เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2568 เพจเฟซบุ๊ก "พรรคเพื่อไทย" โพสต์ข้อความระบุว่า เปิดคำชี้แจง 15 นาที “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข" ต่อแพทยสภา
ยื่นเหตุผลขอให้ทบทวนมติลงโทษ 3 แพทย์ ชี้ไม่มีเจตนาทุจริต–ตั้งคำถามแรงจูงใจกรรมการแพทยสภา ย้ำไม่ปกป้องอดีตนายกฯ แต่ปกป้องเพื่อนร่วมวิชาชีพ ถาม 4 คำถามถึงกรรมการแพทยสภา โทษที่รุนแรงเกินไปกำลังทำลายอนาคตของวงการแพทย์ใช่หรือไม่?
เปิดคำชี้แจงของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ยื่นเอกสารจำนวน 11 หน้า ถึง นายกแพทยสภา และกรรมการแพทยสภาทุกคน และยังได้แนบผลการพิจารณาจริยธรรมของแพทยสภา ที่ผ่านคณะกรรมการทั้ง 4 ชุด และผลสำรวจ นิด้าโพล เรื่องระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อการทำงานของแพทยสภาในการกำกับดูแลจริยธรรมของวิชาชีพเวชกรรม ที่ระบุว่าไม่เชื่อมั่นถึง 54.35% โดยในการประชุมแพทยสภาครั้งนี้ ใช้เวลากว่า 5 ชั่วโมง และให้โอกาสสมศักดิ์ ชี้แจงเพียง 15 นาที และเดินทางกลับทันที
สำหรับคำชี้แจงของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีเนื้อหา ดังนี้
ท่านนายกแพทยสภา ศ.เกียรติคุณ พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ ท่านกรรมการแพทยสภาทุกท่าน
อาศัยอำนาจตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2525 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ มีหน้าที่โดยตรงในการพิจารณาให้ความเห็นต่อมติของแพทยสภา ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนจริยธรรมของวิชาชีพแพทย์ อันเป็นเสาหลักที่ประชาชนใช้ยึดโยงความเชื่อมั่นและไว้วางใจต่อการรักษาพยาบาลในสังคมไทย
จริยธรรมทางการแพทย์นั้นมิใช่เพียงข้อบังคับ หากแต่เป็นแกนกลางของวิชาชีพที่สะท้อนความรับผิดชอบของแพทย์ต่อชีวิตและศักดิ์ศรีของผู้ป่วย โดยต้องตั้งอยู่บนหลัก 4 ประการ ได้แก่ การเคารพเจตจำนงของผู้ป่วย การให้ประโยชน์สูงสุด การไม่ก่ออันตราย และการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
ด้วยเหตุนี้ การให้ความเห็นต่อมติลงโทษแพทย์จึงต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ ละเอียดอ่อน และยึดมั่นในความเป็นธรรมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อตอบสนองกระแส แต่ต้องเป็นการตัดสินบนพื้นฐานของข้อเท็จจริง เจตนา และบริบทของการปฏิบัติงานอย่างซื่อสัตย์สุจริต
ผมขอเรียนว่า ได้ใช้ข้อมูลและข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของคณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจ ซึ่งมี ศ.เกียรติคุณ นพ.อมร ลีลารัศมี เป็นประธาน โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างรอบคอบและทุ่มเท ใช้เวลาสอบสวนนานถึง 5 เดือน 5 วัน โดยมีผลสรุปว่า
1. นพ.วัฒนชัยฯ - มีความเห็นให้ยกข้อกล่าวหา
2. พญ.รวมทิพย์ฯ - เห็นควรลงโทษเบา โดยมติให้ “ว่ากล่าวตักเตือน”
3. พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ฯ - เห็นควร “ภาคทัณฑ์”
4. พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ฯ - มีความเห็นชัดเจนว่า “ไม่มีความผิดทางจริยธรรม”
แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกลั่นกรองและคณะกรรมการแพทยสภา มติที่ออกมากลับแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการลงโทษที่รุนแรงขึ้น เช่น การพักใช้ใบอนุญาตฯ เป็นระยะเวลาหลายเดือน ทั้งที่ไม่มีข้อเท็จจริงใหม่เพิ่มเติมจากชั้นสอบสวน
สิ่งที่ผมให้ความสนใจเป็นพิเศษและไม่อาจละเลยได้คือ เหตุใดคณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่จึงมีมติกลับจากผลการสอบสวน หากไม่มีพยานหลักฐานใหม่หรือเหตุผลที่หนักแน่น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจก่อให้เกิดข้อสงสัยว่า มีแรงจูงใจอื่นใดอยู่นอกเหนือจากข้อเท็จจริงและหลักวิชาชีพหรือไม่
ผมเคยขอข้อมูลเพิ่มเติมจากคณะอนุกรรมการกลั่นกรองจริยธรรมถึงสองครั้ง แต่ได้รับคำตอบจากแพทยสภาว่าได้ส่งเอกสาร “เพียงพอแล้ว” ซึ่งในมุมมองของผม การไม่เปิดเผยข้อมูลสำคัญเช่นนี้อาจเป็นผลเสียต่อการใช้ดุลยพินิจและการลงมติอย่างรอบด้าน
ผมคาดหวังว่ากรรมการที่มาลงมติจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย และรักษาความเป็นกลางไว้ได้อย่างแท้จริง
ผมขอเน้นว่า การพิจารณายับยั้งมติดังกล่าวไม่ได้เกิดจากความเห็นส่วนตัว หากแต่เกิดจากการใคร่ครวญข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน
ผมขอชี้แจงเพิ่มเติมเป็นรายกรณี
- นพ.วัฒนชัยฯ : คณะกรรมการแพทยสภามีมติยกข้อกล่าวหา ผมเห็นว่าสอดคล้องกับหลักนิติธรรม จึงเห็นชอบ
- พญ.รวมทิพย์ฯ : การออกใบส่งตัวล่วงหน้าเป็นแนวปฏิบัติในเรือนจำ และเธอไม่ได้เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจส่งตัวพิเศษ พฤติกรรมอยู่ในขอบเขตวิชาชีพ ไม่ปรากฏเจตนาทุจริต
- นพ.โสภณรัชต์ฯ : คำพูดที่ว่า "ความดันยังสูง" และ "น่าเป็นห่วง" ไม่ใช่การกล่าวว่าผู้ป่วยวิกฤติ และไม่ขัดแย้งกับเวชระเบียน ไม่ควรถือเป็นการให้ข้อมูลเท็จ
- นพ.ทวีศิลป์ฯ : ความเห็นในใบแสดงความเห็นแพทย์ไม่ได้มีข้อความเท็จ แต่สะท้อนการดูแลแบบองค์รวม ความเห็นที่แตกต่างไม่ควรถูกลงโทษ หากไม่มีเจตนาทุจริต
อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับประเทศภายใต้กระบวนการยุติธรรม และเหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี เมื่อเข้าเรือนจำก็ได้รับการตรวจร่างกายตามหลักเกณฑ์ปกติ เพื่อประเมินสุขภาพเหมือนผู้ต้องขังรายอื่นๆ
ผู้ป่วยซึ่งเป็นอดีตนายกฯ ได้รับการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเพื่อการรักษาเฉพาะทาง กลับกลายเป็นเหตุให้แพทย์ 4 คนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าประพฤติผิดจริยธรรม ทั้งที่การกระทำอยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบในวิชาชีพ
พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 33 ยังบัญญัติถึงการคุมขังในสถานที่อื่นนอกเรือนจำ (House Arrest) เพื่อเคารพสิทธิมนุษยชน แนวทางเช่นนี้ควรสนับสนุน มิใช่ถูกตีความว่าเป็นความผิด
หากปล่อยให้มีการลงโทษแพทย์ในกรณีนี้ จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการบริหารงานราชทัณฑ์ กระบวนการยุติธรรม และจะส่งผลกระทบต่อบุคลากรในระบบทั้งหมด
ผมขอฝากคำถามถึงคณะกรรมการแพทยสภา:
- 1. มติของเราวันนี้จะสร้างบรรทัดฐานแบบใดในวงการแพทย์? เรากำลังสร้างวัฒนธรรมแห่งความกลัวหรือเปล่า?
- 2. หากในอนาคต สังคมมองว่ามติในวันนี้คือความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ เราจะอธิบายต่อคนรุ่นหลังได้หรือไม่?
- 3. มีใครรู้สึกแม้เพียงนิดเดียวไหมว่า โทษที่กำหนดไว้นั้นรุนแรงเกินไป?
- 4. หากแพทย์ที่กำลังถูกลงโทษคือคนในครอบครัวของเราเอง เราจะยังยืนยันบทลงโทษเดิมอยู่หรือไม่?
ในการประชุมวันนี้ ขอให้พวกเราช่วยกันตัดสินในฐานะ "มนุษย์คนหนึ่ง" ไม่ใช่เพียงกรรมการ
ความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่คือความยุติธรรมในรูปแบบที่สูงที่สุด
ขอบพระคุณครับ
#พรรคเพื่อไทย #แพทยสภา
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี