วันนี้ 10 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญ ดังนี้
กฎหมาย
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
1. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566 อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติทรัสต์ เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 พ.ศ. .... รวม 4 ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการรองรับการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการทุรกรรมต่าง ๆ ในตลาดทุน สร้างความชัดเจนในการกำกับดูแล และเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายโดยร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญ รวม 6 ประเด็น ได้แก่
1.1 เพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุน
1.2 แก้ไขเพิ่มเติมการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าให้มีความสอดคล้องกันและเป็นไปตามมาตรฐานสากล
1.3 เพิ่มการกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการประกอบกิจการ การประกอบวิชาชีพ หรือการให้บริการตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (คณะกรรมการ ก.ล.ต.)
1.4 เพิ่มบทบัญญัติโทษปรับเป็นพินัยสำหรับความผิดทางพินัยตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535
1.5 เพิ่มมาตรการคุ้มครองพยานในชั้นการตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานเจ้าหน้าที่
1.6 เพิ่มบทบัญญัติให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เป็นพนักงานสอบสวนและมีอำนาจสอบสวนในความผิดบางประเภท
ทั้งนี้ ประเด็นตามข้อ 1.4 และข้อ 1.6 กค. ได้ดำเนินการเสนอร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติหลักการเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 และปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของ สคก.
2. ต่อมาในชั้นการตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ รวม 4 ฉบับดังกล่าว สำนักงาน ก.ล.ต. มีความประสงค์ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่เกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ตามประเด็นการเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดทุนตามข้อ 1.1 แยกมาตราออกมาเป็นร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) เพื่อให้ใช้บังคับได้ก่อน ซึ่งจะสามารถรองรับการนำเทคโนโลยีทางการเงินมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุนได้ รวมทั้งจะช่วยอำนวยความสะดวกและสร้างความมั่นใจในการดำเนินกิจกรรมในตลาดทุนได้มากยิ่ง
3. คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 3) พิจารณาแล้วเห็นว่า บทบัญญัติในส่วนของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถแยกมาตราออกมาเป็นกฎหมายเพื่อใช้บังคับก่อนได้โดยไม่กระทบกับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ยังค้างการพิจารณาอยู่ จึงมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการของ สคก. ดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มบทบัญญัติเพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ และกำหนดบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อรองรับและส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์และการทำธุรกรรมในตลาดทุน รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน อันจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในสังคมดิจิทัลแห่งอนาคต โดยมีรายละเอียด สรุปได้ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
1. เพิ่มหมวด 2/1 หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (เพิ่มมาตรา 62/1-62/11 ในร่างมาตรา 3) เพื่อรองรับการออกหลักทรัพย์ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้กระบวนการออก การโอน การส่งมอบ และการวางหลักประกันหลักทรัพย์อยู่ในระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่มีการออกใบตราสารอีก |
|
1.1 การออกหลักทรัพย์โดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์และการรองรับหลักทรัพย์ที่ออกโดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/2) |
กำหนดให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดประเภทหลักทรัพย์ที่ให้ออกโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยให้มีผลบังคับตามกฎหมายเช่นเดียวกับหลักทรัพย์ที่เป็นเอกสาร และให้ถือว่ามีสถานะเป็นเอกสารต้นฉบับ ซึ่งผู้ใดจะปฏิเสธผลผูกพันทางกฎหมายของหลักทรัพย์ อิเล็กทรอนิกส์เพียงเพราะเหตุที่ได้ทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มิได้ |
1.2 ลักษณะของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/3) |
กำหนดลักษณะของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น มีรายการหรือข้อความตามที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนด มีการควบคุมสิทธิเกี่ยวกับการออก การโอน การนำไปเป็นหลักประกัน จนถึงการยกเลิกหรือเพิกถอนหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ และมีการรักษาความถูกต้องของรายการหรือข้อความในหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการรักษาความถูกต้องของรายการหรือข้อความที่ได้มีการแก้ไขหรือเพิ่มเติมขึ้นโดยชอบ |
1.3 การส่งมอบและการโอนหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/4) |
กำหนดให้บริษัท ที่ออกหลักทรัพย์ดำเนินการส่งมอบหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ออกใหม่ให้แก่ผู้ซื้อหลักทรัพย์โดยใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ที่ทำให้ผู้ซื้อหลักทรัพย์เป็นเจ้าของหลักทรัพย์โดยสามารถควบคุมสิทธิในหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นแต่เพียงผู้เดียวและสามารถระบุตัวตนของผู้ซึ่งมีสิทธิดังกล่าวได้ และให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อผู้โอนทำให้ผู้รับโอนเป็นเจ้าของหลักทรัพย์ดังกล่าวและให้ถือว่าบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ได้จัดทำใบหลักทรัพย์มอบให้แก่ผู้ซื้อตามแบบและวิธีการที่กฎหมายกำหนดแล้ว |
1.4 การจัดทำทะเบียนหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/5)
|
ㆍกำหนดให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์จัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อในทะเบียนดังกล่าวเป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น |
1.5 การมอบหมายให้บุคคลอื่นเป็นผู้มีสิทธิควบคุมหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/6)
|
ㆍกำหนดให้ในกรณีที่เจ้าของหลักทรัพย์รายใดมอบหมายให้บริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ซึ่งให้บริการรับฝากทรัพย์สินเป็นผู้มีสิทธิควบคุมหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์แทนตนเอง ให้ผู้รับมอบหมายดังกล่าวจัดทำบัญชีหลักทรัพย์ของเจ้าของหลักทรัพย์แต่ละรายแยกต่างหากจากกันและแยกต่างหากจากบัญชีหลักทรัพย์ของตนเองตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด และให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้มีชื่อตามบัญชีนั้น ๆ เป็นเจ้าของหลักทรัพย์นั้น |
1.6 การใช้หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็น ประกันการชำระหนี้ (ร่างมาตรา 62/7)
|
ㆍ กำหนดให้ใช้หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้มีผลสมบูรณ์และใช้ยันบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบุคคลภายนอกได้เมื่อได้มีการบันทึกการใช้หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักประกันโดยใช้วิธีการที่เชื่อถือได้ซึ่งรักษาความถูกต้องของข้อความและสามารถระบุตัวตนของคู่สัญญาได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด |
1.7 การบังคับชำระหนี้จากหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นหลักประกัน (ร่างมาตรา 62/8)
|
ㆍกำหนดให้การบังคับชำระหนี้จากหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นหลักประกัน ให้เจ้าหนี้บอกกล่าวไปยังลูกหนี้และผู้ให้ประกัน เพื่อให้มีการชำระหนี้ภายในเวลาอันควร ถ้าลูกหนี้และผู้ให้ประกันไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว เจ้าหนี้นี้มีสิทธินำหลักทรัพย์ที่เป็นประกันนั้น ออกขายโดยวิธีการที่สามารถทำให้ได้ในราคาที่เป็นธรรมตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำกับตลาดทุนประกาศกำหนด ㆍในกรณีที่หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์มีกำหนดเวลาชำระหนี้และหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ในวันถึงกำหนดโดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อนก็ได้ |
1.8 การขอหลักฐานแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/9)
|
ㆍกำหนดให้เจ้าของหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์อาจขอให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์ออกหลักฐานแสดงสิทธิในหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ในรูปเอกสารสิ่งพิมพ์ก็ได้ โดยต้องจัดทำขึ้นด้วยวิธีการที่เชื่อถือได้ที่แสดงได้ว่ามีข้อความหรือรายการครบถ้วนถูกต้องตรงกับข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการสร้างขึ้น รวมทั้งที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยชอบในหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ และให้ถือเป็นสำเนาเอกสารเท่านั้นและให้ถือว่าเป็นสำเนาเอกสารที่ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ |
1.9 การซื้อขายหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ (ร่างมาตรา 62/10) |
ㆍ กำหนดให้ซื้อขายหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์กำหนด แล้วแต่กรณี |
1.10 การเปลี่ยนหลักทรัพย์ที่เป็นใบตราสารเป็นหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 62/11) |
ㆍกำหนดรองรับหลักทรัพย์ในระบบเดิมที่มิใช่หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มีการออกไปแล้วก่อนวันที่คณะกรรมการ ก.ล.ต. ประกาศกำหนด ㆍในกรณีที่บริษัทที่ออกหลักทรัพย์และเจ้าของหลักทรัพย์ในระบบเดิมประสงค์จะเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่สำนักงาน ก.ล.ต. ประกาศกำหนด โดยให้ใบหลักทรัพย์ที่ออกเป็นเอกสารนั้นสิ้นผล และให้บริษัทที่ออกหลักทรัพย์เรียกคืนใบหลักทรัพย์ แต่ทั้งนี้ ไม่กระทบถึงเจ้าของหลักทรัพย์ในระบบเดิมที่ไม่ประสงค์จะเปลี่ยนและไม่ได้ความยินยอมไว้ล่วงหน้าให้เปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ |
2. เพิ่มบทกำหนดโทษกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (ร่างมาตรา 4-6) โดยให้คณะกรรมการเปรียบเทียบที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 317 วรรคหนึ่ง ในร่างมาตรา 6) |
|
2.1 กรณีบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ไม่จัดทำทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 273 ในร่างมาตรา 4) |
ㆍ ระวางโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 3,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง |
2.2 กรณีบริษัทที่ออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่เป็นไปตามลักษณะที่กำหนด (เพิ่มมาตรา 275/1 ในร่างมาตรา 5) |
ㆍระวางโทษปรับไม่เกิน 500,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง |
2.3 กรณีบริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ซึ่งให้บริการรับฝากทรัพย์สินไม่แยกบัญชีหลักทรัพย์ (เพิ่มมาตรา 275/2 ในร่างมาตรา 5) |
ㆍ ระวางโทษปรับไม่เกิน 300,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง |
3. กำหนดให้ร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป (ร่างมาตรา 2) |
ทั้งนี้ กค. สำนักงาน ก.ล.ต. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีหนังสือยืนยันเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่ได้ตรวจพิจารณาดังกล่าวด้วยแล้ว
4. สคก. และสำนักงาน ก.ล.ต. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) ระหว่างวันที่ 16-30 พฤษภาคม 2567 และผ่านเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (www.sec.or.th) ระหว่างวันที่ 21 พฤษภาคม - 4 มิถุนายน 2567 (รวม 20 วัน) มีผู้แสดงความคิดเห็น รวมจำนวน 15 ราย โดยส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และ สคก. ได้นำผลการรับฟังความคิดเห็นมาประกอบการพิจารณาในชั้นตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย ซึ่งมีผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สำนักนายกรัฐมนตรี กค. ดศ. พณ. สำนักงาน ก.ล.ต. ธ.ป.ท. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเข้าร่วมเป็นผู้ชี้แจงรายละเอียดด้วยแล้ว
5. สำนักงาน ก.ล.ต. ได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรี (19 พฤศจิกายน 2562) เรื่อง ดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติงานพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 พร้อมทั้งได้เผยแพร่ผลการรับฟังความคิดเห็นพร้อมการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) และเว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (www.sec.or.th) เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบแล้ว ดังนี้
(1) ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ผู้ออกหลักทรัพย์สามารถระดมทุนผ่านการออกหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์และทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องได้ครอบคลุมทั้งวงจร โดยเป็นการลดต้นทุน ลดระยะเวลา สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มประสิทธิภาพในการประกอบธุรกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้ออำนวยให้ผู้ประกอบธุรกิจและตลาดทุนไทยแข่งขันได้เชื่อมโยงสู่สากลได้รวดเร็ว และทำให้ผู้ลงทุนและกิจการเข้าถึงตลาดทุนได้สะดวกอันเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ
2) ผลกระทบต่อสังคม เป็นการรองรับพัฒนาการทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมของตลาดทุน อันเป็นการเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและให้ความคุ้มครองและความเชื่อมั่นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุน
กค.ได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์) รวมจำนวน 7 ฉบับ ดังนี้
ประเภทกฎหมายลำดับ |
ชื่อกฎหมายลำดับรอง |
1. ประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. จำนวน 2 ฉบับ
|
ㆍประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ว่าด้วยการกำหนดประเภทหลักทรัพย์ที่สามารถดำเนินการโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ㆍประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. ว่าด้วยรายการหรือข้อความที่หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ต้องมี |
2. ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน จำนวน 2 ฉบับ |
ㆍประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการใช้หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประกัน ㆍประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนว่าด้วยหลักเกณฑ์การนำหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นประกันออกขายเพื่อชำระหนี้ |
3. ประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. จำนวน 3 ฉบับ
|
ㆍประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการจัดให้มีทะเบียนผู้ถือหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ㆍประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกค้าที่บริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ให้บริการรับฝากทรัพย์สินรับฝากไว้ ㆍประกาศสำนักงาน ก.ล.ต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการในการดำเนินการเปลี่ยนเป็นหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ |
2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เป็นการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองเด็ก เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน และสอดคล้องกับหลักการของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่กำหนดบทบาทให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีหน้าที่และอำนาจในการดูแลและจัดทำบริการสาธารณะและกิจกรรมสาธารณะ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและการคุ้มครองเด็กในชุมชนรวมทั้งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติขึ้นใหม่ โดยกำหนดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กให้มีความชัดเจน เช่น การมีชีวิตอยู่รอด การได้รับความคุ้มครองจากการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดหน้าที่ของผู้ปกครองและหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาเด็ก ปกป้องคุ้มครองเด็กมิให้ตกในภาวะอันเกิดอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ รวมทั้งต้องให้เด็กมีพฤติกรรมที่ดี (เพิ่มเติมจากเดิมเพื่อกำหนดให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น) และหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่สนับสนุนหน้าที่ของผู้ปกครอง (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดให้มีคณะกรรมการแบ่งเป็น 3 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติทำหน้าที่ในการเสนอนโยบายและมาตรการในการคุ้มครองเด็ก (ปรับปรุงหน้าที่ให้เป็นเชิงบริหารมากยิ่งขึ้น) และคณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานครและคณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัดทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้ อปท. และหน่วยงานของรัฐในเขตจังหวัด (ปรับปรุงหน้าที่ในการกำกับดูแลการคุ้มครองเด็กให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น) นอกจากนี้ กำหนดให้มีสมัชชา คุ้มครองเด็กในกรุงเทพมหานครและจังหวัด ทำหน้าที่เสนอความเห็นเกี่ยวกับกลไกและกระบวนการคุ้มครองเด็กเพื่อประกอบการกำหนดนโยบายเสนอผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป (เดิมมิได้กำหนดไว้) และกำหนดหน้าที่และอำนาจของ อปท. ในการคุ้มครองเด็ก เช่น จัดทำแผนและงบประมาณในการคุ้มครองเด็ก จัดให้มีระบบฐานข้อมูลของเด็ก (เดิมมิได้กำหนดไว้) กำหนดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็ก โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน รัฐมนตรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดแต่งตั้งเพื่อทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัว (เดิมกำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่) เพื่อให้มีแนวปฏิบัติในการทำงาน กำหนดกระบวนการคุ้มครองเด็ก โดยให้ผู้พบเห็นเด็กอยู่ในภาวะเสี่ยงต้องให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งต่อพนักงานคุ้มครองเด็ก และให้พนักงานคุ้มครองเด็กสืบเสาะและพินิจแล้วหาวิธีการคุ้มครองเด็กที่เหมาะสม รวมทั้งส่งตัวเด็กไปอาศัยอยู่กับครอบครัวทดแทน กำหนดอำนาจของศาลในการคุ้มครองเด็ก โดยให้การพิจารณาคดีของเด็กและคู่กรณีไม่ต้องมีการเผชิญหน้ากัน และสอบถามทุกคนที่เกี่ยวข้องเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง รวมทั้งออกคำสั่งหรือกำหนดมาตรการเพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็ก เพื่อให้ศาลมีแนวปฏิบัติในกระบวนการพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนชัดเจน (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดมาตรการคุ้มครองเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำความผิดต้องได้รับการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ โดยให้จัดทำแผนบำบัดสุขภาพ พัฒนาการและพฤติกรรมของเด็ก และมาตรการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ต้องได้รับน้ำนมจากหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 เดือนและได้รับความคุ้มครองเมื่อมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองมากขึ้น (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งสถานรองรับเด็ก โดยอธิบดีมีอำนาจให้การรับรองสถานรองรับเด็กได้ ทั่วราชอาณาจักร และผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจให้การรับรองการจัดตั้งภายในเขตจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (เดิมการจัดตั้งสถานแรกรับทั่วประเทศดังกล่าวเป็นอำนาจของปลัดกระทรวง) กำหนดหน้าที่ของโรงเรียนและสถานศึกษา โดยต้องจัดให้มีระบบงานในการจำแนกคัดกรองเด็ก นักเรียนและนักศึกษา รวมทั้งให้ความร่วมมือต่อพนักงานคุ้มครองเด็กในการคุ้มครองเด็ก (กำหนดเพิ่มเติม) กำหนดหน้าที่ของนักเรียนและนักศึกษาต้องประพฤติตามระเบียบของโรงเรียนและตามที่กฎหมายกำหนดไว้ (คงเดิม) นอกจากนี้ กำหนดให้มี “กองทุนส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก” ในกรมกิจการเด็กและเยาวชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการส่งเสริมการคุ้มครองเด็ก รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในกระบวนการคุ้มครองเด็ก ซึ่งเงินและทรัพย์สิน เช่น เงินที่โอนมาจากกองทุนคุ้มครองเด็ก เงินที่รัฐบาลไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้พิจารณาเห็นชอบในเรื่องไม่นำเงินส่งคลังด้วยแล้ว ตามนัยมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (เดิมกำหนดให้มีกองทุนคุ้มครองเด็กในสำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อใช้เป็นทุนใช้จ่ายในการสงเคราะห์ คุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กและครอบครัวของเด็ก)
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ และได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นชอบด้วย รวมทั้งได้จัดทำแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรอง ที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 15 ฉบับ
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร พ.ศ. 2560 เพื่อกำหนดให้เขตท้องที่อำเภอเชียงของ และอำเภอเวียงแก่นเฉพาะในท้องที่ตำบลม่วงยาย และตำบลหล่ายงาว จังหวัดเชียงราย และอำเภอภูซาง เฉพาะในท้องที่ตำบลภูซาง จังหวัดพะเยา เป็นเขตควบคุมศุลกากรเพิ่มเติม (ปัจจุบันมีเขตท้องที่ในจังหวัดเชียงรายได้แก่ อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน เฉพาะในท้องที่ตำบลแม่คำและตำบลแม่จัน และอำเภอแม่สาย) เนื่องจากสภาพภูมิประเทศตามแนวชายแดนของเชียงราย และจังหวัดพะเยามีทั้งแนวแม่น้ำโขง ซึ่งลักษณะแม่น้ำมีระยะแคบ ตื้นเขิน และแนวสันเขาที่เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น การลักลอบนำของต้องห้าม ของต้องจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักร และมักกระทำการในยามวิกาล ซึ่งผู้กระทำผิด มีความคุ้นเคยกับสภาพพื้นที่เป็นอย่างดี ประกอบกับสภาพพื้นที่ที่เส้นทางเชื่อมต่อกับชุมชนและคาบเกี่ยวหลายท้องที่หลายพื้นที่ ซึ่งมีแนวตลิ่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ที่นา ไร่ สวน สลับพื้นที่สาธารณะที่ใช้ประโยชน์และป่ารกชัฏ ยากต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมทางศุลกากรทำให้การเข้าดำเนินการตรวจค้นจับกุมของพนักงานศุลกากรตามขั้นตอนปกติของกฎหมายอาจเกิดความล่าช้าไม่ทันเหตุการณ์ ประกอบกับสถิติการจับกุมการลักลอบนำเข้าสินค้ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องกำหนดให้ท้องที่ดังกล่าวเป็นเขตควบคุมศุลกากรเพื่อให้พนักงานศุลกากร มีอำนาจตรวจหรือค้นโรงเรือน สถานที่ ยานพาหนะ หรือบุคคลใด ๆ ไม่ว่าในเวลากลางวันหรือกลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้น และหากว่าบุคคลที่ถูกตรวจหรือค้นได้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวกับการศุลกากร และบุคคลนั้นไม่สามารถแสดงเหตุผล อันสมควรได้ ให้พนักงานศุลกากรมีอำนาจจับกุมบุคคลนั้นโดยไม่ต้องมีหมายจับเพื่อส่งพนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับศุลกากร
พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร |
ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตควบคุมศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... |
มาตรา 3 ให้เขตท้องที่ในจังหวัดเชียงรายดังต่อไปนี้ เป็นเขตควบคุมศุลกากร (1) อำเภอเชียงแสน (2) อำเภอแม่จัน เฉพาะในท้องที่ตำบลแม่คำและตำบล (3) อำเภอแม่สาย |
มาตรา 3 ให้เขตท้องที่ในจังหวัดเชียงรายดังต่อไปนี้เป็นเขตควบคุมศุลกากร (1) อำเภอเชียงของ (เพิ่ม) (2) อำเภอเชียงแสน (3) อำเภอแม่จัน เฉพาะในท้องที่ตำบลแม่คำและตำบลแม่จัน (4) อำเภอแม่สาย (5) อำเภอเวียงแก่น เฉพาะในท้องที่ตำบลม่วงยายและตำบลหล่ายงาว (เพิ่ม) |
เพิ่มขึ้นใหม่ |
มาตรา 8/1 ให้เขตท้องที่ในจังหวัดพะเยาดังต่อไปนี้เป็นเขตควบคุมศุลกากร (1) อำเภอภูซาง เฉพาะในท้องที่ตำบลภูซาง |
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทยกระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นชอบหรือไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวโดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น
1. กระทรวงคมนาคมเห็นว่า การเดินเรือในแม่น้ำ ลำคลอง ต้องเป็นไป ตามหลักเกณฑ์และข้อบังคับเกี่ยวกับการเดินเรือตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
2. กระทรวงอุตสาหกรรมเห็นว่า ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพของการตรวจสอบการลักลอบนำเข้าสินค้าควบคู่ไปด้วย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการตรวจจับความผิดปกติของรูปแบบการนำเข้าสินค้า และควรมีการประชาสัมพันธ์ร่างพระราชกฤษฎีกา ดังกล่าวอย่างทั่วถึง เพื่อป้องกันความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบการของผู้ประกอบการ/ประชาชนในพื้นที่ที่มีการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น
4. เรื่อง ผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและพิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. สำนักงานศาลยุติธรรมได้เสนอผลการพิจารณา เรื่อง ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... ของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยสรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้
1.1 การให้อำนาจแก่อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางในการออกข้อกำหนด ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาหรือปรับปรุงกระบวนพิจารณาของศาลได้โดยเร็วและไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บทที่ให้อำนาจไว้ รวมทั้งไม่ทำให้สิทธิในการต่อสู้คดีอาญาของจำเลยต้องลดน้อยกว่าที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย โดยปัจจุบันศาลภาษีอากรกลางได้จัดตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ และอยู่ระหว่างดำเนินการจัดทำร่างข้อกำหนดคดีภาษีอากรคู่ความสามารถยื่นคำฟ้อง อุทธรณ์หรือฎีกา ตลอดจนคำให้การ คำแก้อุทธรณ์และคำแก้ฎีกาได้ที่ศาลจังหวัดเพื่อส่งมายังศาลภาษีอากรกลาง รวมถึงหากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว สำนักงานศาลยุติธรรมจะดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสารสนเทศของสำนักงานศาลยุติธรรม ได้แก่ เพจเฟซบุ๊ก “สื่อศาล” และแอปพลิเคชันไลน์ “Inside COJ” รวมถึงจัดโครงการเผยแพร่ความรู้กฎหมายให้บุคลากรศาลยุติธรรมและประชาชนทั่วไปรับทราบถึงอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเพิ่มเติมขึ้นของศาลภาษีอากร
1.2 ในกรณีศาลภาษีอากรใช้อำนาจรับพิจารณาพิพากษาคดีอาญาเกี่ยวกับภาษีอากรสำหรับการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งบางกรรมไม่อยู่ในอำนาจของศาลภาษีอากร จำเลยสามารถแถลงไม่ว่าด้วยวาจาหรือยื่นเป็นคำแถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมได้ เมื่อจำเลยได้แถลงให้ศาลทราบถึงความไม่สะดวกหรือไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแล้ว หากศาลเห็นสมควร ศาลย่อมมีดุลพินิจในการสั่งแยกฟ้องได้ต่อไป
2. โดยที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (24 กันยายน 2567) เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาว่าเมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการตาม ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ จากหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำรายงานและข้อสังเกตดังกล่าวพร้อมทั้งผลการพิจารณา/ผลการดำเนินการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเสนอ คณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ และหากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่นหรือในระดับต่ำลงไป ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... กรณีการจัดตั้งสถานีตำรวจทางหลวง 3 และสถานีตำรวจทางหลวง 4 กองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวงและส่วนงานความเห็นทางคดีอาญา ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่น หรือในระดับต่ำลงไป ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้ง ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่นหรือในระดับต่ำลงไป ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการหรือหน่วยงานอย่างอื่นหรือในระดับต่ำลงไป ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2567 โดยมีสาระสำคัญ เป็นการจัดตั้งสถานีตำรวจทางหลวง 3 และสถานีตำรวจทางหลวง 4 หน่วยงานที่มีระดับต่ำกว่ากองบังคับการในกองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง และส่วนงานความเห็นทางคดีอาญา หน่วยงานระดับกองบังคับการ ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รวมถึงแก้ไขหน้าที่และอำนาจของฝ่ายอำนวยการ 7 กองบังคับการอำนวยการ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ดังนี้
1) จัดตั้งสถานีตำรวจทางหลวง 3 และสถานีตำรวจทางหลวง 4 ขึ้น ในกองกำกับการ 8 กองบังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อรองรับทางหลวงพิเศษสายใหม่ 2 เส้นทาง ดังนี้
สายทางหลวงพิเศษใหม่ |
ระยะทาง |
ผู้รับผิดชอบ |
เปิดให้บริการ |
1. ทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 (สายบางปะอิน - นครราชสีมา) |
ระยะทาง 196 กิโลเมตร |
สถานีตำรวจทางหลวง 3 |
กรกฎาคม 2569 |
2. ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 (สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี) |
ระยะทาง 96 กิโลเมตร |
สถานีตำรวจทางหลวง 4 |
สิงหาคม 2568 |
2) จัดตั้งส่วนงานความเห็นทางคดีอาญา หน่วยงานระดับกองบังคับการ ในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อรับผิดชอบการพิจารณาทำความเห็นคำสั่งของพนักงานอัยการที่เสนอมายังผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ในสำนวนการสอบสวนคดีอาญา คดีอุทธรณ์ หรือคดีฎีกาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกา หรือถอนฟ้อง ถอนอุทธรณ์ ถอนฎีกา ซึ่งเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกเขตกรุงเทพมหานครตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา หรือการพัฒนาพนักงานสอบสวนให้มีองค์ความรู้ด้านการสอบสวนคดีอาญาเนื่องจากปัจจุบันกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางไม่มีหน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพิจารณาทำความเห็นต่อคำสั่งของพนักงานอัยการตามมาตรา 145/1 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวเป็นการเฉพาะ รวมถึงจัดตั้งหน่วยงานภายในส่วนงานดังกล่าวประกอบด้วย 1) ฝ่ายอำนวยการ มีหน้าที่และอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับงานธุรการ งานสารบรรณ งานเลขานุการ หรืองานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของส่วนงานความเห็นทางคดีอาญา และปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 2) กลุ่มงานพิจารณาสำนวนคดีอาญา มีหน้าที่และอำนาจในงานธุรการและงานสารบรรณ ตรวจสอบสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่พนักงานอัยการเสนอผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อพิจารณามีความเห็นตาม ป.วิ.อ. มาตรา 145/1 และพัฒนาระบบงานสอบสวน
3) แก้ไขหน้าที่และอำนาจของฝ่ายอำนวยการ 7 กองบังคับการอำนวยการ สังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางโดยตัดหน้าที่และอำนาจในส่วนงานพัฒนาด้านการสอบสวนออก เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานเนื่องจากส่วนงานดังกล่าวได้กำหนดให้อยู่ในหน้าที่และอำนาจของส่วนงานความเห็นทางคดีอาญาที่จัดตั้งขึ้นตามร่างกฎกระทรวงฉบับนี้แล้ว
ทั้งนี้ ไม่ทำให้จำนวนตำแหน่งในภาพรวมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพิ่มขึ้น เนื่องจากใช้วิธีการปรับเกลี่ยตำแหน่งและกำลังพลภายในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติ วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม
6. เรื่อง ขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,309.76 ล้านบาท เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม ประกอบด้วย (1) โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 วงเงิน 848.66 ล้านบาท และ (2) โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 วงเงิน 461.10 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ
สาระสำคัญ
1.คณะรัฐมนตรีมีมติ (5 พฤศจิกายน 2567) อนุมัติงบประมาณปี 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 (ช่วงภัยวันที่ 14 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2567) จำนวน 8 โครงการ วงเงิน 2,553.01 ล้านบาท เช่น โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าว ของเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย (กรมการค้าข้าว) จำนวน 1,571.35 ล้านบาท และโครงการ ส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมงการเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อพลาสติกและในกระชังบก (กรมประมง) จำนวน 23.92 ล้านบาท
2. กษ. ได้ดำเนินการตามโครงการดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 31 ตุลาคม 2567 แต่งบประมาณในการดำเนินการที่ผ่านมาไม่เพียงพอกับการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงไม่ครอบคลุมกลุ่มเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ปี 2567 ช่วงภัยวันที่ 20 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2567 กษ. จึงได้จัดทำเรื่อง ขออนุมัติ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2568 เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการ ฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม เสนอศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) โดยในคราวประชุม ครั้งที่ 2/68 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 ที่ประชุม ศปช. มีมติเห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 1,989.72 ล้านบาท ตามที่ กษ. เสนอ โดยขอให้ กษ. ดำเนินการตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความโปร่งใส และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้ กษ. ได้ขอให้สำนักงบประมาณ (สงป.) และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ตรวจสอบความซ้ำซ้อน ความถูกต้องให้เป็นไปตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
3. เพื่อให้การช่วยเหลือครอบคลุมเกษตรกรทั่วประเทศ รวมทั้งช่วยให้ เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2567 สามารถฟื้นฟูและประกอบอาชีพทางการเกษตรได้อย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว รวมทั้งเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างขวัญกำลังใจให้เกษตรกรมีความมั่นใจว่า รัฐบาลเล็งเห็นความสำคัญของอาชีพเกษตรกรรมและมีความห่วงใยความเป็นอยู่ของเกษตรกร กษ. จึงขออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567เพิ่มเติม จำนวน 8 โครงการ วงเงิน 1,309.76 ล้านบาท โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
โครงการ/รายละเอียด |
งบประมาณ (ล้านบาท) |
1. การฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี 2567 (รวม 2 โครงการ) รวมวงเงิน 848.66 ล้านบาท |
|
(1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย (กรมการข้าว) วัตถุประสงค์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตของเกษตรกรลดต้นทุนการผลิตข้าว วิธีดำเนินการ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยเคมีและปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำให้แก่เกษตรกรตามพื้นที่ปลูกข้าวจริงที่ประสบอุทกภัย (ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่) ในพื้นที่ 58 จังหวัด (เช่น เชียงราย.บึงกาฬ) เพิ่มเติม ที่เกินจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 ระยะเวลาดำเนินการ พฤศจิกายน 2567 - มิถุนายน 2568 |
820.21 |
(2) โครงการส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง การเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อพลาสติกและในกระชังบก (กรมประมง) วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ด้านประมง ปี 2567 ในพื้นที่ 30 จังหวัด (เช่น ลำพูน พิษณุโลก) และส่งเสริมอาชีพเกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำในบ่อพลาสติกและในกระชังบก วิธีดำเนินการ สนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร ดังนี้ (2.1) พันธุ์ปลาดุก จำนวน 800 ตัว อาหาร สัตว์น้ำนำร่อง จำนวน 120 กิโลกรัม และบ่อพลาสติก ขนาด 3.5 x 6 เมตร จำนวน 1 ผืนต่อราย (2.2) พันธุ์ปลาดุก จำนวน 800 ตัว อาหารสัตว์น้ำนำร่อง จำนวน 120 กิโลกรัมและกระชังบก ขนาด 3 x 5.5 x 1.3 เมตร จำนวน 1 กระชังต่อราย และ (2.3) พันธุ์กบ จำนวน 800 ตัว อาหารสัตว์น้ำนำร่อง จำนวน 120 กิโลกรัม และกระชังบก ขนาด 2 x 4 x 1.2 เมตร จำนวน 1 กระชังต่อราย ระยะเวลาดำเนินการ พฤศจิกายน 2567 – กันยายน 2568 |
28.45 |
2. การฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 (รวม 6 โครงการ) รวมวงเงิน 461.10 ล้านบาท |
|
2.1 การฟื้นฟูอาชีพหลังน้ำลด (รวม 3 โครงการ) รวมวงเงิน 128 ล้านบาท |
|
(1) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ (กรมการข้าว) วัตถุประสงค์ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าวของเกษตรกรในพื้นที่ภาคใต้ วิธีดำเนินการ สนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าว สารชีวภัณฑ์ ปุ๋ยเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ชนิดน้ำให้แก่เกษตรกรตามพื้นที่ปลูกข้าวจริงที่ประสบอุทกภัย (ครัวเรือนละไม่เกิน 30 ไร่) ในพื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ (เช่น ยะลา สงขลา ชุมพร) ระยะเวลาดำเนินการ มกราคม – กรกฎาคม 2568 |
51.16 |
(2) โครงการส่งเสริมทางเลือกอาชีพด้านประมง เพื่อฟื้นฟูผู้ประสบ อุทกภัยภาคใต้ (กรมประมง) วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านประมงในพื้นที่ภาคใต้ ปี 2567 จำนวน 8 จังหวัด (เช่น ปัตตานี นราธิวาส) ให้กลับมาประกอบอาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่อไปได้ วิธีดำเนินการ สนับสนุนปัจจัยการผลิตให้กับเกษตรกร (เพื่อเลี้ยงในบ่อดิน) โดยเกษตรกรเลือกได้ 1 กิจกรรม ดังนี้ (1) พันธุ์ปลาดุก จำนวน 700 ตัว และอาหารสัตว์น้ำนำร่อง จำนวน 120 กิโลกรัม (2) พันธุ์ปลานิล จำนวน 700 ตัว และอาหารสัตว์น้ำนำร่อง จำนวน 120 กิโลกรัม ระยะเวลาดำเนินการ มกราคม - กันยายน 2568 |
62.40 |
(3) โครงการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยด้านปศุสัตว์ภาคใต้ ปี 2567 (กรมปศุสัตว์) วัตถุประสงค์ ส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงสัตว์ปีกและปลูกพืชอาหารสัตว์สำหรับลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ในครัวเรือนในระยะสั้นเร่งด่วน วิธีดำเนินการ สนับสนุน พันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิต (เกษตรกรเลือกได้ 1 เมนูอาชีพ ได้แก่ ไก่พื้นเมือง เป็ดเทศ และพืชอาหารสัตว์) โดยกรมปศุสัตว์จัดอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการและให้เกษตรกรจัดทำคำขอซื้อพันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิตตามรายการที่เลือกไว้ไปยังปศุสัตว์จังหวัดเพื่อพิจารณาอนุมัติการจัดซื้อดังกล่าวเมื่อเกษตรกรจัดซื้อพันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิตตามคำขอซื้อที่ปศุสัตว์จังหวัดอนุมัติแล้ว ให้ผู้ขายหรือคู่สัญญาส่งมอบพันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิต ณ พื้นที่ฟาร์มเกษตรกรตามโครงการดังกล่าว โดยเมื่อคณะกรรมการตรวจรับพันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิตได้ตรวจรับพันธุ์สัตว์ปีกและปัจจัยการผลิตครบถ้วนแล้ว ให้ลงลายมือชื่อเพื่อนำไปใช้ในการเบิกจ่ายเงินอุดหนุน ระยะเวลาดำเนินการ มกราคม – ธันวาคม 2568 |
14.44 |
2.2 การฟื้นฟูพื้นที่เกษตรและซ่อมแซมเครื่องจักรกลเกษตร (รวม 2 โครงการ) รวมวงเงิน 231.05 ล้านบาท |
|
(1) โครงการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรและปรับเปลี่ยนการผลิตตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 (กรมพัฒนาที่ดิน) วัตถุประสงค์ เพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงดินหลังน้ำลดและปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางการเกษตรตาม Agri-Map ให้เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินตามความเหมาะสมศักยภาพของพื้นที่ จำนวน 8 จังหวัด (เช่น ชุมพร ระนอง) วิธีดำเนินการ สนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อฟื้นฟูและปรับปรุงบำรุงดินหลังน้ำลด ได้แก่ พืชปุ๋ยสด ปุ๋ยหมัก และน้ำหมักชีวภาพปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ระยะเวลาดำเนินการ ธันวาคม 2567 - กันยายน 2568 |
33.25 |
(2) โครงการสกัดการระบาดของโรคแมลงศัตรูพืช และการสนับสนุน พันธุ์พืช และปัจจัยการผลิตเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567/2568 (กรมวิชาการเกษตร) วัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดภาคใต้จำนวน 10 จังหวัด (เช่น พัทลุง สงขลา) โดยการสนับสนุนพันธุ์พืชรวมถึงปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรสามารถประกอบอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง วิธีดำเนินการ (2.1) ใช้สารเคมีสกัดการระบาดของโรคและ แมลงศัตรูพืชฉุกเฉินในพื้นที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ (2.2) ฟื้นฟูและจัดการพืชหลัง น้ำลดด้วยสารชีวภัณฑ์ (2.3) พัฒนาอาชีพการเกษตร ดำเนินการสนับสนุน ก้อนเชื้อเห็ดเศรษฐกิจ และ (2.4) ซ่อมแซมและฟื้นฟูเครื่องจักรกลเกษตรขนาดเล็กหลังน้ำท่วม ระยะเวลาดำเนินการ เมษายน - กันยายน 2568 |
197.80 |
2.3 มาตรการลดภาระหนี้สินของสมาชิกสถาบันเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร (กรมส่งเสริมสหกรณ์) (1 โครงการ 2 กิจกรรม) รวมวงเงิน 102.05 ล้านบาท |
|
กิจกรรมที่ 1 การชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่เกษตรกรสมาชิกสหกรณ์/ กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือ บรรเทาภาระหนี้สินของสมาชิกสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ประสบอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 และผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย ช่วงภัย 20 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2567 วิธีดำเนินการ รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรแทนสมาชิกต้นเงินกู้ไม่เกิน 3 แสนบาท ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี เป็นระยะเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ส่วนต้นเงินกู้ที่เกินกว่า 3 แสนบาท คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติ |
52.05 |
กิจกรรมที่ 2 ชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินของสหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยภาคใต้ปี 2567 วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการช่วยเหลือชดเชยความเสียหายของทรัพย์สินสหกรณ์//ลุ่มเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ จากอุทกภัยภาคใต้ ปี 2567 ช่วงภัย 20 พฤศจิกายน - 31ธันวาคม 2567 วิธีดำเนินการ (1) จัดจ้าง ซ่อมแซมทรัพย์สิน ครุภัณฑ์ อุปกรณ์การผลิตและอุปกรณ์การตลาดของสถาบันเกษตรกร ที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ปกติ (2) จัดจ้าง ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคารสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เก็บพืชผลทางการเกษตร (3) จัดซื้อ ทดแทนทรัพย์สิน ครุภัณฑ์ อุปกรณ์การผลิตและอุปกรณ์การตลาดที่เสียหายและไม่สามารถใช้งานได้ |
50.00 |
4. สงป. ได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ กษ. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 1,309.76 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูเกษตรกรผู้ประสบอุทกภัย ปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 8 โครงการ สำหรับ 6 หน่วยรับงบประมาณ และขอให้ กษ. พิจารณาดำเนินการ ดังนี้
4.1 ให้ กษ. จัดทำรายละเอียด หลักเกณฑ์และวิธีดำเนินงาน โดยคำนึงถึงการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย/เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวนพื้นที่ให้ความช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกหรือทำการเกษตร และหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามความจำเป็นเหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ตลอดจน การกำหนดกลไกในการตรวจสอบในรูปแบบคณะกรรมการระดับต่าง ๆ ด้วยความรอบคอบ และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย
4.2 ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป
7. เรื่อง การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2568
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 3/2568 ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
ด้วยนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบกำหนดจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 3/2568 ณ จังหวัดพิษณุโลก และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 (ตาก พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ระหว่างวันจันทร์ที่ 23 - วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 โดยประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ในวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568 โดยมีบัญชามอบหมายภารกิจ ดังนี้
1. ประเด็นการตรวจราชการสำคัญ ประกอบด้วย (1) การส่งเสริมการค้า การลงทุนโครงข่ายคมนาคม และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนา และเมืองอัจฉริยะ (Smart City) (2) การพัฒนาการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานและยั่งยืน และเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการ (MICE CITY) (3) การยกระดับด้านการเกษตรเพิ่มมูลค่าและการตลาดที่ครบวงจรบนฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยี (4) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และสุขภาพครบวงจร (5) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และ (6) เสริมสร้างความมั่นคง ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน พัฒนาระบบเตรียมความพร้อมในภาวะวิกฤต และขยายความร่วมมือความสัมพันธ์กับต่างประเทศอย่างมีดุลยภาพ
2. มอบหมายคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรวบรวมข้อมูลการลงพื้นที่ของคณะรัฐมนตรี
3. มอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ซึ่งกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 เป็นประธานประชุมบูรณาการการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสนอประเด็นและวาระการพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ณ จังหวัดพิษณุโลก ทั้งนี้ มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย เป็นฝ่ายเลขานุการ
4. การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีและวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี มอบหมายสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเตรียมสถานที่จัดการประชุมคณะรัฐมนตรี ดำเนินการจัดประชุม ตลอดจนรวบรวม กลั่นกรองข้อเสนอโครงการ/แผนงานสำหรับวาระกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ที่จะนำเสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี
5. การตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี มอบหมายสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีร่วมกับกระทรวงมหาดไทย จัดทำกำหนดการตรวจราชการในภาพรวมของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันจันทร์ที่ 23 - วันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2568
6. การอำนวยความสะดวก มอบหมายสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมการและอำนวยความสะดวกด้านที่พักของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การเดินทาง และกำหนดการในภาพรวมของนายกรัฐมนตรี
7. การรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มอบหมายสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประสานกับศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย ในการดูแลการรับเรื่องร้องเรียนและปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
8. การประชาสัมพันธ์ มอบหมายกรมประชาสัมพันธ์ สำนักโฆษก และโฆษกกระทรวงดำเนินการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้แก่ประชาชน
9. การรักษาความปลอดภัย มอบหมายกองทัพภาคที่ 3 และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักวางแผนและรักษาความปลอดภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
8. เรื่อง ข้อเสนอแนะกรณีพนักงานบริการในสถานบริการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะกรณีพนักงานบริการในสถานบริการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐ ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เสนอ และมอบหมายให้กระทรวงแรงงานเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องนี้ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว โดยให้กระทรวงแรงงานสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
1. กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการว่า รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดและมาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบอาชีพของกลุ่มแรงงานที่ทำงานในสถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะทำให้ต้องหยุดงานชั่วคราว ไม่มีรายได้เลี้ยงชีพ ในขณะที่มาตรการช่วยเหลือเยียวยาเป็นไปด้วยความล่าช้าและมีข้อจำกัดในการเข้าถึง โดยเฉพาะ “โครงการเยียวยาผู้ประกันตนในกิจการสถานบันเทิงและผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ” ซึ่งพนักงานบริการไม่สามารถขอรับการเยียวยาได้ เนื่องจากข้อจำกัดด้านคุณสมบัติและลักษณะการทำงานที่ต้องได้รับการรับรองจากสมาคมหรือสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิง รวมทั้งมีการกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรวมถึงพนักงานบริการต้องขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 พร้อมทั้งชำระเงินสมทบก่อน จึงจะมีสิทธิ์ได้รับการเยียวยาอันมีลักษณะบังคับให้เข้าระบบประกันสังคมการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวส่งผลให้เกิดการเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงการเยียวยาด้วยเหตุสถานะความเป็นผู้ประกันตนของพนักงานบริการในกิจการสถานบันเทิง จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
2. กสม. ตรวจสอบแล้วพบว่าการดำเนินการตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ของรัฐ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานบริการที่เป็นสถานบันเทิงและกลุ่มแรงงานในกิจการดังกล่าวทำให้ไม่มีรายได้เลี้ยงชีพ ไร้ที่อยู่อาศัยและขาดแคลนอาหารส่งผลกระทบต่อสิทธิในการทำงานและมาตรฐานการครองชีพ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา 27 วรรคสาม และวรรคสี่ บัญญัติให้การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องสถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือเหตุอื่นใดจะกระทำมิได้ และมาตรา 74 บัญญัติให้รัฐส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทำงานอย่างเหมาะสม และพึงคุ้มครองผู้ใช้แรงงานให้ได้รับรายได้ สวัสดิการ การประกันสังคมและสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การดำรงชีพ สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ข้อ 2 ข้อ 6 ข้อ 7 ข้อ 9 และข้อ 11 ที่กำหนดให้การรับรองสิทธิทั้งหลายในกติกานี้โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าในเรื่องสถานะอื่นใดสิทธิในการทำงานที่ตนเลือกอย่างเสรีในสภาพการทำงานที่ยุติธรรม มีสวัสดิการทางสังคมและการประกันสังคม ตลอดจนสิทธิในมาตรฐานการครองชีพที่เพียงพอสำหรับตนเองและครอบครัว
3. นอกจากนี้ ด้วยข้อจำกัดในการใช้จ่ายเงินกู้และการพิสูจน์สถานะของการทำงานในกิจการสถานบันเทิงในช่วงเวลาดังกล่าว ประกอบกับมีแรงงานหลากหลายประเภททั้งลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว และผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งรวมถึงพนักงานบริการด้วย จึงทำให้ไม่สามารถแก้ไขเยียวยาผู้ได้รับความเสียหายเพิ่มเติมได้ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต และเพื่อเป็นการคุ้มครองแรงกลุ่มนี้ ให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง กสม. ได้เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้
3.1 กำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ
3.2 เปิดโอกาสให้ภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วม
3.3 ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาแรงงานในกิจการสถานบริการและกฎหมายที่สอดคล้องกับสภาพการทำงานและการจ้างงาน เพื่อคุ้มครองแรงงานในกิจการดังกล่าวเป็นการเฉพาะ ให้ได้รับสิทธิและสวัสดิการด้านแรงงานและการประกันสังคมตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
9. เรื่อง ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับค่าไฟฟ้า ประจำเดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2567
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นภายในกรอบวงเงิน 1,418.01 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย
ด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2567 โดยเป็นกรอบวงเงินของ กฟน. วงเงิน 222.96 ล้านบาท และ กฟภ. วงเงิน 1,195.05 ล้านบาท และให้ กฟน. และ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (23 กรกฎาคม 2567) เห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ซึ่งให้ช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ที่เป็นกลุ่มเปราะบาง ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ถึงเดือนธันวาคม 2567 และต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) อนุมัติให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 472.67 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2567
2. ในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงเสนอขอรับการจัดสรร งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,418.01 ล้านบาท เพื่อดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่าย ด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม – ธันวาคม 2567 โดยเป็นกรอบวงเงินของ กฟน. จำนวน 222.96 ล้านบาท และเป็นกรอบวงเงินของ กฟภ. จำนวน 1,195.05 ล้านบาท ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป และขอให้ มท. โดย กฟน. และ กฟภ. จัดทำแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
10. เรื่อง โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ดำเนินโครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการฯ) ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ตามหลักการของโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ที่คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (คณะกรรมการนโยบายฯ) ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่ ทอท. เสนอแล้ว
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เป็นผู้ดำเนินการบริหารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยในส่วนของการให้บริการคลังสินค้า ทอท. ได้ให้สิทธิการประกอบกิจการแก่ผู้ประกอบการจำนวน 2 ราย ดังนี้ (1) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บริษัท การบินไทยฯ) (ผู้ประกอบการรายที่ 1) หมดสัญญาปี 2583 และ (2) บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (ผู้ประกอบการรายที่ 2) หมดสัญญาปี 2569 ซึ่งตามนัยมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด (ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้มีผู้ประกอบการรายที่ 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชนโดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571) ประกอบกับปัจจุบันปริมาณการจราจรทางอากาศจำนวนของผู้โดยสาร ปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศ และการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการฯ ของผู้ประกอบการทั้ง 3 ราย มีศักยภาพรองรับปริมาณสินค้าสรุปได้ ดังนี้
ผู้ประกอบการ |
ปริมาณสินค้าที่สามารถรองรับได้ต่อปี (ล้านตัน) |
ผู้ประกอบการรายที่ 1 (หมดสัญญาปี 2583) |
1.20 |
ผู้ประกอบการรายที่ 2 (หมดสัญญาปี 2569) |
0.55 |
ผู้ประกอบการรายที่ 3 (ปัจจุบันอยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกเอกชน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571)
|
0.53 |
รวมทั้งสิ้น |
2.28 |
หมายเหตุ : ปัจจุบันสามารถรองรับสินค้าได้จำนวน 1.75 ล้านตันต่อปี (ไม่รวมผู้ประกอบการรายที่ 3 เนื่องจากยังไม่เปิดให้บริการ) |
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ปริมาณสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิพบว่า ในปี 2570 จะมีปริมาณสินค้าจำนวน 1.67ล้านตัน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกปี ดังนั้น หากผู้ประกอบการรายที่ 2 หมดสัญญา ในปี 2569 แล้วยังไม่สามารถพิจารณาให้สิทธิการประกอบกิจการแก่ผู้ประกอบการรายที่ 2 รายใหม่ก่อนสัญญากับรายเดิมจะสิ้นสุดลงจะทำให้เหลือเพียงบริษัท การบินไทยฯ ผู้ประกอบการรายที่ 1 เพียงรายเดียว ที่ให้บริการคลังสินค้า ซึ่งจะไม่เพียงพอกับความต้องการในการใช้บริการคลังสินค้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพิจารณาให้สิทธิกับผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติเหมาะสมล่วงหน้า ก่อนที่อายุสัญญาของผู้ประกอบการรายที่ 2 จะสิ้นสุดลง ซึ่งสอดลดล้องกับที่พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 มาตรา 49 ที่บัญญัติให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำแนวทางการดำเนินโครงการภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนสิ้นสุดลงอย่างน้อย 5 ปี ก่อนที่สัญญาจะสิ้นสุด
2. โครงการให้บริการคลังสินค้า ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (โครงการฯ) ของผู้ประกอบการ
รายที่ 2 มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
2.1 มูลค่าโครงการ : 15,253 ล้านบาท [ประเมินจากผลรวมของ (1) ค่าผลประโยชน์ตอบแทน (2) ค่าเช่าพื้นที่ (3) ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง และ (4) ค่าลงทุนอุปกรณ์และระบบ]
2.2 ระยะเวลาดำเนินโครงการ : 20 ปี นับจากวันส่งมอบพื้นที่ (รายละเอียดการส่งมอบพื้นที่จะพิจารณาอีกครั้งในชั้นของการคัดเลือกเอกชน)
2.3 รูปแบบการลงทุน : ร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในรูปแบบ PPP Net Cost เนื่องจากเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนที่มีความคุ้มค่าของเงิน (VFM) มากที่สุดโดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
หน่วย : ล้านบาท
รายการวิเคราะห์ VfM |
กรณีรัฐดำเนินการเอง (PSC) |
กรณีการให้เอกชนร่วมลงทุน |
||
รูปแบบ PPP Net Cost |
รูปแบบ PPP Gross Cost |
รูปแบบ PPP Modified Gross Cost |
||
ความคุ้มค่าของเงิน (Value for money) |
(3,100.76) |
1,723.79 |
676.90 |
234.77 |
โดยเอกชนมีหน้าที่จัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ รวมทั้ง การดำเนินงานและบำรุงรักษาโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ส่วนภาครัฐมีหน้าที่จัดหาที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการและกำกับดูแลและติดตามตรวจสอบคุณภาพ การดำเนินงานโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 ทั้งนี้ เอกชนจะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรายได้ของโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 และเป็นผู้รับความเสี่ยงทางด้านรายได้โดยตรงโดยจะต้องจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ภาครัฐเป็นรายปีตามเงื่อนไขที่กำหนด [กำหนดให้เอกชนจ่ายค่าผลประโยชน์ตอบแทนโดยเปรียบเทียบกันระหว่างค่าส่วนแบ่งรายได้ ร้อยละ 10 ของรายได้ต่อเดือน และค่าตอบแทนขั้นต่ำในจำนวนที่แน่นอน (เอกชนจะเป็นผู้เสนอในขั้นตอนการคัดเลือกเอกชน) โดยเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ให้เอกชนจ่ายให้ภาครัฐในรายการที่มีมูลค่าสูงกว่า]
2.4 ประมาณการรายได้โครงการ : เอกชนจะมีรายได้ตลอดอายุโครงการ 20 ปี ประมาณ 42,205.17 ล้านบาท
2.5 ประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ : ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ของผู้ประกอบการรายที่ 2 จำนวน 34,161.76 ล้านบาท ประกอบด้วย (1) ค่าลงทุนสิ่งปลูกสร้าง อุปกรณ์ และระบบ จำนวน 1,120 ล้านบาท (2) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา จำนวน 33,041.76 ล้านบาท (เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบจัดหาเงินทุนเพื่อใช้จ่ายตามกิจกรรมดังกล่าวทั้งหมด)
2.6 ความคุ้มค่าทางการเงิน/ทางเศรษฐศาสตร์
ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางการเงิน (อัตราคิดลดร้อยละ 3) |
|
ผลตอบแทนการลงทุนของผู้ลงทุนเอกชน |
|
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ [Net Present Value: (NPV)] |
1,465.30 ล้านบาท |
อัตราผลตอบแทนทางการเงิน [Financial Internal Rate of Return (FIRR)] |
ร้อยละ 22.54 |
ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) |
4 ปี 11 เดือน |
อัตราส่วนผลประโยชน์ตอบแทนต่อเงินลงทุน [Benefit/Cost Ratio (B/C Ratio)] |
2.15 เท่า |
ผลตอบแทนการลงทุนของ ทอท. |
|
มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของค่าผลประโยชน์ตอบแทนทั้งหมดที่ ทอท. ได้รับ |
4,919.72 ล้านบาท |
ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (อัตราคิดลดร้อยละ 12) |
|
มูลค่าปัจจุบันของผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (Economic NPV) |
18,844.87 ล้านบาท |
อัตราผลตอบแทนภายในทางเศรษฐศาสตร์ [Economic Internal Rate of Return (ERR)] |
ร้อยละ 66.08 |
อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อค่าใช้จ่าย (B/C) |
|
3. กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนพิจารณาแล้ว เห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป. เห็นว่า ควรมีการจัดทำแผนการปฏิบัติงานในภาพรวมของโครงการ เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้
11. เรื่อง การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF1 และ FIDF3
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (บัญชีสะสมฯ) ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เพิ่มเติม จำนวน 13,820 ล้านบาท โดยให้กองทุนๆ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุน ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ
สาระของเรื่อง
1. คณะรัฐมนตรีเคยมีมติอนุมัติให้โอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนฯ เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF11 และ FIDF32 มาแล้ว รวม 25 ครั้ง (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 - 2568) วงเงินรวมทั้งสิ้น 260,222 ล้านบาท โดยครั้งล่าสุดในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ คณะรัฐมนตรีมีมติ (11 ธันวาคม 2567) อนุมัติให้โอนเงิน ของกองทุนๆ เข้าบัญชีสะสมฯ โดยเป็นการนำส่งเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 2,000 ล้านบาท (กองทุนฯ ได้นำส่งเงินจำนวนดังกล่าวชำระหนี้ครบถ้วนแล้วเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2567) และหากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป
2. ในเดือนพฤษภาคม 2568 กองทุนฯ จะได้รับเงินปันผลจากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) รวมจำนวน 12,409 ล้านบาท รวมกับเงินส่วนแบ่งจากกองทรัพย์สินของสถาบันการเงินที่ล้มละลาย จำนวน 1,411 ล้านบาท รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 13,820 ล้านบาท กองทุนฯ จึงเห็นควรให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้กองทุนฯ โอนเงินที่จะได้รับดังกล่าวเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 สำหรับปีงบประมาณ 2568 เพิ่มเติม ทั้งจำนวน โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ
_______________________________________________________________
1FDF1 เป็นการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ กค. กู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541
2FIDF3 เป็นการชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยที่ กค. กู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545
12. เรื่อง ขออนุมัติผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อให้กรมชลประทาน ดำเนินโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำ ชั้นที่ 1 เอ1 จำนวนเนื้อที่ 550 ไร่ 3 งาน 2 ตารางวา ดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดน่าน (โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีฯ) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ ดังนี้
1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2529 เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เรื่องการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน]
2. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมเมื่อปี พ.ศ. 2560 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพระราชดำริให้กรมชลประทานและสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อ ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ร่วมกันพิจารณาจัดหาแหล่งน้ำให้แก่โรงเรียนมัธยมพระราชทานเฉลิมพระเกียรติและโรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวไม่มีแหล่งน้ำต้นทุนเพื่อสนับสนุนการอุปโภค-บริโภค และทำการเกษตร ต้องอาศัยน้ำฝนตามฤดูกาลซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ กรมชลประทานจึงได้พิจารณาเสนอแนวทาง การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำน้ำรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้กับพื้นที่อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดน่าน (โครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีฯ) โดยโครงการดังกล่าวจะช่วยให้สามารถเก็บกักน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการอุปโภค-บริโภค เพิ่มขึ้นเฉลี่ย ปีละประมาณ 1.32 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้เกิดการลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค รวมทั้งจะช่วยให้ส่งน้ำเพื่อการเกษตรในพื้นที่ 22,100 ไร่ ในเขตอำเภอเฉลิมพระเกียรติ อำเภอทุ่งช้าง และอำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน ส่งผลให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ จำนวน 12,007 ครัวเรือน อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าว มีพื้นที่ทั้งหมด 1,245 ไร่ 2 งาน 65 ตารางวา เป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดอยภูคาและป่าผาแดง รวม 1,161 ไร่ 57 ตารางวา [ดำเนินการขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.)) และมีพื้นที่อ่างเก็บน้ำบางส่วนทับซ้อนกับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ จำนวนเนื้อที่ 550 ไร่ 3 งาน 72 ตารางวา ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ (21 ตุลาคม 2529) กำหนดห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง และมีมติ (12 ธันวาคม 2532) ไม่อนุมัติให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำขั้นที่ 1 เอ อีก ไม่ว่ากรณีใด ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) จึงขอให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติผ่อนผันยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเพื่อให้กรมชลประทานเข้าใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ดังกล่าวสำหรับดำเนินการโครงการอ่างเก็บน้ำน้ำรีฯ
2. ทส. กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ (สงป.) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และสำนักงาน กปร. พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้องตามที่กษ. เสนอ โดยหน่วยงานข้างต้นและกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีความเห็นเพิ่มเติมสรุปได้ดังนี้
ประเด็น |
ความเห็นเพิ่มเติม |
การดำเนินการตาม มาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง |
ให้ กษ. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (รายงาน EIA) อย่างเคร่งครัดเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอนามัยของประชาชนในพื้นที่ (ทส. ส. สทนช. และสำนักงาน กปร.) - นำความเห็นคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณา ซึ่ง กก.วล. มีความเห็น ดังนี้ (1) เห็นควรศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่มีพิษ เนื่องจากสาหร่ายดังกล่าว สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่เป็นน้ำนิ่ง หากมีการสร้างอ่างเก็บน้ำเสร็จอาจเกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศจากสาหร่ายดังกล่าวได้ และ (2) เห็นควรสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมในแผนส่งเสริมการเกษตรโดยเน้นเกษตรปลอดภัย เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนวิถีการทำการเกษตรได้มากขึ้นและเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ (ทส.) |
งบประมาณ |
ค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการดำเนินการ ให้ กษ. โดยกรมชลประทาน จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป (สงป.) |
13. เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทยปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบัน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้กับผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ ในอัตรา 2,500 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา
ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษ แต่มีลักษณะงานต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ เช่น พนักงานประจำขบวนรถไฟที่ต้องทำขบวนรถไฟเข้า - ออก ในพื้นที่พิเศษ
ช่างซ่อมบำรุงเส้นทางและระบบอาณัติสัญญาณ ผู้ปฏิบัติงานด้านมวลชนสัมพันธ์ ตลอดจนหน่วยขบวนรถพิเศษช่วยอันตรายกรณีเกิดเหตุอันตรายในพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นในเขตพื้นที่พิเศษอยู่เป็นประจำ ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานของ รฟท. ตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม รฟท. ยังจำเป็นต้องเดินขบวนรถไฟเข้าไปในพื้นที่พิเศษดังกล่าวเพื่อให้บริการประชาชนในพื้นที่และเพื่อตอบสนองภารกิจของ รฟท. ในการดำเนินการให้บริการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้า เพื่อประโยชน์ของประชาชนและตอบสนองนโยบายรัฐในการให้บริการขนส่ง รวมถึงในปัจจุบันมีภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและค่าครองชีพสูงทำให้ผู้ปฏิบัติงานเหล่านี้มีความยากลำบากในการดำรงชีวิต จึงต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ดังนั้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ จึงเห็นควรปรับปรุงค่าเสี่ยงภัยในอัตราใหม่และจ่ายค่าเสี่ยงภัยเพิ่มเติมให้แก่กลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษ แต่มีลักษณะงานต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษ ดังนี้
1.1 ปรับปรุงการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานประจำสำนักงานในพื้นที่พิเศษ จำนวน 219 คน จากอัตรา 2,500 บาทต่อคนต่อเดือนเป็น 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน ทั้งนี้ กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ไม่เต็มเดือน หากมีระยะเวลา ตั้งแต่ 15 วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการพิเศษในอัตรา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.2 จ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานอยู่นอกพื้นที่พิเศษแต่มีลักษณะงานต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษแต่ไม่อยู่ในเงื่อนไขได้รับเงินสวัสดิการพิเศษรายเดือน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะงาน ดังนี้
1.2.1 ผู้ปฏิบัติงานที่ปฏิบัติงานประจำขบวนรถไฟ จำนวน 115 คนต่อวัน (22 ขบวนรถ) เช่น พนักงานขับรถ ช่างเครื่อง พนักงานรักษารถ ซึ่งต้องทำขบวนรถผ่านเข้าไปในพื้นที่พิเศษ ทั้งที่เข้า - ออกพื้นที่ในวันเดียวกัน และที่ต้อง พักค้างคืน ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการพิเศษในอัตรา 233.33 บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ 15 วันขึ้นไปให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน
1.2.2 ผู้ปฏิบัติงานที่มีที่ตั้งของสำนักงานตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดสงขลา (นอกเหนือจาก 5 อำเภอ ที่ถูกกำหนดเป็นพื้นที่พิเศษ ตามประกาศกระทรวงการคลัง) และงานซ่อมสร้างสะพานที่ 4 ฝ่ายการช่างโยธา (มีขอบเขตความรับผิดชอบในพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงพื้นที่พิเศษ แต่สำนักงานตั้งอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราช) ซึ่งไม่ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษ แต่มีความจำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่พิเศษเป็นครั้งคราว จำนวน 165 คน ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา 233.33 บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ กรณีปฏิบัติงานในพื้นที่ 15 วันขึ้นไป ให้มีสิทธิได้รับเงินในอัตรา 3,500 บาทต่อคนต่อเดือน
2. รฟท. แจ้งว่า การปรับปรุงการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษในครั้งนี้ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิม จำนวน 1,357,768.98 บาทต่อเดือน หรือ 16.29 ล้านบาทต่อปี
3. คค. พิจารณาแล้วไม่ขัดข้องกับการปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ของ รฟท. ในครั้งนี้ โดยเห็นว่า รฟท. ได้ให้ความสำคัญกับเจ้าหน้าที่กลุ่มผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่งและได้วางแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว นอกจากนี้ จะเป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในเรื่องค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นและอาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยจูงใจให้มีบุคลากรไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่
4. คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย ในคราวประชุมครั้งที่ 13/2565 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2565 (อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เป็นประธาน) และคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในคราวประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2566 [รองปลัดกระทรวงแรงงาน (นายวรรณรัตน์ ศรีสุขใส) เป็นประธาน] มีมติเห็นชอบการปรับเพิ่มเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ และการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษเพิ่มเติมให้กับผู้ปฏิบัติงานที่มีสำนักงานอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย แต่เข้าไปปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามที่เสนอในครั้งนี้แล้ว
5. สำนักงาน ก.พ. พิจารณาแล้ว เห็นชอบในหลักการการปรับปรุงการจ่ายเงินสวัสดิการพิเศษให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ รฟท. โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบ
14. เรื่อง รายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 4/2568
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 4/2568 ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดศ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้จัดประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (คณะกรรมการฯ) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานฯ ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2568 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงาน กสทช. สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อบูรณาการการทำงานและขับเคลื่อนการแก้ปัญหาภัยออนไลน์
สำหรับผลการดำเนินงานที่สำคัญในระยะ 30 วันมี ดังนี้
1. การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนมีนาคม 2568
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์และมีคดีสำคัญ รวมทั้งเร่งรัดจับกุมผู้กระทำผิดที่เกี่ยวข้อง ในเดือนมีนาคม 2568 ดังนี้
1) การจับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทุกประเภท ในเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 4,907 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 96.67 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 2,495 ราย รายต่อเดือนในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม 2567
2) การจับกุมคดีพนันออนไลน์ ในเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 1,933 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 81.67 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 1,064 รายต่อเดือน ในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม 2567
3) การจับกุมคดีบัญชีม้า ซิมม้า และความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ในเดือนมีนาคม 2568 มีจำนวน 710 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 195.83 เมื่อเทียบกับการจับกุมเฉลี่ย 240 รายต่อเดือนในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – เดือนมีนาคม 2567
2. การปิดกั้นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ผิดกฎหมาย และเว็บไซต์พนันออนไลน์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ดำเนินการปิดกั้นโซเชียลมีเดียและเว็บไซต์ผิดกฎหมายปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีผลการดำเนินการ ดังนี้
1) ดำเนินการประสานการปิดกั้นเว็บไซต์ผิดกฎหมายประเภทพนันออนไลน์จำนวน 43,195 ราย ประเภทหลอกลวงออนไลน์ จำนวน 1,164 ราย และอื่น ๆ จำนวน 34,041 รายการ รวมทั้งสิ้นจำนวน 78,400 รายการ
2) ดำเนินการประสานการปิดกั้นแพลตฟอร์ม (Facebook/YouTube/X/TikTok) เกี่ยวกับเนื้อหาที่ผิดกฎหมายและหลอกลวงออนไลน์ แบบมีคำสั่งศาลแจ้งขอปิดกั้น จำนวน 8,692 ราย และไม่มีคำสั่งศาล จำนวนแจ้งขอการปิดกั้น จำนวน 25,643 รายการ
3. มาตรการแก้ไขปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด และตัดตอนการโอนเงิน
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ มีดังนี้
1) มีการระงับบัญชีม้า โดยศูนย์ AOC 1441 ระงับบัญชีภายใน 7 วัน รวมจำนวน 359,763 บัญชี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568)
2) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ทำการอายัดบัญชีไปแล้วกว่า 753,373 บัญชี (ข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2568)
4. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน
สำนักงาน กสทช. ได้ดำเนินมาตรการฯ ดังนี้
1) มาตรการระงับการให้บริการ Wi-fi Calling ระบบเติมเงิน (ชั่วคราว)
2) ตรวจสอบการลงทะเบียนใช้งาน SIM Card หลังการปรับปรุงระบบลงทะเบียนใช้งาน SIM Card
3) มาตรการตรวจสอบความเป็นเจ้าของสัญญาณและตัดสายที่ลักลอบใช้งาน
4) ระงับการให้บริการโทรคมนาคมกับคู่สัญญาที่พบการกระทำผิดและตรวจสอบการนำบริการโทรคมนาคมไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
5) มาตรการการจัดการบริการส่งข้อความสั้น (SMS) แบบ A2P (Application to Person) โดยลงทะเบียนใช้งาน Sender Name และตรวจสอบความถูกของ Link ก่อนส่งทั้งหมด
6) มาตรการการลงทะเบียน SIM box หากไม่ลงทะเบียนภายในเดือนเมษายน 2568 จะปิดการใช้งาน
7) มาตรการการห้ามลูกตู้รับลงทะเบียนเปิดใช้งาน SIM Card
8) มาตรการกำกับการใช้งาน e-SIM ห้ามจำหน่าย e-SIM ผ่านระบบ Online
สำหรับผลการดำเนินการตามมาตรการระงับ IP Address สำนักงาน กสทช. ได้แจ้งผู้ให้บริการระงับการให้บริการ IP Address ที่มีการกระทำความผิดตามคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นการชั่วคราว ซึ่งเป็นของผู้รับใบอนุญาต จำนวน 10 ราย จำนวนทั้งสิ้น 465 IP Address และผลการดำเนินการตามมาตรการลงทะเบียน Sender Name การตรวจสอบ SMS แนบลิงก์ URL มีดังนี้
1) จำนวนผู้ให้บริการส่งข้อความสั้น จำนวน 43 ราย
2) ผู้ให้บริการฯ ส่งข้อมูลลงทะเบียน Sender Name แล้ว จำนวน 28 ราย
3) ผู้ให้บริการฯ แจ้งว่ายังไม่เปิดให้บริการ จำนวน 13 ราย
4) อยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์เปิดให้บริการ จำนวน 2 ราย
5. มาตรการ Mobile Cleansing
สำหรับความคืบหน้าการดำเนินมาตรการ Mobile Banking เมื่อมีการดำเนินการในระยะที่ 1 เสร็จสิ้น ขั้นตอนแรก ภาคธนาคารจะส่งข้อมูลผู้ใช้ Mobile Banking ที่เป็นปัจจุบันจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 ไปยังผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Operator) และขั้นตอนที่ 2 โอเปอร์เรเตอร์จะนำข้อมูลส่งผ่านระบบของสำนักงาน ปปง. ไปตรวจสอบกับข้อมูลลูกค้าของตนเองว่าอยู่ในกลุ่มใดจากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2568 ธนาคารส่งข้อมูลผู้เปิดใช้ Mobile Banking เพื่อให้โอเปอร์เรเตอร์ตรวจสอบอีกครั้ง และให้ธนาคารเริ่มดำเนินการตรวจสอบผลและเริ่มระงับการใช้บริการ Mobile Banking ในเดือนมิถุนายน 2568
6. การเตรียมความพร้อมเพื่อบังคับใช้พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เตรียมการดำเนินการตามพระราชกำหนดฯ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
1) การเชื่อมโยงข้อมูล (มาตรา 4) การแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อดำเนินการประเมินผลและรายงานผลกำหนดเหตุอันสมควรสงสัย ความพร้อมระบบ CFR (Central Fraud Registry) ของสถาบันการเงิน ระบบ TPO (Thai Police Online) ของ ตร.
2) การกำหนดมาตรฐานหรือมาตรการเพื่อการป้องกัน (มาตรา 4/1) เพื่อประโยชน์ในการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.)
3) กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (มาตรา 4/2) การป้องกัน ยับยั้ง การทำธุรกรรม และซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับอนุญาต
4) การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) (มาตรา 8/5) พิจารณาความพร้อมดำเนินการในทุกมิติ
5) การคืนเงินผู้เสียหาย ตามที่พระราชกำหนดฯ กำหนดให้สำนักงาน ปปง. ดำเนินการเป็นหลัก ซึ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลของ ศปอท. ตามที่กฎหมายกำหนด
ทั้งนี้ สำนักงาน ปปง. เตรียมจัดตั้งคณะทำงานยกร่างกฎกระทรวง เพื่อคืนเงินแก่ผู้เสียหาย ซึ่งออกตามความในมาตรา 8/1 และมาตรา 8/2 ของพระราชกำหนดฯ และเตรียมจัดตั้งกองเพิ่มเติม เพื่อรองรับการตรวจสอบธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ที่ปัจจุบันพบว่ามีเงินค้างอยู่ในบัญชีที่มีการระงับช่องทางการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ไว้ จำนวนกว่า 80,000 บัญชี เป็นจำนวนเงินกว่า 2,500 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 22 เมษายน 2568) เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องเร่งเยียวยาเหยื่ออาชญากรรมออนไลน์โดยเร็ว
7. การตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
ตามมาตรา 8/5 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 กำหนดให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) ซึ่งเป็นการยกระดับศูนย์ AOC 1441 โดย “ศปอท.” จะเป็นกลไกหลักในการรับแจ้งเหตุ รับคำร้องทุกข์ สั่งระงับธุรกรรมทางการเงิน ประสานงานวิเคราะห์ข้อมูล และสามารถดำเนินคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว ครบวงจร และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้
1) ปรับโครงสร้างศูนย์ AOC 1441 และเพิ่มบุคลากรให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการปฏิบัติงาน และการแต่งตั้งหัวหน้า ศปอท.
2) จัดทำระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการมาตรการต่าง ๆ ตามพระราชกำหนดฯ (ด้านการแสดงผลหรือสถานะ การสั่งการ การวิเคราะห์ การติดตาม และการรายงาน)
3) แนวทางการดำเนินการภายในของหน่วยงาน และการดำเนินการของหน่วยงานอื่นที่มาปฏิบัติหน้าที่ ศปอท. กระบวนการขั้นตอนการสั่งการ หลักเกณฑ์ และวิธีดำเนินการ ตามอำนาจหน้าที่ของ ศปอท.
4) การรับแจ้งเหตุของ ศปอท. ให้ถือเป็นการร้องทุกข์โดยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ ของผู้เสียหาย (การประสานข้อมูลร่วมกับ ตร. ในการปรับกระบวนการแจ้งความ)
5) ประสานงานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดส่งผู้แทนเข้าร่วมปฏิบัติงาน
8. มาตรการกำกับดูแลแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศ
ภายหลังพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 มีผลบังคับใช้ Binance Global ได้ประกาศเลิกให้บริการ P2P (Peer to Peer) สำหรับเงินบาท เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดดังกล่าว สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ และส่งข้อมูลแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อเป็นข้อมูลให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พิจารณาดำเนินการปิดกั้นช่องทางการเข้าถึงแพลตฟอร์ม
ในการนี้ ภายหลังที่พระราชกำหนดฯ ทั้ง 2 ฉบับ มีผลบังคับใช้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งรัดการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชกำหนดฯ โดยการบูรณาการยกระดับ ศูนย์ AOC 1441 เป็นศูนย์ “ศปอท.” ซึ่งจะครอบคลุมในการดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอาชญากรรมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการเตรียมออกกฎกระทรวง เพื่อการบังคับใช้ในการกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ บัญชีม้าและซิมม้า และเร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ระงับบัญชีม้า ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ รวมทั้งการเยียวยาผู้เสียหายต่อไปดนประเท่องเสาการฟอกเงิน 1 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2568 มีผลการดำเนินการ
15. เรื่อง รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่ง พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - มกราคม 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 (พระราชบัญญัติตำรวจฯ) ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2567 - มกราคม 2568 และเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งล้อม (ทส.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) และสำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการในระยะต่อไปให้แล้วเสร็จ ตามระยะเวลาที่กำหนด ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของ สคก. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักงาน ก.พ.ร รายงานว่า
1. พระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2565 โดยมาตรา 165 บัญญัติให้ภายในสองปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (ภายในวันที่ 16 ตุลาคม 2567) ให้ประธาน ก.พ.ร. เชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันพิจารณาเพื่อดำเนินการให้หน่วยงานดังกล่าวรับผิดชอบในการป้องกันและปราบปรามการสืบสวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายนั้น ๆ ทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่จะได้ตกลงกัน โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการบูรณาการในการปฏิบัติหน้าที่ และการแบ่งเบาภารกิจของ ตร. และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือนซึ่งสำนักงาน ก.พ.ร. ได้รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีมาแล้ว 5 ครั้ง
2. ความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจฯ ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม 2567 - มกราคม 2568 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ประธาน ก.พ.ร. เป็นประธานในการประชุมหารือร่วมกันระหว่าง ทส. กษ. อก. ตร. และ สคก. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2568 ได้ข้อยุติร่วมกัน ดังนี้
2.1 ให้โอนภารกิจการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวน (ก่อนการจับกุม) และการจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จาก ตร. ไปยัง ทส. กษ. และ อก. ซึ่งกฎหมายให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาภายใต้กรอบกฎหมาย 11 ฉบับ ได้แก่ (1) พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 (2) พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 (3) พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. 2545 (4) พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 (5) พระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 (6) พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. 2558 (7) พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 (8) พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 (9) พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตต์การประมงไทย พ.ศ. 2482 (10) พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ (11) พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 สำหรับภารกิจด้านการสอบสวนนั้นให้ตำรวจรับผิดชอบดำเนินการตามเดิม ทั้งนี้ ยังคงให้ตำรวจช่วยดำเนินการในกรณีปฏิบัติการในภารกิจฉุกเฉิน เร่งด่วน หรือปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
2.2 มอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการ ดังนี้
(1) ให้ ตร. เร่งปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ บก.ปทส. ให้สอดคล้องกับภารกิจที่ลดลงโดยเกลี่ยอัตรากำลังไปปฏิบัติงานในภารกิจที่ขาดแคลนอัตรากำลังและนโยบายที่มีความจำเป็นเร่งด่วนด้านอื่น ๆ เพื่อแบ่งเบาภารกิจของ ตร. และเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาการเปลี่ยนแปลง บก.ปทส. ของ ตร. พ.ศ. …. ตามขั้นตอนการเสนอกฎหมายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 16 ตุลาคม 2568 รวมทั้งจัดทำแผนพัฒนาเจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานีตำรวจท้องที่เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินภารกิจด้านการสอบสวนคดีเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งล้อมในระดับพื้นที่ให้เสร็จภายในเดือนมีนาคม 2568 และรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
(2) ทส. กษ. และ อก. ดำเนินการตามคู่มือหรือแนวทางการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้จัดทำเรียบร้อยแล้วและรายงานผลการดำเนินการให้สำนักงาน ก.พ.ร. ทราบภายในเดือนมีนาคม 2568 เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ต่างประเทศ
16. เรื่อง รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 56
คณะรัฐมนตรีรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย- มาเลเซีย ครั้งที่ 56 เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 ณ กรุงเทพมหานคร ตามที่ กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
กห. รายงานว่า ฝ่ายไทยและฝ่ายสหพันธรัฐมาเลเซีย (มาเลเซีย) ได้ร่วมกันจัดการประชุม GBC ไทย - มาเลเซีย อย่างต่อเนื่อง และเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาเลเซียได้เดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการและเข้าร่วมการประชุม GBC ไทย – มาเลเซีย เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นด้านความมั่นคงและการทหารรวมถึงกระชับความสัมพันธ์ ตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือทางทหารในระดับทวิภาคีระหว่าง กห. ของไทยและมาเลเซีย โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
หัวข้อ |
สาระสำคัญ |
ความก้าวหน้าการดำเนินงาน
|
1) รับทราบความก้าวหน้าของคณะกรรมการฝึกร่วม/ผสม ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2565 ถึง 28 มกราคม 2568 ทั้งนี้ การฝึกด้านการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและ 2) ความร่วมมือในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซียโดยเฉพาะบริเวณแม่น้ำโก - ลก รวมทั้งปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 3) ความร่วมมือด้านการข้ามพรมแดน ฝ่ายไทยยินดีดำเนินการจดทะเบียนเรือหางยาวในแม่น้ำโก - ลก |
ประเด็นหารือของฝ่ายไทย |
1) ความร่วมมือด้านการบรรเทาสาธารณภัยด้านอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนไทย - มาเลเซีย โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ตลอดสองแนวฝั่งของแม่น้ำโก - ลก ควรมีแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือและระบบแจ้งเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ 2) การผ่อนผันการเดินทางเข้า - ออกผ่านแดนตามช่องทางธรรมชาติ โดยชื่นชม |
ประเด็นหารือของฝ่ายมาเลเซีย |
ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาการใช้ระบบตรวจคนเข้าเมืองอัตโนมัติ ณ จุดผ่านแดนทางบก และขอให้คณะทำงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายร่วมพิจารณาแนวทางการปฏิบัติ |
ประเด็นการมอบหมายคณะกรรมการระดับสูง |
1) ให้พัฒนาแนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการข่าว โดยนำระบบข่าวกรอง 2) ให้ดำรงการปฏิบัติการร่วม การฝึกร่วม และการลาดตระเวนร่วม รวมทั้ง 3) ให้หน่วยงานความมั่นคงทั้งสองฝ่ายเข้มงวดการผ่านแดนโดยผิดกฎหมาย 4) ให้เพิ่มความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติอย่างจริงจัง โดยร่วมกันพัฒนาระบบการแจ้งเตือนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นความเร่งด่วนลำดับแรก 5) ให้จัดการฝึกร่วม/ผสม ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 5 เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ รวมทั้งความปลอดภัยด้านไซเบอร์ โดยเชิญประเทศสมาชิกอาเซียนและมิตรประเทศเข้าร่วมการฝึก |
ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกการประชุม GBC ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 56 และฝ่ายมาเลเซียรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ครั้งที่ 57
17. เรื่อง การรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ ครั้งที่ 5
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ดังนี้
1. ให้ประเทศไทยรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) ครั้งที่ 5 และเห็นชอบให้ สมช. สามารถปรับปรุงถ้อยคำในเอกสารได้หากมิใช่การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบอีก
2. ให้นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวดำเนินการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
เรื่องนี้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้ประเทศไทยรับรอง (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับอนุภูมิภาคว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงข้ามชาติ ครั้งที่ 5 (ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ) และเห็นชอบให้รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์) ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวในระหว่างวันที่ 30 - 31 กรกฎาคม 2567 ณ จังหวัดบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ดำเนินการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นการก่อการร้ายและการเผยแพร่แนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงในภูมิภาค โดยเฉพาะการเผยแพร่ผ่านช่องทางออนไลน์ในกลุ่มเยาวชน รวมทั้งสถานการณ์ภัยคุกคามในภูมิภาคที่มีแนวโน้มขยายตัวและมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น การโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การค้ามนุษย์ ความมั่นคงทางไซเบอร์ และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เป็นต้น รวมทั้งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานและแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศของแต่ละประเทศสมาชิกเพื่อให้ประเทศอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ตามบริบทของตน ตลอดจนเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือภายในภูมิภาคในการรับมือและต่อต้านภัยคุกคามร่วมกัน ในการนี้กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรมสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาแล้วไม่มีข้อขัดข้อง รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
18. เรื่อง ขอความเห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ฉบับ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้วอนุมัติตามที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบต่อร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจำนวน 2 ฉบับ
1.1) ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาการแพทย์แผนจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
1.2) ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการพิเศษ เพื่อความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ทั้งนี้ ในกรณีที่ร่างหนังสือแสดงเจตจำนง ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวข้างต้น มีความจำเป็นต้องปรับปรุงถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้โดยการหารือกับกระทรวงการต่างประเทศ และไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาอีกครั้ง
2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างหนังสือแสดงเจตจำนง ทั้ง 2 ฉบับ ตามข้อ 1.
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษาฯ และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ฉบับ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาการแพทย์แผนจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Letter of Intent on Jointly Implementing the Cooperation Program on Traditional Chinese Medicine Science, Technology and Innovation between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science and Technology of the People’s Republic of China) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการทำวิจัยร่วมในด้านทฤษฎีการแพทย์แผนจีนการวิจัยและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาด้านมาตรฐาน แพลตฟอร์มการบ่มเพาะ การประยุกต์ใช้ทางเทคนิคของการวิจัยและบำบัดด้วยการแพทย์แผนจีน การฝึกอบรมบุคลากร และการอนุรักษ์วัฒนธรรมการแพทย์แผนจีน รวมถึงการจัดตั้งห้องปฏิบัติการร่วมและส่งเสริมการสร้างเครือข่าย Belt and Road ด้านนวัตกรรมการแพทย์แผนจีนโดยมีระยะเวลา 3 ปี ภายหลังจากการลงนาม
2.ร่างหนังสือแสดงเจตจำนงว่าด้วยการดำเนินการร่วมภายใต้โครงการพิเศษเพื่อความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Letter of Intent between the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Science and Technology of the People’s Republic of China on Jointly Implementing Special Program for Science, Technology and Innovation Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดำเนินความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมในสาขาที่เกี่ยวข้อง 4 ด้าน ประกอบด้วย (1) เทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนผลวิจัยด้านเทคโนโลยีสีเขียว เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ (2) นวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการ มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือ เช่น การพัฒนานวัตกรและผู้ประกอบการ (3) การบรรเทาความยากจนด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และแนวปฏิบัติที่ดี และการจัดฝึกอบรม และ (4) ข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ความสำคัญกับการทำวิจัยร่วม และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะมีระยะเวลา 3 ปี ภายหลังจากการลงนาม
19. เรื่อง ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียว่าด้วยความร่วมมือในสาขาสาธารณสุข (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้ สธ. เป็นผู้ใช้ดุลพินิจในเรื่องนั้น ๆ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้ง และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่าง สธ. กับกระทรวงสาธารณสุขราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย (ร่างบันทึกความเข้าใจฯ) โดยมีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองประเทศในสาขาต่าง ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพ การแพทย์ทางไกล การศึกษาด้านการแพทย์ และสาขาอื่น ๆ ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ฝึกการอบรม หรือการวิจัยร่วมกัน โดยแต่ละฝ่ายจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการในส่วนของตนเอง ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ลงนาม และจะต่ออายุโดยอัตโนมัติในระยะเวลาเท่ากันเว้นแต่ผู้เข้าร่วมฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งความประสงค์ที่จะยุติหรือไม่ต่ออายุบันทึกความเข้าใจฯ
ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีความเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย สามารถปฏิบัติได้ภายใต้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยจะเป็นกลไกส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองหน่วยงานให้มีความเข้มแข็งและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ในการสนับสนุนและการพัฒนาการดูแลสุขภาพและการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนของทั้งสองประเทศต่อไป
2. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง ส่วนกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่โดยที่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย จึงเข้าข่ายที่เสนอคณะรัฐมนตรีได้ตามนัยมาตรา 4 (7) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
20. เรื่อง การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 เรื่อง การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอ ดังนี้
1. ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2567 (เรื่อง การทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียน) เพื่อปรับปรุงขยายขอบเขตให้ครอบคลุมประเภทเอกสาร และเงื่อนไขใหม่โดยหากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่มติคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบของไทย โดยไม่ต้องนำเอกสารดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 4 (7) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 โดยมีรายละเอียดครอบคลุมเอกสารทั้งหมด ดังนี้
1.1 เอกสารระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่เลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ลงนามในนามอาเซียน ในฐานะองค์การระหว่างประเทศระดับรัฐบาล ซึ่งไม่ก่อพันธกรณีต่อประเทศสมาชิก โดยจะต้องเข้าเงื่อนไขทั้ง 6 ประการ
1.2 เอกสารระดับรัฐมนตรีลงมาของอาเซียน หรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก ซึ่งประกอบด้วย 5 เอกสาร โดยจะต้องเข้าเงื่อนไขทั้ง 8 ประการ ดังนี้
(1) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง เช่น แถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ปฏิญญา (Declaration) แถลงการณ์ของประธานหรือประธานร่วม (Chairman’s Statement/Co – Chair’s Statement)
(2) แผนงาน (Work Plan) และแผนดำเนินการ (Plan of Action) ของอาเซียน หรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก
(3) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรายงานข้อเท็จจริง/ข้อสรุปของการประชุมหรือการหารือ เช่น Report, Summary Record, Summary of Discussion
(4) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่ออธิบาย/ชี้แจงรายละเอียดของข้อเสนอหรือข้อริเริ่มใหม่เพื่อประกอบการพิจารณา เช่น Concept Note, Concept Paper, Non - Paper, Information Paper
(5) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางหรือแนวปฏิบัติร่วมกัน เช่น Terms of Reference, Rules of Procedures, Guidelines, Guidance
1.3 ร่างหนังสือให้ความยินยอม (Letter of Consent) ต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia: TAC) (สนธิสัญญา TAC) โดยรัฐที่จะภาคยานุวัติสนธิสัญญา TAC ต้องเข้าข่ายหลักเกณฑ์ 6 ประการ
2. ให้ กต. เป็นผู้รวบรวมผลการดำเนินการและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ ปีละ 1 ครั้ง หลังการประชุมสุดยอดอาเซียน การประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้องในช่วงปลายปี หรือมากกว่าปีละ 1 ครั้ง หากมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนหรือเหตุสำคัญที่จะต้องรายงานคณะรัฐมนตรีเป็นกรณีพิเศษ (เพื่อปรับปรุงขยายขอบเขตประเภทเอกสารในกรอบอาเซียนที่ไม่ต้องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางปฏิบัติภายหลังการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 ในวันที่ 26 พฤษภาคม 2568)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการทบทวนแนวปฏิบัติการดำเนินการภายในของไทยในการพิจารณาให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียนตามมติคณะรัฐมนตรี (16 กรกฎาคม 2567) ที่ไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 4 (7) ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีเคยเห็นชอบไว้แล้วจำนวน 2 เอกสาร และในครั้งนี้ขอปรับปรุงขยายขอบเขตให้ครอบคลุมประเภทเอกสารใหม่อีก จำนวน 5 เอกสาร รวมทั้งสิ้น จำนวน 7 เอกสาร รวมทั้งมีการปรับปรุงเงื่อนไขในแต่ละประเภทเอกสาร โดยหากเข้าข่ายตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยไม่ต้องนำเอกสารดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรี ดังนี้
เอกสารเดิม ตามมติคณะรัฐมนตรี (16 กรกฎาคม 2567) |
เอกสารที่ขอปรับปรุงขยายขอบเขต ตามข้อเสนอในครั้งนี้ |
(1) เอกสารระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก (ตามเงื่อนไข 5 ประการ) |
(1) คงเดิม (ตามเงื่อนไข 6 ประการ) |
(2) แผนงาน (Work Plan) และแผนดำเนินการ (Plan of Action) ระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก ที่ไทยต้องร่วมรับรอง (ตามเงื่อนไข 5 ประการ) |
เอกสารระดับรัฐมนตรีลงมาของอาเซียนหรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอก (ตามเงื่อนไข (2) แผนงาน (Work Plan) และแผนดำเนินการ (Plan of Action) ของอาเซียน หรือระหว่างอาเซียนกับภาคีภายนอกที่ไทย ต้องร่วมรับรอง (3) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง เช่น แถลงการณ์ร่วม ปฏิญญา (4) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อรายงานข้อเท็จจริง/ข้อสรุปของการประชุมหรือการหารือ เช่น Report, Summary Record (5) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่ออธิบาย/ชี้แจงรายละเอียดของข้อเสนอหรือข้อริเริ่มใหม่เพื่อประกอบการพิจารณา เช่น Concept Note, Concept Paper (6) เอกสารที่จัดทำขึ้นเพื่อกำหนดแนวทางหรือแนวปฏิบัติร่วมกัน เช่น Terms of Reference, Rules of Procedures, Guidelines, Guidance (7) ร่างหนังสือให้ความยินยอม (Letter of Consent) ต่อการภาคยานุวัติสนธิสัญญา TAC |
ทั้งนี้ การทบทวนและกำหนดแนวปฏิบัติใหม่สำหรับการดำเนินการภายในของไทยเพื่อให้ความเห็นชอบเอกสารในกรอบอาเซียนจะเป็นการลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการภายในของไทยให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งลดภาระและปริมาณงานที่ไม่จำเป็นแก่คณะรัฐมนตรี
2. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่มีข้อขัดข้อง สำหรับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) พิจารณาแล้วเห็นว่า การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายในของไทย มิได้มีการทำความตกลงระหว่างประเทศ กรณีจึงไม่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แต่งตั้ง
21. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอแต่งตั้ง พลเอก เพชรรัตน์ ลิ้มประเสริฐ (ผู้แทนสถาบันเกษตรกร) เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร แทนผู้แทนสถาบันเกษตรกรซึ่งเป็นกรรมการอื่นเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และผู้ได้รับแต่งตั้งนั้นอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งแต่งตั้งไว้แล้ว
22. เรื่อง แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอ แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน 7 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี ดังนี้
1. นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ
2. นายจิตรพรต พัฒนสิน ด้านกฎหมาย
3. นายธรรมศักดิ์ ยีมิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4. นางสาวดรรชนี เอมพันธุ์ ด้านอุทยานแห่งชาติ (ผู้แทนภาคเอกชน)
5. นายกมลชัย รัตนสกาววงศ์ ด้านกฎหมาย (ผู้แทนภาคเอกชน)
6. นายพงศ์ศักดิ์ วัฒนสินธุ์ ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการ (ผู้แทนภาคเอกชน)
7. นางสาวพิมพ์ภาวดี พหลโยธิน ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ผู้แทนภาคเอกชน)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
23. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอแต่งตั้ง นายไชยยง รัตนอังกูร เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ แทน นายประภาศ คงเอียด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี