เรียกสอบพยานเพิ่มอีก20ปาก
พิสูจน์‘แม้ว’ป่วยทิพย์
ศาลฎีกาฯไต่สวนก.ค.อีก3นัด
ประเดิมสอบผบ.เรือนจำ
ยันยึดระเบียบราชทัณฑ์
ส่งเทวดาไปชั้น14รพ.ตร.
เปิดศาลพิสูจน์ประเด็นการบังคับโทษเทวดาทักษิณป่วยทิพย์ ประเดิมสอบ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยันส่งเทวดาไป ชั้น 14 รพ.ตำรวจยึดตามระเบียบราชทัณฑ์ ทั้งศาลมีคำสั่งเรียกพยานอีก 20 ปากไต่สวน วันที่ 4, 8 และ 15 กรกฎาคม 2568 ปากสำคัญคือ แพทย์ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ 2 คนและพัศดีเวร
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่ศาลฎีกา ถนนราชดำเนินใน ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพร้อมและไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1ปี แต่ได้มีการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ ตำรวจ
โดยในวันนี้ศาลได้ออกหมายเรียกให้นายมานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ฯขึ้นไต่สวนเป็นพยานปากแรก เกี่ยวกับการส่งตัวนายทักษิณ ไปรักษายังรพ.ตำรวจตามขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งนายมานพเบิกความต่อศาลเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่งว่า ตนเพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 และการทำหน้าที่ของผู้บัญชาการเรือนจำ รวมถึงการทำหน้าที่พัศดีเวรในการรับและส่งตัวจำเลย ไปยังสถานพยาบาลนอกเรือนจำ โดยการรับตัว มีการตรวจสอบตัวตน ลายนิ้วมือ รูปพรรณ และใบรับรองการรักษาของแพทย์จากต่างประเทศ พร้อมหมายจำคุกของนายทักษิณ
“แม้ว”มีความดันโลหิตสูง
นายมานพ เบิกว่า ไม่ทราบว่าประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศของนายทักษิณยังอยู่ในเรือนจำหรือไม่ ซึ่งศาลมีคำสั่งให้ส่งประวัติดังกล่าวมาภายใน 15 วัน แต่ถ้าไม่มีให้แจ้งศาล ในตอนที่รับตัวนายทักษิณเจ้ามา พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ ได้ตรวจร่างกายนายทักษิณ และระบุว่านายทักษิณอยู่ในเกณฑ์ผู้ต้องขัง 608 ซึ่งหมายความว่ามีผู้ต้องขังอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรัง 8 โรค ซึ่งสามารถดูอาการที่เรือนจำได้ แต่หากมีเหตุฉุกเฉินสามารถส่งตัวไปรักษายังรพ.ภายนอก และทำใบส่งตัวไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติในเรือนจำ
นายมานพยังระบุอีกว่า ภายในเรือนจำมีพยาบาล 1 คน ต่อผู้ต้องขัง 4 พันคน โดยไม่มีแพทย์ประจำและวินิจฉัยโรคเบื้องต้น และเป็นคนละที่กับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่านายทักษิณมีอาการความดันโลหิตสูง ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ นอนไม่หลับ แน่นหน้าอก โดยแพทย์ไม่ได้ตรวจวินิจฉัยแต่พยาบาลเป็นผู้โทรไปประสานนพ.ณัฐพร แพทย์ประจำรพ.ราชทัณฑ์ หลังจากนั้นจึงเป็นผู้มีความเห็นให้ส่งตัวไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ
ยึดตามพรบ.ราชฑัณฑ์
เมื่อศาลซักถามถึงกระบวนการการส่งตัว นายมานพยังเบิกความยอมรับว่า รพ.ราชทัณฑ์ยังมีบริเวณรั้วติดกับเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งปกติจะต้องรักตัวรพ.ราชทัณฑ์ทุกครั้งก่อน
นายมานพยังเบิกความต่อศาลอีกเพื่อย้ำถึงการส่งตัวอีกว่า การส่งตัวผู้ต้องหาไปรักษาตัวนอกสถานที่นั้นเป็นการอาศัย มาตรา 55 พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ปี 2560 ซึ่งการส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ที่มีการใช้เป็นปกติ ซึ่งจะแตกต่างจาก ป.วิอาญา ซึ่งเป็นการทุเลาโทษ และนับระยะเวลาการรักษาเข้าไปในวันจำขัง
ต่อมานายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้แถลงขออนุญาตซักถามพยานเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง 10 คำถาม โดยศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้นายวิญญัติถามบางคำถาม โดยมีการแจ้งคำถามต่อศาลเนื่องจากบางคำถาม ศาลเตรียมที่จะเรียกพยานเข้ามาไต่สวนอยู่แล้ว โดยคำถามของนายวิญญัติเป็นการถามพยานจากที่นายมานพได้เบิกความไว้
ภายหลังสอบถามเสร็จสิ้น นายวิญญัติ ได้แถลงขอนำพยานบุคคลเข้าให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง โดยศาลพิจารณาแล้วให้นายวิญญัติทำคำร้องเป็นเอกสารเข้ามาให้ศาลพิจารณาต่อไป
สอบพยานอีก20ปาก
ต่อมาศาลอ่านรายงานกระบวนพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องไต่สวนพยานเพิ่มเติมจำนวน 20 ปากเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง โดยกลุ่มแรกเรียกไต่สวนในวันที่ 4 กรกฎาคม เป็นกลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวข้อง อย่างพญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ นพ.ณัฐพร ต่อมาวันที่ 8 กรกฎาคมเป็นเจ้าหน้าที่พัศดีและเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ สัญญา วงศ์หินกอง พัศดีเวรประจำเรือนจำพิเศษกรุงเทพ
ส่วนวันที่ 15 เป็นผู้บริหารรพ ราชทัณฑ์และผู้บริหารเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ซึ่งรวมทะงนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนปัจจุบัน นายนัสที ทองปลาด อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายปราโมทย์ ทองศรี อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และศาลได้นัดไต่สวนพยานต่อในวันที่ 4 ,8, 15 กรกฎาคมนี้เวลา 09.00 น
นอกจากนี้ศาลยังให้ปปช.ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ที่ว่าด้วยเรื่องมติที่ประชุมแพทยสภา และใบเบิกค่าใช้จ่ายของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวรควบคุมตัวนายทักษิณที่รพ.ตำรวจ และประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศที่ราชทัณฑ์ระบุไว้ว่ามีอยู่แต่ยังหาไม่พบ ให้ส่งกลับมายังศาลภายใน 15 วัน
ทนายแม้วยื่นพยานเพิ่ม
ด้านนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ เปิดเผยภายหลังว่า ศาลก็เห็นว่ายังมีข้อเท็จจริงอีกพอสมควรที่จะต้องแสวงหาความจริง และหลักฐาน มาประกอบการวินิจฉัย มีพยานบุคคลอีกกว่า 20 ปากที่ศาลมีหมายเรียกมาไต่สวน และให้โอกาสจำเลยด้วย โดยตนได้ยื่นเสนอพยานบุคคลเพื่อประกอบการชี้แจงต่อศาล และศาลก็ให้เขียนคำร้องเข้าไป และศาลจะพิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่
ส่วนจะนำนายทักษิณมาเบิกความต่อศาลฎีกาหรือไม่ ขอไม่ตอบ สำหรับ ส่วนเรื่องมติแพทยสภา เป็นเรื่องหมอกับหมอ ก็ว่ากันไป เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลไต่สวน เนื่องจากแพทยสภาก็ไม่เคยปฏิเสธว่านายทักษิณไม่ได้ป่วย มีเพียงเรื่องอาการวิกฤติหรือไม่
“ชาญชัย”ยกคณะฟังศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการไต่สวนเรื่องการบังคับโทษกับนายทักษิณ หนนี้ มีนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมด้วย
นายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา กล่าวว่า คดีนี้ถือเป็นกรณี ศึกษา และเป็นคดีที่จะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาถึงรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ล้วนแต่นิ่งเฉย ไม่ดำเนินการอะไรแต่อย่างใด
กรมคุกพร้อมทำตามคำสั่งศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับประเด็น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวน กรณีความปรากฏการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ
ต่อมา ในแวดวงนักวิชาการ นักกฎหมายมหาชน กูรูการเมือง ฯลฯ มีการวิเคราะห์ฉากทัศน์ถึงการไต่สวนของศาลฎีกาฯ ว่าอาจเป็นคดีประวัติศาสตร์ครั้งที่ 2 ต่อจากกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช. ซึ่งศาลไต่สวนใหม่จากคำร้องของทนายความนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (อดีตนายกรัฐมนตรี) ว่ายังจำคุกไม่ครบ เหลืออีก 11 เดือนเศษ เพราะต้องนับโทษต่อกัน มิใช่นับโทษพร้อมกัน ดังนั้น แม้นายจตุพรพ้นโทษไปแล้ว 3 ปี และได้รับใบบริสุทธิ์แล้ว แต่เมื่อศาลไต่สวนเสร็จสิ้น จึงออกหมายขังให้กลับไปจำคุกใหม่ในคดีเดิม ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากกรมราชทัณฑ์ว่า หากมองเป็นกรณีก่อนหน้านี้ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ให้มีการกลับไปจำคุกใหม่ในคดีเดิม ตามระยะเวลาต้องโทษที่เหลือตามที่ศาลได้ไต่สวนก็คือกรณีของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งในตอนนั้นกรมราชทัณฑ์ โดยเจ้าหน้าที่เรือนจำฯ ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาล หากศาลออกหมายใดมายังจำเลย/ผู้ต้องหา ราชทัณฑ์ก็มีหน้าที่ปฏิบัติตาม ไม่ว่ากรณีดังกล่าวจะเป็นหมายขังระหว่างพิจารณาคดี หรือหมายจำคุก หรือหมายปล่อย หรือเบิกตัวจากเรือนจำ ฯลฯ เพราะกรมราชทัณฑ์จะรับหน้าที่ในการบังคับโทษและบริหารโทษเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งต่อบุคคลนั้น
จึงยืนยันว่า ราชทัณฑ์ไม่สามารถดำเนินการนอกเหนือคำสั่งของศาลได้ ส่วนในกรณีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ราชทัณฑ์มีหน้าที่รอคำสั่งของศาลฎีกาฯ เท่านั้น ว่าศาลจะสั่งว่าอย่างไรบ้าง ราชทัณฑ์ก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล เช่น หากศาลมีคำสั่งให้กลับไปจำคุกระยะเวลาเท่าใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็ต้องคุมตัวไปคุมขังยังเรือนจำฯ ตามคำสั่งศาล ทั้งนี้ หากเป็นกรณีหมายขังของผู้ต้องขังเด็ดขาด จะไม่สามารถยื่นขอปล่อยตัวในชั้นศาลได้ แต่ถ้าหากบุคคลนั้น เป็นผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี จึงจะสามารถยื่นคำร้องขอศาลปล่อยตัวในชั้นศาลได้.
หมอวรงค์สงสัยบังคับโทษแม้ว
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก วรงค์ เดชกิจวิกรม - Warong Dechgitvigrom ระบุว่า...#นายทักษิณติดคุกจริงหรือยัง
ซึ่ง การยืนยันเรื่องติดคุกแล้วหรือยัง ควรอ้างอิงจากเอกสารที่พิสูจน์ได้ ตามมาตรา36 ของพรบ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ซึ่งกำหนดว่า มาตรา 36 ในวันที่รับตัวผู้ต้องขังเข้าไว้ใหม่ในเรือนจำ ให้เจ้าพนักงานเรือนจำจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังโดยอย่างน้อยมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องดังต่อไปนี้
(1) ชื่อและนามสกุลของผู้ต้องขัง เลขประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตนของผู้ต้องขังเท่าที่ทราบ (2) ข้อหาหรือฐานความผิดผู้นั้นได้กระทำ (3) บันทึกลายนิ้วมือหรือสิ่งแสดงลักษณะเฉพาะของบุคคล และตำหนิรูปพรรณ (4) สภาพของร่างกายและจิตใจ ความรู้และความสามารถ (5) รายละเอียดอื่นตามที่กำหนดในระเบียบกรมราชทัณฑ์
ให้กรมราชทัณฑ์นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังตามวรรคหนึ่ง รวมทั้งใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และประมวลผลด้วย
ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ นั่นคือผู้ต้องขังใหม่ทุกคน ต้องลงทะเบียนประวัติตาม รท.101 มีการพิมพ์ลายนิ้วมือ ต้องมีการให้ถอดเสื้อถ่ายรูป หน้า ถ่ายรูปครึ่งตัวด้านหน้า ด้านข้างซ้ายและขวา เพื่อดูตำหนิ รอยสัก ไว้ยืนยัน หากผู้ต้องขังหนี
และต้องส่งรูปนี้ไปที่ประวัติอาชญากรรม ที่สำคัญการลงทะเบียนประวัติ และการถอดเสื้อถ่ายรูป ต้องไปทำในแดนคุมขัง ที่มีนักโทษอื่นด้วย ไม่ใช่มาทำที่ห้องธุรการ คำถามถามว่าได้ทำหรือไม่ ถ้าทำถือว่านายทักษิณติดคุกแล้ว แต่ถ้าไม่ได้ทำถือว่ายังไม่ติดคุก
ถ้าหากข้อมูลเหล่านี้ กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถแสดงต่อศาลได้ หากศาลมีการไต่สวนเรื่องนี้ด้วย เท่ากับว่า นายทักษิณยังไม่มีการติดคุกเลย การไปนอนรพ.ตำรวจ จึงเหมือนการเล่นละครประกอบฉากเท่านั้นเอง การไต่สวนเรื่องของนายทักษิณอาจจะจบเร็ว และง่ายกว่าที่คิดก็ได้
แนะแม้วยันศาลติดคุกแล้ว
นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวในฐานะนักกฎหมายจะห้ความเห็นกับนายทักษิณ อย่างไรบ้างกรณีถูกไต่สวนการบังคับโทษป่วยทิพย์ ว่า ถ้าตนเป็นนายทักษิณก็จะบอกว่า กระบวนการจบแล้ว ถูกคุมขังครบถ้วนแล้วตามกระบวนการ
‘ทักษิณ’ปัดตอบสื่อปมชั้น14
สำนักข่าว the room 44 ได้รายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. นายทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาที่อาคารชินวัตร 3 ถนนวิภาวดีรังสิต ด้วยรถยนต์ส่วนตัว ยี่ห้อโรสลอย์ สีกรมท่า ทะเบียน ฐฐ 267
จากนั้นเวลา 14.40 น. นายทักษิณ เดินลงมาจากอาคารชินวัตร ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงความกังวลกรณีที่ศาลจะเรียกพยานมาให้ปากคำเพิ่มเติมอีก 20 ปาก ในการพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และหากคำตัดสินของศาลออกมาในเชิงลบ จะมีผลต่อคดีหรือไม่ โดยนายทักษิณปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน เพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนขึ้นรถเดินทางออกไปทันที
ลุ้นปปช.เชือดขรก.ป่วยทิพย์
นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.68 โดยเชื่อว่า เมื่อทักษิณ ชินวัตร ได้โอกาสกลับไทย แต่ยังอวดอ้างบารมีชี้นำนโยบายให้นายกฯ ลูกสาวอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร และแสดงอำนาจกับข้าราชการให้สมยอมช่วยหลบเลี่ยงหนีติดคุก จึงเกิดวิบากกรรมย้อนวนกลับเข้าสู่ชะตากรรมต้องจบแบบเดิมอีกครั้ง
“วันนี้แพทยสภาได้ทำความจริงให้ปรากฏแล้ว ยืนยันมติเดิมโดยเสียงลงโทษเกือบเป็นเอกฉันท์ หลังจากนี้ในส่วนแพทย์ รพ.ตำรวจ ที่ถูกลงโทษจริยธรรม ต้องถูกตั้งกรรมการสอบวินัย และในส่วนคดีอาญา ปปช.ก็ทำหน้าที่ตาม ม.157 ซึ่งมีโทษนอกจากจะถูกออกจากราชการแล้ว ยังถูกติดคุกอีกต่างหาก”
นายจตุพร เชื่อว่า การเมืองเดินมาถึงจุดใกล้จบกันเต็มทีและอุ๊งอิ๊งค์ ต้องยอมรับความจริงว่า ทำหน้าที่นายกฯ ไม่ไหวแล้ว ยิ่งล่าสุดไปสั่งให้ปิด-เปิดด่านในช่วงเวลาเท่ากันกับกัมพูชา แสดงถึงความไม่เข้าใจกลยุทธการเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดในข้อพิพาทดินแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลแทบไม่เหลือความมั่นคงอีกแล้ว เพราะเกิดความแตกแยกภายในของแต่ละพรรค โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ สส.เข้าชื่อไล่หัวหน้าพรรคตัวเอง และประกาศท้าทายให้ขับออกจากพรรคด้วย
นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลมีเสถียรภาพคลอนแคลนแล้ว ถ้าเปิดประชุมสภาสมัยสามัญ และพรรคเพื่อไทยยังเสนอกฎหมายบ่อนกาสิโนเข้าสภาอีก ยิ่งกระตุ้นให้ภาคประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้าน ดังนั้น นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ ที่บริหารงานผิดพลาด ทั้งแก้เศรษฐกิจไม่ได้ นำงบประมาณ 1.57 แสนล้านเตรียมไว้แจกเงินดิจิทัลก็ไม่แจก แต่เหมือนเอาไปแบ่งให้โครงการต่างๆ นอกจากนี้ยังเกิดกระทบกระทั่งเป็นความตึงเครียดระหว่างประเทศด้วย
“สถานการณ์ขณะนี้ สะท้อนถึงปลายรัฐบาลแล้ว จึงเกิดเรื่องมากมายประเดประดังเข้าใส่จนเปราะบางและคงรอดยาก ดังนั้น ชะตากรรมทักษิณและเพื่อไทยย่อมเดินไปตามทางที่เคยเป็นมาและท้ายสุดต้องจบแบบเดิม”นายจตุพร กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี