฮาระบุด้วยว่า แม้จะมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายกำลัง แต่สองประเทศ ก็ตกลงที่จะเจรจาต่อไปภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ สื่อกัมพูชา ยังระบุว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิเสธรายงานเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปิดจุดผ่านแดน และ การยกเลิกประชุม JBC ซึ่ง พล.อ.เซยฮา ระบุว่า รายงานข่าวนี้เป็นเท็จ และ ก่อให้เกิดการยั่วยุ อาจส่งผลเสียต่อขวัญ กำลังใจของทหาร และ ประชาชน 2 ฝั่ง
ระดมทหารนับหมื่น-อาวุธหนักเข้าช่องบก
รายงานข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงพื้นที่ชายแดนไทย –กัมพูชา บริเวณช่องบกเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีการเคลื่อนกำลังทหาร อาวุธหนัก เข้าพื้นที่ต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดกรณีแม่บ้านทหารกัมพูชาทำกิจกรรมบนปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ จนมีการโต้เถียงระหว่างทหารไทยกับเขมร ต่อมากัมพูชาเพิ่มกำลังทหารในพื้นที่ พร้อมนำอาวุธเข้ามาประจำการต่อเนื่องโดยมีกำลังพลมากกว่า 10,000 นาย แต่หลังเกิดเหตุปะทะช่องบก เขมรเพิ่มกำลังทหารเข้ามาอีกกว่า 3,000 นาย ทำให้มีทหารเขมรอยู่เต็มพื้นที่ช่องบก นอกจากนี้ ทหารเขมรนำอาวุธหนักตั้งเต็มพื้นที่ชายแดนกัมพูชา พร้อมหันปลายกระบอกปืนมายังฝ่ายไทย อุปกรณ์ต่างๆที่เขมรนำมา อาทิ -เครื่องยิงจรวด4ลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุก6ล้อและรถบรรทุกจรวด60ลูก1คัน จรวดหลายลำกล้อง RM-70 ขนาด122 มม. ปืนสั้น SH-1A ขนาด 155 มม. รถเรดาร์อุตุนิยมวิทยา702D รถถังรุ่น T-55 ปืนใหญ่ขนาด130มม.M-64 ปืนใหญ่ขนาด 122 มม. ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 23มม. ZU-23 จรวดต่อสู้อากาศยานระดับเพดานต่ำ QW-3
ภท.เอาด้วยติดแฮชแท็ก“ไทยนี้รักสงบฯ”
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวบนสื่อโซเชียบมีเดียว่า เพจเฟซบุ๊คของพรรคภูมิใจไทย รวมถึงของแกนนำ และสส.พรรคภูมิใจไทยทั้ง 69 คน อาทิ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม, นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย สส.อุบลราชธานี โฆษกพรรคภูมิใจไทย , นายภราดร ปริศนานันทกุล และนายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง เป็นต้น พร้อมใจลงภาพ อินโฟกราฟฟิก ติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด ส่งกำลังใจถึงทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
“อนุทิน”ร้องเพลงส่งกำลังใจทหารไทย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย โพสต์คลิปผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Anutin Charnvirakul ขณะที่นายอนุทินจับไมค์ร้องเพลงปลุกใจ พร้อมระบุข้อความ “พี่น้องจงแซ่ซ้องชาติไทย” เพื่อการแสดงออกถึงการให้กำลังใจเทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ พร้อมตอกย้ำจุดยืนผ่านแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด
รทสช.ปลุกปชช.ติดแฮชแท็ก’ไทยรักสงบฯ’
เพจเฟซบุ๊ก “พรรครวมไทยสร้างชาติ” โพสต์ข้อความ พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยร่วมแสดงออกด้วยการติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่ทหาร ในภารกิจปกป้องเอกราชและอธิปไตยของชาติ ขณะที่ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและรมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์ข้อความระบุว่า “#ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด”เช่นกัน
กมธ.ทหารสว.แถลงประณามเขมร
ที่รัฐสภา พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมด้วยกรรมาธิการฯ ร่วมแสดงจุดยืนผ่านแถลงการณ์ว่า
คณะกรรมาธิการทหารรู้สึกไม่สบายใจและรับรู้ถึงความไม่พอใจของประชาชนทั่วไป จึงขอประกาศจุดยืนของคณะกรรมาธิการต่อสถานการณ์แนวชายแดนไทย -กัมพูชา ขอประณามการกระทำอันไร้ความจริงใจและความพยายามเอารัดเอาเปรียบของฝ่ายกัมพูชา พร้อมเรียกร้องรัฐบาลดำเนินการทุกหนทางเพื่อปกป้องอธิปไตยและดินแดนของไทยเต็มความสามารถ และขอแสดงความห่วงใยต่อความปลอดภัยของประชาชนบริเวณแนวชายแดนไทยกัมพูชาที่
ลุยพื้นที่แจกยันต์-พระเครื่องปลุกขวัญทหาร
พล.อ.สวัสดิ์เผยด้วยว่า วันที่ 9-10 มิถุนายน นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้รวบรวมเงินช่วยเหลือทหารในพื้นที่ โดยมอบหมายให้พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 เดินทางไปภาพบประชาชนที่กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่2 แล้วไปดูสถานการณ์ในพื้นที่จริงตามแนวแดนตั้งแต่ปราสาทตาเมือนธม ผามออีแดงและช่องบก พร้อมให้กำลังใจทหารในพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางไปครั้งนี้ รองประธานวุฒิสภาจะนำวัตถุมงคลไปแจกให้ทหารด้วย ทั้งภาพพระเครื่อง ผ้ายันต์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ เหรียญหลวงพ่อรวย และเตรียมมอบพระกริ่งไพรีพินาศ ให้พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และพล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี