เจอหลากหลายปัญหารุมเร้ารอบด้านในการบริหารประเทศของรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร สถานการณ์ทุกอย่างต่างบีบเข้ามาอย่างมากมาย แต่สิ่งที่จะต้องไม่ลืม ช่วงนี้เป็นการเริ่มต้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปี 2569 ที่รัฐบาลชุดนี้เสนอตั้งงบรายจ่ายไว้สูงถึง 3.78 ล้านล้านบาท
โดยมี นายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯชุดนี้ พร้อมกรรมาธิการอีก73คน ที่จะต้องพิจารณาแปรญัตติ ให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน จากนี้ต้องจับตาการพิจารณาปรับลดเป็นอย่างไร ก่อนนำร่างกลับเข้าสู่วาระที่ 2 และวาระที่ 3 เพื่อผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯต่อไป
ที่น่าใจหาย พบว่า รายได้จากการจัดเก็บภาษีได้เพียง 2.88 ล้านล้านบาทโดยรัฐบาลชุดนี้ยังต้องตั้ง"กู้เพิ่ม"อีก 865,000ล้านบาท ส่งผลทำให้หนี้สาธารณะพุ่งพรวดทะลุ 13 ล้านล้านบาทไปแล้ว
และที่น่าห่วงที่สุดคืองบกลาง วงเงินสูงถึง 632,968 ล้านบาท อยู่ในมือ นายกฯแพทองธาร นายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เป็นผู้มีอำนาจที่ใช้นำงบส่วนนี้ ไปใช้เมื่อไหร่ก็ได้ โดยไม่ต้องผ่านสภาผู้แทนราษฎร เพียงอ้างว่า"จำเป็น-เร่งด่วน"ก็ใช้ได้ทันที โดยไม่มีรายละเอียดให้ประชาชนหรือใครตรวจสอบได้เลย
อยากให้ใช้งบฉุกเฉินนำไปช่วยเหลือประชาชนและเกิดประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง โปร่งใส ตรงไปตรงมา ไม่ใช่เอื้อผู้มีอำนาจเฉพาะในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้น
ถึงเวลาที่คนไทย ควรจะลุกขึ้นช่วยกันตรวจสอบทุกเม็ดเงินงบประมาณต้องโปร่งใส เพราะนี่คือเงินภาษีพวกเราคนไทยทุกคน ไม่ใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องจับตา คือ การที่รัฐบาลโยกงบ 1.57 แสนล้านบาท จาก"แจกเงินหมื่น"นำไปใช้ใน4โครงการ ที่รัฐบาลชี้แจงว่า จะนำงบประมาณก้อนนี้ไปใช้ในโครงการที่คาดว่าจะช่วยขับเคลื่อนกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ พัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร,ขยายโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม,ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน,พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่มีเสียงวิจารณ์กันว่า ทำไมเร่งรีบให้เวลาแค่ 3 วันในการทำแผน
ความไม่ชัดเจนในรายละเอียดของแต่ละโครงการ รวมถึงเกณฑ์การจัดสรรงบประมาณ กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้เกิดคำถาม จากทั้งนักวิชาการ นักการเมืองฝ่ายค้าน และภาคประชาสังคม
สิ่งที่น่าเป็นห่วงกังวลอย่างยิ่ง คือ"ความซ้ำซ้อน"ระหว่างงบ 1.57แสนล้านบาท กับ งบประมาณประจำปี 2569 ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาในคณะกรรมาธิการวิสามัญฯและโครงการใน 4 ด้าน ล้วนเป็นหมวดที่มีการจัดสรรงบอยู่แล้วภายในงบประมาณหลัก
อย่างเช่น กระทรวงเกษตรฯได้งบพัฒนาแหล่งน้ำเป็นประจำทุกปีกระทรวงคมนาคม ก็ได้รับงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากกว่าแสนล้านบาท และกระทรวงดิจิทัลฯ และกระทรวงการท่องเที่ยวฯก็มีแผนงานคล้ายคลึงกันอยู่ในงบประจำอยู่แล้ว
อาจเกิดกรณี"งบซ้อนงบ"เปิดช่องให้เกิดการเบิกจ่ายซ้ำซ้อน ไร้ประสิทธิภาพและอาจนำไปสู่การใช้เม็ดเงินงบประมาณไปเอื้อประโยชน์เฉพาะกลุ่มการเมือง สิ่งที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง คือข้อครหาว่าการกันงบก้อนนี้ เป็นการเตรียม“งบล่วงหน้า”เพื่อตุนสร้างคะแนนนิยมในพื้นที่ก่อนจะมีการเลือกตั้งที่วาระรัฐบาลชุดนี้จะครบเทอม หรือ เตรียมพร้อมหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองมียุบสภาก่อน
การใช้งบผ่านโครงการที่ลงพื้นที่ รัฐบาลมักอ้างเสมอเพื่อ“กระตุ้นเศรษฐกิจ”แต่ไม่มีตัวชี้วัดชัดเจนและไม่มีระบบติดตามประเมินผลการใช้จ่ายอย่างเข้มแข็ง สุดท้ายก็อาจนำไปสู่การทุจริตจากใช้งบเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองมากกว่าการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ขณะที่ นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้สรุปโครงการงบลงทุนเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจของทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวฯรวมถึงโครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วย รวมทั้งสิ้น 184 โครงการ รวมวงเงิน 13,381 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวมูลค่า 267,000 ล้านบาท
ล่าสุด โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ได้สรุปข้อมูลของส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย จังหวัด กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยาและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้จัดทำโครงการและขอรับจัดสรรงบประมาณ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท รวมจำนวนทั้งสิ้น 21,259 โครงการ รวมวงเงิน 79,960,372,305 บาท
1. ด้านการท่องเที่ยว จำนวน 1,609 โครงการ งบประมาณ 14,794,288,344 บาท
2. ด้านเศรษฐกิจชุมชน จำนวน 778 โครงการ งบประมาณ 9,592,033,990 บาท
3. ด้านการลดผลกระทบภาคการส่งออกและเพิ่มผลิตภาพ จำนวน 543 โครงการ งบประมาณ 2,437,550,110 บาท
4. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 18,329 โครงการ งบประมาณ 53,136,499,861 บาท
ทั้งนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้ความเห็นชอบเรียบร้อยแล้ว แบ่งเป็นการเสนอรับงบประมาณ ประกอบด้วย 1) ส่วนราชการระดับกรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา จำนวน 657 โครงการ งบประมาณ 16,884,843,808 บาท
2) จังหวัด จำนวน 5,221 โครงการ งบประมาณ 25,647,395,897 บาท 3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 15,381 โครงการ งบประมาณ 37,428,132,600 บาท
นี่เพียงแค่เห็นตัวเลขการขอจัดสรรงบประมาณ1.57แสนล้าน 2-3 กระทรวงเท่านั้น วงเงินสูงมากๆ
ดังนั้นรัฐบาลควรเปิดเผยรายละเอียดการจัดสรรงบ1.57แสนล้านบาทแต่ละโครงการอย่างโปร่งใสระบุชัดว่าใช้กับโครงการใด หน่วยงานใด และผลลัพธ์ที่คาดหวังคืออะไร อยากเรียกร้องภาคประชาชนร่วมกันตรวจสอบการใช้งบก้อนนี้ เพื่อป้องกันการทุจริต แสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน และติดตามความคืบหน้าตรวจสอบความคุ้มค่าได้
เพราะยุคนี้สมัยนี้ ทุกคนย่อมมีสิทธิ์มีส่วนร่วมตรวจสอบเม็ดเงินงบแผ่นดินทุกบาทอย่างเข้มข้นเพื่อสร้างระบบงบประมาณที่"โปร่งใส เป็นธรรมและตอบโจทย์ชีวิตคนไทย"...เพราะนี่คือเงินภาษีของพวกเราทุกคน ไม่ใช่สมบัติของใครคนใดคนหนึ่ง
เนื่องจากไม่อยากให้เกิดการผลาญเงินงบแผ่นดินจากรัฐบาล‘แพทองธาร’ชุดนี้ จนเกิดการทุจริตมโหฬารซ้ำรอยกับในอดีต ทุกวันนี้ภาพรวมสภาพเศรษฐกิจยังย่ำแย่ ไม่มีสัญญาณดีแต่อย่างใด ในภาวะที่ประชาชนกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ หนี้สิน ราคาพืชผลตกต่ำ ค่าครองชีพพุ่งอย่างนี้
เพราะไม่รู้ว่าเม็ดเงินงบประมาณก้อนนี้ จะตกไปถึงมือประชาชนคนรากหญ้าตัวเล็กได้อย่างทั่วถึงหรือไม่ เกรงจะกลายเป็นงบที่สุ่มเสี่ยงต่อการ"ฟาสต์แทร็กทุจริต"เหมือนที่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย ตั้งข้อสังเกตและแสดงความเป็นห่วงเอาไว้ หากเป็นจริงก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์สภาพเศรษฐกิจของประเทศที่ย่ำแย่ไปอีก เพราะรัฐบาลบริหารประเทศผ่านมาจนถึงวันนี้ ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย สุดท้ายจะกลายเป็นตราบาปรัฐบาลชุดนี้ไปถึงการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี